xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ย้อนรอย “ไอ้หนุ่ย ติ๊งต่าง” ฆาตกรโหด ฆ่าข่มขืนเด็กต่อเนื่อง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-นับเป็นคดีสะเทือนขวัญคนไทยทั้งประเทศโดยเฉพาะหัวอกคนเป็นพ่อแม่ทุกคน กรณีคนร้ายลักพาตัว น้องการ์ตูน วัย 6 ขวบไปฆ่าข่มขืนบริเวณป่ารกร้างติดสถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง บางนา เมื่อเวลา 23.00 น. ของวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดย "ไอ้หนุ่ย หรือ ติ๊งต่าง" คนร้ายฆ่าข่มขืน "น้องการ์ตูน" สารภาพหน้าตาเฉยว่า ก่อเหตุข่มขืนเด็กมานับ 10 ครั้ง มีฆ่าตาย 4 ครั้ง เพิ่งถูกตำรวจจับได้แค่ 2 ครั้ง โดยเน้นเลือกเฉพาะเด็กหญิงอยู่โดดเดี่ยวอายุ 12 -13 ปี

ก่อนหน้าการจับกุมคนร้าย บนโลกออนไลน์ทุกคนต่างช่วยกันแชร์และส่งต่อรูปภาพของน้องการ์ตูน เพื่อหวังว่าน้องจะได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัวอย่างอบอุ่นอีกครั้ง แต่เรื่องจริงช่างโหดร้าย เมื่อพบน้องการ์ตูนในสภาพที่เหลือเพียงกะโหลกศีรษะ กระดูกสันหลัง 1 ท่อน และกระจุกเส้นผมเท่านั้น ชาวเน็ตที่ติดตามและเอาใจช่วยหลายคนต่างสลดและสร้างความสะเทือนใจไปทั่วทั้งสังคมไทย

อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปดูประวัติของ "ไอ้หนุ่ย" ก็พบสิ่งที่น่าตกใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก ซึ่งไอ้หนุ่ยกระทำการเช่นนี้มาแล้วกว่า 10 ครั้ง จุดนี้เองทำให้เกิดการตั้งคำถามจากสังคม เหตุใด คนร้ายถึงได้ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เด็กสาว 4 คน ต้องสังเวยชีวิตให้กับคนแบบนี้ เนื่องจากไอ้หนุ่ย เคยก่อนเหตุมาแล้วอย่างโชกโชน ทั้งข่มขืนและข่มขืนฆ่า เลือกเหยื่อที่เป็นเด็กหญิงล้วนๆ

**ชีวิตบัดซบฆาตกรโหด

ย้อนประวัติของไอ้หนุ่ย พื้นเพเป็นชาวพม่า จึงไม่มีนามสกุล เกิดแล้วมาอาศัยอยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็กตั้งแต่เด็กจนอายุ 7 ขวบ ก็ย้ายไปอยู่กับ แม่พิม พ่อลอง คนไทยที่รับไปเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านใน อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น จากนั้นเมื่ออายุ 15 ปี แม่พิมกับพ่อลองเสียชีวิต ไอ้หนุ่ยจึงไปอาศัยอยู่กับญาติของแม่พิม พ่อลอง ที่อยู่หมู่บ้านใกล้ๆ กัน ไม่ได้ไปเรียนหนังสือแต่อย่างใด อาศัยทำงานก่อสร้างทั่วไป ทั้ง กทม.และต่างจังหวัด โดยมีญาติชักชวนมา ต่อมาไอ้หนุ่ยมีเมียชื่อ นางบุญจันทร์ ขันติ อยู่บ้านเลขที่ 78 หมู่ที่ 2 ต.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น จึงอาศัยอยู่ที่บ้านเมียช่วงหนึ่ง

พฤติกรรมดิบครั้งแรกของไอ้หนุ่ย คดีแรกที่ต้องเข้าคุกคือ-อนาจาร ด.ญ.7 ขวบ เริ่มวันที่ 18 ม.ค.51 ที่งานวัด หรืองานบุญปู่เปือยน้อย ต.เปือยน้อย อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น ไอ้หนุ่ย ไปเที่ยวงานเจอเด็กอายุ 7 ขวบ มาเที่ยวงานอยู่คนเดียว จึงได้ชักชวนหลอกล่อเด็กจะพาไปเดินเล่น ซื้อขนม พอสบโอกาส พาเด็กเดินไปที่เปลี่ยวริมห้วย จึงลงมือบีบคอให้สลบก่อนเพื่อไม่ให้เด็กส่งเสียง แล้วลงมือถอดเสื้อผ้าออกหมด ทำอนาจารแต่ไม่สำเร็จ แล้วเอาตัวเด็กไปวางที่กอไผ่ ป่ารกตลอดคืน ช่วงเช้ามีคนมาพบจึงนำส่ง รพ. ซึ่งเด็กจำหน้าได้จึงพาตำรวจมาชี้ตัวที่บ้านเมีย จึงถูกจับกุมดำเนินคดี

