ASTVผู้จัดการออนไลน์ - ย้อนรอยคดีมหันตภัยสังคม "ไอ้หนุ่ย ติ๊งต่าง" ฆาตกรโหดฆ่าข่มขืนเด็กต่อเนื่อง ถึงเวลาสังคายนากฏหมาย "แจ้งความ - ดูภาพวงจรปิด - เพิ่มโทษประหาร"สิ่งที่ต้องรีบแก้
นับเป็นคดีสะเทือนขวัญคนไทยทั้งประเทศโดยเฉพาะหัวอกคนเป็นพ่อแม่ทุกคน กรณีคนร้ายลักพาตัว น้องการ์ตูน วัย 6 ขวบไปฆ่าข่มขืนบริเวณป่ารกร้างติดสถานีรถไฟฟ้าแบริ่ง บางนา เมื่อเวลา 23.00 น. ของวันที่ 6 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดย "ไอ้หนุ่ย หรือ ติ๊งต่าง" คนร้ายฆ่าข่มขืน "น้องการ์ตูน" สารภาพหน้าตาเฉยว่า ก่อเหตุข่มขืนเด็กมานับ 10 ครั้ง มีฆ่าตาย 4 ครั้ง เพิ่งถูกตำรวจจับได้แค่ 2 ครั้ง โดยเน้นเลือกเฉพาะเด็กหญิงอยู่โดดเดี่ยวอายุ 12 -13 ปี
ก่อนหน้าการจับกุมคนร้าย บนโลกออนไลน์ทุกคนต่างช่วยกันแชร์และส่งต่อรูปภาพของน้องการ์ตูน เพื่อหวังว่าน้องจะได้กลับคืนสู่อ้อมกอดของครอบครัวอย่างอบอุ่นอีกครั้ง แต่เรื่องจริงช่างโหดร้าย เมื่อพบน้องการ์ตูนในสภาพที่เหลือเพียงกะโหลกศีรษะ กระดูกสันหลัง 1 ท่อน และกระจุกเส้นผมเท่านั้น ชาวเน็ตที่ติดตามและเอาใจช่วยหลายคนต่างสลดใจ แต่ยังมีความหวังว่า ซากทั้งหลายที่พบนั้นจะไม่ใช่น้องการ์ตูน
อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนกลับไปดูประวัติของ "ไอ้หนุ่ย"ก็พบสิ่งที่น่าตกใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก ซึ่งไอ้หนุ่ยกระทำการเช่นนี้มาแล้วกว่า 10 ครั้ง จุดนี้เองทำให้เกิดการตั้งคำถามจากสังคม เหตุใด คนร้ายถึงได้ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำอีก เด็กสาว 4 คน ต้องสังเวยชีวิตให้กับคนแบบนี้ เนื่องจากไอ้หนุ่ย เคยก่อนเหตุมาแล้วอย่างโชกโชน ทั้งข่มขืนและข่มขืนฆ่า เลือกเหยื่อที่เป็นเด็กหญิงล้วนๆ
ย้อนประวัติของไอ้หนุ่ย พื้นเพเป็นชาวพม่า จึงไม่มีนามสกุล เกิดแล้วมาอาศัยอยู่ที่สถานสงเคราะห์เด็ก ตั้งแต่เด็กจนอายุ 7 ขวบ กับแม่พิม พ่อลอง คนไทยที่รับไปเลี้ยงดูอยู่ที่บ้านใน อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น พอโตมาอายุ 15 ปี แม่พิมกับพ่อลองเสียชีวิต จึงไปอาศัยอยู่กับญาติของแม่พิม พ่อลอง ที่อยู่หมู่บ้านใกล้ๆ กัน ไม่ได้ไปเรียนหนังสือแต่อย่างใด อาศัยทำงานก่อสร้างทั่วไป ทั้ง กทม.และต่างจังหวัด โดยมีญาติชักชวนมา ต่อมานายหนุ่ยมีเมียชื่อ นางบุญจันทร์ ขันติ อยู่บ้านเลขที่ 78 หมู่ที่ 2 ต.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น จึงอาศัยอยู่ที่บ้านเมียช่วงหนึ่ง