ต่อมา 24 ส.ค. 55 ไอ้หนุ่ยได้พ้นโทษออกมาจากเรือนจำอำเภอพล จ.ขอนแก่น มาอาศัยอยู่ที่บ้านเมีย อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น พักอยู่เกือบเดือน แต่ชาวบ้าน ผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านนั้น มาขับไล่ไม่ยินยอมให้พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน กลัวว่าไอ้หนุ่ยจะมาก่อเหตุกับเด็กในหมู่บ้านซ้ำอีก จึงออกจาก บ้านเมียใน อ.เปือยน้อย มาทำงานอยู่ใน กทม. แถวหมอชิต ยึดอาชีพเก็บของเก่า กระดาษ กระป๋อง แถวหมอชิตขาย พักนอนอาศัยอยู่ใต้สะพานลอย ทำงานได้ไม่กี่วัน มีคนมาชวนไปทำงาน ไอ้หนุ่ยจึงได้ไปทำงานลงเรือออกทะเลประมาณ 2 เดือน พอเรือกลับมาเข้าฝั่ง ก็หลบหนีออกจากงานเนื่องจากไม่ได้รับค่าแรง แล้วเดินหางานอยู่ใน กทม. รับจ้างล้างจานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้ท่าน้ำนนท์

ต่อมาได้ถูกชักชวนไปทำงานม้าหมุน อยู่ประมาณเกือบปี เจ้าของม้าหมุนชื่อ "กระต่าย" บ้านอยู่ก่อนเข้าตัวเมืองนครราชสีมา แล้วออกจากงานมาอยู่กับรถบั๊ม ไปแสดงงานต่างๆ อยู่ช่วงหนึ่ง ออกจากรถบั๊ม มาพักอาศัยนอนตามท้องสนามหลวง ขอข้าววัดกินบ้าง ขอทานบ้างไปตามประสา ต่อมาหางานทำที่หลังหมอชิตใหม่ มีวงหมอลำมาเล่น จึงไปขอสมัครงาน ตั้งเวทีกับคณะ "ศรเพชร" แล้วได้ย้ายวงหมอลำไปเรื่อยๆ สุดท้ายจึงขอเข้าทำงานที่วงดนตรีหมอลำไหมไทย เดินสายรับงานแสดงทั่วไป

หลังพ้นคดีเมื่อปี 51 ไอ้หนุ่ยหวนกลับมาก่อเหตุอีกครั้ง เป็นคดีของงานกาชาดจังหวัดเลยคือการลวงข่มขืน ด.ญ.4 ขวบ ในวันที่ 5 ก.พ. 56 ที่งานกาชาด ดอกฝ้าย อ.เมืองเลย ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่พบชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นของเด็ก ตอนนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ

คดีต่อไป เหตุเกิดที่ อ.วัดสะพุง จ.เลย เป็นงานสินค้าราคาถูก ที่มีวงหมอลำเล็กๆ มาแสดง ขณะนั้นไอ้หนุ่ย ทำงานก่อสร้างอยู่กับเถ้าแก่ อ.เมืองเลย ไปซื้อของกับเถ้าแก่และคนงานหลายคน เมื่อไปถึง อ.วังสะพุง ไอ้หนุ่ยขออยู่เที่ยวงานก่อน ไม่ได้กลับไปพร้อมกับเถ้าแก่ มาเดินเล่นในงานซื้อเบียร์ดื่ม เห็น ด.ช.นั่งอยู่ เข้าไปพูดคุยด้วย แล้วนายหนุ่ยชวนออกมาแล้วพาเข้าไปในป่า ในสวนยาง พยายามลวนลาม แต่เด็กถามว่า “พี่จะทำอะไร” ไอ้หนุ่ยจึงลวนลามภายนอก หลังจากเสร็จแล้วเดินออกมาพร้อมกัน