พฤติกรรมดิบครั้งแรกของไอ้หนุ่ย คดีแรกที่ต้องเข้าคุกคือ-อนาจาร ด.ญ.7 ขวบ เริ่มวันที่ 18 ม.ค.51 ที่งานวัด หรืองานบุญปู่เปือยน้อย ต.เปือยน้อย อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น นายหนุ่ย ไปเที่ยวงานเจอเด็กอายุ 7 ขวบ มาเที่ยวงานอยู่คนเดียว เลยเข้าไปถาม “พ่อแม่อยู่ไหน” เด็กตอบว่า “พ่อแม่อยู่ในงาน” จึงได้ชักชวนหลอกล่อเด็กจะพาไปเดินเล่น ซื้อขนม พอสบโอกาส พาเด็กเดินไปที่เปลี่ยวริมห้วย จึงลงมือบีบคอให้สลบก่อนเพื่อไม่่ให้เด็กส่งเสียง แล้วลงมือถอดเสื้อผ้าออกหมด ทำอนาจารแต่ไม่สำเร็จ แล้วเอาตัวเด็กไปวางที่กอไผ่ ป่ารกตลอดคืน ช่วงเช้ามีคนมาพบจึงนำส่ง รพ. ซึ่งเด็กจำหน้าได้จึงพาตำรวจมาชี้ตัวที่บ้านเมีย จึงถูกจับกุมดำเนินคดี
ต่อมา 24 ส.ค. 55 ไอ้หนุ่ยได้พ้นโทษออกมาจากเรือนจำอำเภอพล จ.ขอนแก่น มาอาศัยอยู่ที่บ้านเมีย อ.เปือยน้อย จ.ขอนแก่น พักอยู่เกือบเดือน แต่ชาวบ้าน ผู้ใหญ่บ้านในหมู่บ้านนั้น มาขับไล่ไม่ยินยอมให้พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน กลัวว่านายหนุ่ยจะมาก่อเหตุกับเด็กในหมู่บ้านซ้ำอีก หมอนี่จึงออกมาจากบ้านเมียใน อ.เปือยน้อย มาทำงานอยู่ใน กทม. แถวหมอชิต ยึดอาชีพเก็บของเก่า กระดาษ กระป๋อง แถวหมอชิตขาย พักนอนอาศัยอยู่ใต้สะพานลอย ทำงานได้ไม่กี่วัน มีคนมาชวนไปทำงาน นายหนุ่ยจึงได้ไปทำงานลงเรือออกทะเลประมาณ 2 เดือน พอเรือกลับมาเข้าฝั่ง ก็หลบหนีออกจากงานเนื่องจากไม่ได้รับค่าแรง แล้วเดินหางานอยู่ใน กทม. รับจ้างล้างจานที่ร้านก๋วยเตี๋ยวใกล้ท่าน้ำนนท์
ต่อมาได้ถูกชักชวนไปทำงานม้าหมุน อยู่ประมาณเกือบปี เจ้าของม้าหมุนชื่อ "กระต่าย" บ้านอยู่ก่อนเข้าตัวเมืองนครราชสีมา แล้วออกจากงานมาอยู่กับรถบั๊ม ไปแสดงงานต่างๆ อยู่ช่วงหนึ่ง ออกจากรถบั๊ม มาพักอาศัยนอนตามท้องสนามหลวง ขอข้าววัดกินบ้าง ขอทานบ้างไปตามประสา ต่อมาหางานทำที่หลังหมอชิตใหม่ มีวงหมอลำมาเล่น จึงไปขอสมัครงาน ตั้งเวทีกับคณะ "ศรเพชร" แล้วได้ย้ายวงหมอลำไปเรื่อยๆ สุดท้ายจึงขอเข้าทำงานที่วงดนตรีหมอลำไหมไทย เดินสายรับงานแสดงทั่วไป
หลังพ้นคดีเมื่อปี 51 นายหนุ่ยหวนกลับมาก่อเหตุอีกครั้ง เป็นคดีของงานกาชาดจังหวัดเลยคือการลวงข่มขืน ด.ญ.4 ขวบ ในวันที่ 5 ก.พ. 56 ที่งานกาชาด ดอกฝ้าย อ.เมืองเลย วันนั้นนายหนุ่ยออกจากบ้านเปือยน้อย จ.ขอนแก่น นั่งรถเมล์มาเมืองเลย เพื่อไปเที่ยวงานกาชาด นั่งรถไปถึงงานช่วงค่ำๆ เดินเข้าไปเที่ยวในงาน ซื้อเบียร์มาดื่ม แล้วเดินเที่ยวรอบๆ งาน มาพบ ด.ญ.เอ นามสมมติ เดินอยู่คนเดียว สูงประมาณเอวนายหนุ่ย เดินเข้าไปสอบถาม “ทำไมไม่่ไปหาพ่อแม่” จึงชวนไปเดินเล่น ชักชวนพาไปดูของเล่น และซื้อปืนของเล่นที่มีเสียง ไฟกะพริบ ราคากระบอกละ 39 บาท แล้วชวนเดินออกมานอกงาน เดินมาตามถนน เดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงร้านขายรถหกล้อมือสองอยู่ตรงกันข้ามกับแท็งก์น้ำประปา เป็นซอยเข้าวัดป่า เข้าไปในซอยวัดเป็นถนนลูกรัง เห็นป่าจึงพาเด็กเข้าไป แล้วลงมือบีบคอเด็กจนนอนนิ่งไป จับถอดกางเกง ถอดเสื้อผ้าออกก่อนกระทำชำเรา แล้วหลบหนีไป ทิ้งเด็กไว้ที่บริเวณดังกล่าวอย่างไม่แยแส ซึ่งล่าสุดมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่พบชิ้นส่วนกระดูกมนุษย์ ซึ่งคาดว่าจะเป็นของเด็ก ตอนนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบ
คดีต่อไป เหตุเกิดที่ อ.วัดสะพุง จ.เลย เป็นงานสินค้าราคาถูก ที่มีวงหมอลำเล็กๆ มาแสดง ขณะนั้นนายหนุ่ย ทำงานก่อสร้างอยู่กับเถ้าแก่ อ.เมืองเลย ไปซื้อของกับเถ้าแก่และคนงานหลายคน เมื่อไปถึง อ.วังสะพุง นายหนุ่ยขออยู่เที่ยวงานก่อน ไม่ได้กลับไปพร้อมกับเถ้าแก่ มาเดินเล่นในงานซื้อเบียร์ดื่ม เห็น ด.ช.นั่งอยู่ เข้าไปพูดคุยด้วย แล้วนายหนุ่ยชวนออกมาแล้วพาเข้าไปในป่า ในสวนยาง พยายามลวนลาม แต่เด็กถามว่า “พี่จะทำอะไร” นายหนุ่ยจึงลวนลามภายนอก หลังจากเสร็จแล้วเดินออกมาพร้อมกัน
อีกคดีเหตุเกิดที่ อ.เมืองเลย กระทำอนาจาร ด.ญ. ซึ่งเป็นลูกหลานคนงานก่อสร้าง ที่พักอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่ไม่ถึงขั้นข่มขืน ต่อมานายหนุ่ยกลัวว่า ด.ญ.คนนั้นจะไปบอกพ่อแม่ จึงบีบคอจนสลบไป พอดีแม่ด.ญ.นั้นผ่านมาพอดี จึงนำส่ง รพ. ต่อมานายหนุ่ยได้ลาออกจากงานหลบหนีไป
ส่วนอีกรายเมื่อวันที่ 4 ธ.ค. 56 เหตุเกิดที่วัดสีกัน ดอนเมือง กทม. นายหนุ่ยมาตั้งเวทีหมอลำเสร็จแล้วไปซื้อเบียร์ดื่ม เห็น ด.ญ. จึงเข้าไปคุยด้วยแล้วพาเข้าไปในป่า บีบคอจนสลบไป จับถอดเสื้อ ถอดกางเกงแล้วทำอนาจาร โดยใช้ถุงยางอนามัยเพื่อให้หล่อลื่น ซึ่งตอนแรกคดีนี้นายหนุ่ยให้การว่าลงมือฆ่าเด็ก เพราะวันนั้นเด็กหมดสติไป ส่วนตนเองหลบหนีออกมาทันที แต่เมื่อเจ้าหน้าที่พาไปชี้จุดในวันที่ 17 ธ.ค. หมอนี้กลับทำพลิ้วบอกไม่ได้ฆ่า
ต่อมา นายหนุ่ยก่อคดีอีก เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. 56 เหตุเกิดที่ ตลาดสุขสวัสดิ์ สามแยกบางบอน พา ด.ญ.ออกจากงานแล้วพาเข้าป่าไปลงมือทำอนาจาร ไม่ได้ถอดเสื้อ ถอดแต่กางเกง ไม่ได้บีบคอ ทำอนาจารไม่นานพอเสร็จแล้ว นุ่งกางเกงให้เด็ก แล้วบอกให้มาหาแม่ที่ทำงานแล้วจูงมือเด็กออกมา เป็นเด็กอายุ 13 ปี และอีกครั้งวันที่ 6 ธ.ค.56 ปากซอยลาซาล สุขุมวิท 105 บางนา กรณี "น้องการ์ตูน" ข่มขืนฆ่ากระทั่งถูกจับได้