อีกคดีเหตุเกิดที่ อ.เมืองเลย กระทำอนาจาร ด.ญ. ซึ่งเป็นลูกหลานคนงานก่อสร้าง ที่พักอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ถึงขั้นข่มขืน ต่อมาไอ้หนุ่ยกลัวว่า ด.ญ.คนนั้นจะไปบอกพ่อแม่ จึงบีบคอจนสลบไป พอดีแม่ด.ญ.นั้นผ่านมาพอดี จึงนำส่ง รพ. ต่อมาไอ้หนุ่ยได้ลาออกจากงานหลบหนีไป

ส่วนอีกรายเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 56 เหตุเกิดที่วัดสีกัน ดอนเมือง กทม. ไอ้หนุ่ยมาตั้งเวทีหมอลำเสร็จแล้วไปซื้อเบียร์ดื่ม เห็น ด.ญ. จึงเข้าไปคุยด้วยแล้วพาเข้าไปในป่า บีบคอจนสลบไป จับถอดเสื้อ ถอดกางเกงแล้วทำอนาจาร โดยใช้ถุงยางอนามัยเพื่อให้หล่อลื่น ซึ่งตอนแรกคดีนี้ไอ้หนุ่ยให้การว่าลงมือฆ่าเด็ก เพราะวันนั้นเด็กหมดสติไป ส่วนตนเองหลบหนีออกมาทันที แต่เมื่อเจ้าหน้าที่พาไปชี้จุดในวันที่ 17 ธ.ค. กลับทำพลิ้วบอกไม่ได้ฆ่า

ต่อมา ไอ้หนุ่ยก่อคดีอีก เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 56 เหตุเกิดที่ ตลาดสุขสวัสดิ์ สามแยกบางบอน โดยพา ด.ญ.ออกจากงานแล้วพาเข้าป่าไปลงมือทำอนาจาร ไม่ได้ถอดเสื้อ ถอดแต่กางเกง ไม่ได้บีบคอ ทำอนาจารไม่นานพอเสร็จแล้ว นุ่งกางเกงให้เด็ก แล้วบอกให้มาหาแม่ที่ทำงานแล้วจูงมือเด็กออกมา เป็นเด็กอายุ 13 ปี และอีกครั้งวันที่ 6 ธ.ค.56 ปากซอยลาซาล สุขุมวิท 105 บางนา กรณี "น้องการ์ตูน" ข่มขืนฆ่ากระทั่งถูกจับได้

อีกราย วันที่ 9 ธ.ค. 56 บ้านโคกอุดม อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี พอตั้งเวทีเสร็จ ไอ้หนุ่ยซื้อเบียร์มาดื่ม แล้วเดินออกจากงานมาเห็นเด็ก จึงเข้าไปคุยด้วย พาเข้าไปที่เปลี่ยว แล้วลงมือบีบคอเด็กจนแน่นิ่งไป แล้วถอดกางเกง หลังเสร็จกิจเดินกลับเข้ามาในงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

วันที่ 8 ธ.ค. 56 เหตุเกิดที่ มินิคอนเสิร์ต อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา พอตั้งเวทีเสร็จแล้ว ไอ้หนุ่ยไปซื้อเบียร์ 3 กระป๋อง เหล้าขาว 2 กั๊ก ดื่มจนเมา เดินออกมามองเห็นเด็กยืนอยู่คนเดียว ก็หลอกล่อไปในที่เปลี่ยว บีบคอค่อยๆ จนเด็กสลบไป และลงมือทำชั่วเหมือนที่ผ่านๆ มา

เรียกว่า ก่อคดีมานับไม่ถ้วนจนสังคมต้องตั้งคำถามว่า ฆาตกรที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญนับไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทำไมถึงยังลอยนวลเดินอยู่ในสังคมมาได้จนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะว่ากฎหมายมีบทลงโทษที่เบาบางไปหรือไม่หรือเป็นเพราะว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีประสิทธิภาพหย่อนยานในการทำงาน