อีกราย วันที่ 9 ธ.ค. 56 บ้านโคกอุดม อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี พอตั้งเวทีเสร็จ นายหนุ่ยซื้อเบียร์มาดื่ม แล้วเดินออกจากงานมาเห็นเด็ก ถามว่าทำไมไม่เข้าไปในงาน เด็กบอกว่ารอแม่อยู่ข้างนอก ด.ญ.ไม่สูง เจอหน้างานแล้วเข้าไปคุยด้วย พาเข้าไปที่เปลี่ยว แล้วลงมือบีบคอเด็กจนแน่นิ่งไป แล้วถอดกางเกง หลังเสร็จกิจเดินกลับเข้ามาในงานเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จุดนี้นายหนุ่ยยืนยันกับตำรวจว่า ออกจากงานไปไม่ไกล อยู่ใกล้ทุ่งนา มีกอไผ่น้อยๆ พาเข้าไปในกระท่อมน้อยกลางป่า ขณะนั้นเด็กพูดว่า "เดี๋ยวแม่จะถามหา" ส่วนเหตุผลที่บีบคอ เพราะกลัวเด็กร้องให้คนมาช่วย แต่คนไหนที่ร้องจะบีบแรง ถ้าคนไหนไม่ร้อง จะบีบค่อยๆ ทุกรายจะใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้ง รายนี้นายหนุ่ยเห็นว่าไม่หายใจแล้ว จึงเดินกลับออกมา
วันที่ 8 ธ.ค. 56 เหตุเกิดที่ มินิคอนเสิร์ต อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา พอตั้งเวทีเสร็จแล้ว นายหนุ่ยไปซื้อเบียร์ 3 กระป๋อง เหล้าขาว 2 กั๊ก ดื่มจนเมา เดินออกมามองเห็นเด็กยืนอยู่คนเดียว เข้าไปถามว่า “แม่ไปไหน มากับใคร” เด็กพูดว่า “แม่มาขายของ” เด็กไม่ทราบอายุชัดเจน ตัวไม่สูง ต่ำกว่าเอว ไม่ล่ำ ไม่ผอม นายหนุ่ยถามว่า “ทำไมไม่่ไปหาแม่” นายหนุ่ยพาเดินเล่นแล้วมองหาสถานที่เพื่อทำอนาจาร เป็นซอยเข้าไปข้างในไม่่ไกลมาก พาเข้าไปก็บีบคอ เด็กถามว่า “พี่จะทำอะไร” นายหนุ่ยบอกว่า “แป๊บเดียว” นายหนุ่ยบีบคอค่อยๆ จนเด็กสลบไป และทำอนาจารประมาณ 10 นาที เสร็จแล้ว เด็กฟื้นขึ้นมา นายหนุ่ยบอกให้ใส่เสื้อผ้า เสร็จแล้ว “เด็กบอกว่าอยากไปหาแม่” นายหนุ่ยจึงพาเด็กออกมาที่งาน แล้วเห็นเด็กเดินเข้าไปหาแม่ที่ร้านขายลูกชิ้น
เรียกว่า ก่อคดีมานับไม่ถ้วนจนสังคมต้องตั้งคำถามว่า ฆาตกรที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญนับไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทำไมถึงยังลอยนวลเดินอยู่ในสังคมมาได้จนถึงทุกวันนี้ เป็นเพราะว่ากฎหมายมีบทลงโทษที่เบาบางไปหรือไม่หรือเป็นเพราะว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมีประสิทธิภาพหย่อนยานในการทำงาน
ยิ่งครั้งล่าสุดด้วยแล้วการจับกุมไอ้หนุ่ยได้ก็หาใช่ว่าเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเสาะแสวงหาตัวไอ้หนุ่ยมา แต่กลับเป็นพลังของพลเมืองดีที่ได้แจ้งเบาะแสว่าเสื้อที่ไอ้หนุ่ยใส่นั้น เป็นเสื้อของทีมงานลูกทุ่งหมอลำชื่อดัง จึงคาดว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับคนงานที่จัดแสดงคอนเสิร์ตทำให้เจ้าหน้าที่เร่งติดตามไปยัง อ.ท่าบ่อ จ.หนองคาย จนกระทั่งพบ ตัวนายหนุ่ย ที่ทำหน้าที่เป็น คอนวอย หรือ คนยกของในทีมงาน โดยมีรูปพรรณสันฐานใกล้เคียงกับคนร้ายในภาพวงจรปิดบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ทำสอบสวนนานหลายชั่วโมง แต่ผู้ต้องหายังไม่ยอมรับสารภาพ จนกระทั่งตามไปพบ เสื้อทีมงานที่ใส่ ในวันเกิดเหตุ ทำให้ผู้ต้องหาถึงกับผงะก่อนยอมรับว่าเป็นคนลงมือ ข่มขืนน้องการ์ตูน แล้วใช้มือบีบคอ จนเสียชีวิตจริง