ยิ่งครั้งล่าสุดด้วยแล้วการจับกุมไอ้หนุ่ยได้ก็หาใช่ว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเสาะแสวงหาตัวไอ้หนุ่ยมา แต่กลับเป็นพลังของพลเมืองดีที่ได้แจ้งเบาะแสว่าเสื้อที่ไอ้หนุ่ยใส่นั้น เป็นเสื้อของทีมงานลูกทุ่งหมอลำชื่อดัง จึงคาดว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับคนงานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตทำให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตามไปยัง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย จนกระทั่งพบตัวไอ้หนุ่ย ที่ทำหน้าที่เป็น คอนวอย หรือ คนยกของในทีมงาน โดยมีรูปพรรณสัณฐานใกล้เคียงกับคนร้ายในภาพวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำสอบสวนนานหลายชั่วโมง แต่ผู้ต้องหายังไม่ยอมรับสารภาพ จนกระทั่งตามไปพบ เสื้อทีมงานที่ใส่ ในวันเกิดเหตุ ทำให้ผู้ต้องหาถึงกับผงะก่อนยอมรับว่าเป็นคนลงมือ ข่มขืนน้องการ์ตูน แล้วใช้มือบีบคอ จนเสียชีวิตจริง

**รุกแก้กฎหมาย เพิ่มโทษไอ้หื่นให้หนัก

โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นทำให้สังคมโซเซียลตื่นตัวกันยกใหญ่ และต้องการที่จะถือโอกาสเปลี่ยนในครั้งนี้ คือการให้เพิ่มโทษกฎหมายลงโทษผู้กระทำผิดในข้อหากระทำชำเราให้รุนแรงยิ่งขึ้น โดยในขณะนี้ ได้มีการเปิดให้ร่วมลงชื่อที่ http://www.change.o r g ซึ่งหัวข้อดังกล่าวเกิดขึ้นโดย "จ่าพิชิต ขจัดพาลชน" เจ้าของเพจ เฟซบุ๊ก DramaAddict ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในโลกออนไลน์

ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ต้องหาหลายๆรายหลังออกจากคุกยังไม่สำนึกผิด ก่อเหตุ กระทำชำเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางรายยิ่งก่อเหตุรุนแรงมากขึ้น จากข่มขืน กลายเป็น ฆ่าข่มขืนหรือข่มขืนผู้เยาว์ เมื่อเทียบกับชีวิตของเหยื่อผู้เสียหาย ที่บางคนต้องติดเชื้อจากการข่มขืน บางคนได้รับบาดแผลทางจิตใจจนยากที่จะกลับมาใช้ชีวิตดังเดิม

ที่สำคัญคือ การข่มขืนไม่ใช่แค่การล่วงละเมิดทางเพศ แต่คือการทำลายชีวิตของเหยื่อผู้เสียหาย ไม่ต่างไปจากการฆาตกรรมหรือประทุษร้ายถึงแก่ชีวิต แต่โทษของการข่มขืนในปัจจุบัน คือการจำคุกเพียง 4 ถึง 20 ปี เท่านั้น

นอกจากควรจะเพิ่มโทษให้กับผู้กระทำชำเราแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ ยกเลิกการบรรเทาโทษให้แก่ผู้ต้องขังในคดีกระทำชำเรา รวมถึงการแก้ไขกฎหมายที่ระบุว่าการแจ้งความบุคคลสูญหายนั้นต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมง ซึ่งแม้ขณะนี้ในเบื้องต้น พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา สบ.10 ได้สั่งให้พนักงานสอบสวนทุกสถานีตำรวจให้รับแจ้งความบุคคลสูญหายได้ทันที โดยไม่ต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมง อย่างไรก็ตามคำสั่งดังกล่าวยังเป็นเพียงแค่คำสั่งชั่วคราวเท่านั้น

นอกจากนั้น สิ่งที่ต้องมีการสังคายนา คือเรื่องการขอตรวจสอบดูภาพวงจรปิดจากส่วนราชการ และภาคธุรกิจเอกชนต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันกว่าจะขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดได้ต้องใช้เวลาหลายวัน ทั้งๆ ที่เป็นหลักฐานสำคัญในการช่วยเหลือชีวิตให้ทันท่วงที

สุดท้ายจะป้องกันอย่างไรก็แล้วแต่ "สถาบันครอบครัว" เป็นสถาบันที่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด "ความรัก ความห่วงใย ความใส่ใจ และความไม่ประมาท"ของพ่อแม่ถือเป็นภูมิคุ้มกันอันตรายต่อลูกน้อยที่ดีที่สุด

อุทธาหรณ์จากกรณี "น้องการ์ตูน" น่าจะเป็นบทเรียนสุดท้ายที่ทุกภาคส่วนควรหันมาใส่ใจปัญหาอาชญากรรมเด็กมากขึ้นกว่าเดิม อย่าให้ "วัวหายแล้วต้องมานั่งล้อมคอก"ให้กลายเป็น"แผลกลางใจ"ที่ยากที่จะลบเลือนใจใครเลย


กำลังโหลดความคิดเห็น