โดยก่อนเกิดเหตุ ไอ้หนุ่ยอ้างว่า พบเด็กกำลังวิ่งเล่นภายในงานคอนเสิร์ตจึงเข้าทำทีตีสนิท ก่อนพาเข้าไปภายในพื้นที่รกร้างใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส แบริ่ง ฝั่งตรงข้ามคอนเสิร์ตซึ่งเป็นที่มืดเปลี่ยว แล้วลงมือข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ จากนั้นจึงฆ่าปิดปากด้วยการบีบคอจนเด็กเสียชีวิต แล้วก็กลับไปทำงานตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งมาถูกจับกุมได้ดังกล่าว ทั้งนี้ ผู้ต้องหา เคยถูกจับกุมคดีพรากผู้เยาว์ เมื่อปี 51 ต้องจำคุกเป็นเวลา 3 ปี 8 เดือน 11 วัน ในเรือนจำพล อ.พล จ.ขอนแก่น และพ้นโทษเมื่อ 23 ส.ค. 55 ที่ผ่านมา
จนเกิดคำถามให้สังคมว่า หากกฎหมายไทยเด็ดขาดและลงโทษให้หนักกว่านี้ ชีวิตอีกหลายชีวิตอาจจะไม่ต้องถูกสังเวยชีวิตให้ฆาตกรแบบไอ้หนุ่ยก็เป็นได้
ทำให้สังคมโซเซียลตื่นตัวกันยกใหญ่ และต้องการที่จะถือโอกาศเปลี่ยนในครั้งนี้ คือการให้เพิ่มโทษกฎหมายลงโทษผู้กระทำผิดในข้อหากระทำชำเราให้รุนแรงยิ่งขึ้น โดยในขณะนี้ ได้มีการเปิดให้ร่วมลงชื่อที่ http://www.change.o r g ซึ่งหัวข้อดังกล่าวเกิดขึ้นโดย "จ่าพิชิต ขจัดพาลชน" เจ้าของเพจ เฟซบุ๊ก DramaAddict ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในโลกออนไลน์
ทั้งนี้ เนื้อหาดังกล่าว จ่าพิชิต ขจัดพาลชน ระบุเหตุผลไว้ดังนี้ "ปอ. มาตรา ๒๗๖ ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้น เข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น ต้องระวาง โทษจำคุก ตั้งแต่ สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท
การกระทำชำเราตามวรรคหนึ่ง หมายความว่า การกระทำ เพื่อสนองความใคร่ของผู้กระทำ โดยการใช้อวัยวะเพศของผู้กระทำกระทำกับ อวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือช่องปากของผู้อื่น หรือการใช้สิ่งอื่นใดกระทำกับอวัยวะเพศ หรือ ทวารหนักของผู้อื่น
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืน หรือวัตถุระเบิด หรือ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกัน อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง หรือกระทำกับชาย ในลักษณะเดียวกัน ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ สิบห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต
ถ้าการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง เป็น การกระทำความผิดระหว่างคู่สมรสและคู่สมรสนั้น ยังประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ เพียงใดก็ได้ หรือจะกำหนดเงื่อนไข เพื่อคุมความประพฤติแทนการลงโทษก็ได้ ในกรณีที่ ศาลมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุก และคู่สมรส ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ประสงค์จะอยู่กินด้วยกัน ฉันสามีภริยาต่อไป และประสงค์จะหย่า ให้คู่สมรสฝ่ายนั้นแจ้งให้ศาลทราบ และให้ศาล แจ้ง พนักงานอัยการให้ดำเนินการฟ้องหย่าให้
นี่คือโทษสำหรับการกระทำผิดฐานกระทำชำเราในทุกวันนี้ซึ่งมันเบาบางมาก ระหว่างอยู่ในคุกถ้ามีความประพฤติดีหรือมีการลดหย่อนโทษให้ ผ่านไปแค่สามสี่ปีผู้ต้องขังก็จะได้ออกมาลอยนวลนอกคุกอีกครั้ง ผู้ต้องหาหลายๆรายหลังออกจากคุกยังไม่สำนึกผิด ก่อเหตุ กระทำชำเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า บางรายยิ่งก่อเหตุรุนแรงมากขึ้น จากข่มขืน กลายเป็นฆ่าข่มขืนหรือข่มขืนผู้เยาว์ เมื่อเทียบกับชีวิตของเหยื่อผู้เสียหาย ที่บางคนต้องติดเชื้อจากการข่มขืน บางคนได้รับบาดแผลทางจิตใจจนยากที่จะกลับมาใช้ชีวิตดังเดิม
การข่มขืนไม่ใช่แค่การล่วงละเมิดทางเพศ แต่มันคือการทำลายชีวิตของเหยื่อผู้เสียหาย ไม่ต่างไปจากการฆาตกรรมหรือประทุษร้ายถึงแก่ชีวิต แต่โทษของการข่มขืนในปัจจุบัน คือการจำคุกเพียง 4 ถึง 20 ปี เท่านั้น เหตุใดเราจึงไม่ควรเพิ่มโทษของการข่มขืนให้อย่างน้อยเท่าเทียมกับการฆาตกรรม หรือจนถึงขั้นจำคุกตลอดชีวิตล่ะ ถ้าการจำคุกมันไม่สามารถทำให้ผู้กระทำผิดกลับตัวกลับใจได้ อีกประเด็นที่ควรแก้ไขคือการบรรเทาโทษให้กับผู้ต้องขังคดีข่มขืนกระทำชำเรา
กฎหมายระบุเอาไว้ว่า มาตรา 78 เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ไม่ว่าจะได้มีการเพิ่มหรือการลดโทษตามบทบัญญัติ
แห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมาย อื่นแล้วหรือไม่ ถ้าศาลเห็นสมควรจะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษ ที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้ เหตุบรรเทาโทษนั้น ได้แก่ผู้กระทำความผิดเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญาตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีคุณความดีมาแต่ก่อน รู้สึก ความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น ลุแก่โทษต่อ เจ้าพนักงานหรือให้ความรู้แก่ศาล อันเป็นผลประโยชน์แก่การพิจารณา หรือเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่ามีลักษณะทำนองเดียวกัน
นอกจากเราควรจะเพิ่มโทษให้กับผู้กระทำชำเราแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่สำคัญคือ ยกเลิกการบรรเทาโทษให้แก่ผู้ต้องขังเสีย และยกเลิกการพระราชทานอภัยโทษให้กับผู้ต้องขังในคดีกระทำชำเราด้วย ยกตัวอย่างเช่น ล่าสุดกรณีเด็กหญิงอายุหกขวบคนนึงหายตัวไปหลังจากไปดูงานคอนเสิร์ตกับครอบครัว สุดท้ายพบกะโหลกศีรษะของเด็กผู้หญิงคนนี้ฝังอยู่ในพงป่าใกล้สถานี BTS แบริ่ง เมื่อตำรวจจับกุมผู้ต้องสงสัยได้ ปรากฏว่าผู้ต้องสงสัยคนนี้รับสารภาพว่าได้พาเด็กหญิง ไปบีบคอและข่มขืนกระทำชำเราจนสำเร็จความใคร่และปล่อยให้เด็กหญิงนอนรอความตายอยู่ในพงป่านั้น
ประเด็นคือผู้ต้องหาคนนี้เพิ่งพ้นโทษในคดีพรากผู้เยาว์มาหมาดๆ แต่หลังจากถูกจำคุก 3 ปี 8 เดือน สภาพแวดล้อมความลำบากในเรือนจำไม่ได้ช่วยให้จิตใจของมันดีขึ้นเลย เช่นนี้เรายังไม่ควรจะเพิ่มโทษ ในคดีข่มขืนกระทำชำเราให้รุนแรงกว่าเดิม และยกเลิกการอภัยโทษหรือบรรเทาโทษให้กับคนจำพวกนี้อีกหรือ หรือจะรอให้เหยื่อคนต่อไปคือญาติมิตรของคุณเสียก่อน"
อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องมีการนำมาหยิบยกแก้ไข คือ ตัวบทกฏหมายที่ระบุว่าการแจ้งความบุคคลสูญหาย นั้นต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมงก่อนจึงจะแจ้งความดำเนินคดีได้นั้น ถือเป็นปัญหาสำคัญเช่นกัน คงปฏิเสธไม่ได้เลยจริง ๆ ว่าเด็กเมื่อตกอยู่ในสภาพวะอันตรายยากที่จะช่วยเหลือตนเองได้นั้น หลายกรณี พ่อแม่ญาติพี่น้องทราบว่าเด็กหายตัวไป แต่ไม่สามารถแจ้งความกับตำรวจให้ช่วยติดตามหาตัวเด้กได้อย่างทันท่วงที เนื่องจากตำรวจมักจะอ้างว่ายังไม่ครบ 24 ชั่วโมง ไม่สามารถแจ้งความได้ บางรายหนักหน่อยไล่พ่อแม่กลับไปหาเด็กทที่บ้านให้ดี ๆ เสียก่อน เดี๋ยวเด็กก็กลับมาเองแหละ คำพูดล้วนแล้วแต่ทำให้เจ็บปวดใจในสถานการณ์ที่ยากที่หลายคนจะเข้าใจหายไม่ประสบเหตุการณ์ด้วยตนเอง พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา สบ.10 เล็งเห็นถึงปัญหาสำคัญนี้มีส่วนทำให้ปัญหาอาชญากรรมเด็กรุกลามบานปลายออกไป จึงสั่งให้พนักงานสอบสวนทุกสถานีตำรวจให้รับแจ้งความบุคคลสูญหายได้ทันที ไม่ต้องรอให้ครบ 24 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตามคำสั่งดังกล่าวยังเป็นเพียงแค่คำสั่งแบบไฟไหม้ฟางในช่วงสถานการณ์คดีที่มีความรุนแรงกับเด็กในช่วงนี้ ยังไม่ได้ออกมาเป็นตัวบทกกหมาสยฉับแก้ไขเพิ่มเติม ที่ควรระบุลงไปเลยว่า กรณีการสูญหายของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ควรให้ผุ้ปกครองสามารถเข้าแจ้งความได้ทันทีที่ทราบว่าเด้กหายตัวไป พร้อมกับมีการติดตามหาเด็กร่วมกันหลาย ๆ ภาคส่วนอย่างจริงจังและตื่นตัว
อีกเรื่องที่ต้องมีการสังคายนา คือเรื่องการขอตรวจสอบดูภาพวงจรปิดจากส่วนราชการ และภาคธุรกิจเอกชนต่าง ๆ ต้องมีการตั้งวงสัมมนาทำความเข้าใจร่วมมือร่วมใจกันเรื่องคอขาดบาดตายเช่นนี้ ตำรวจมีอำนาจหน้าที่ขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดได้ทันที ในขณะเดียวกันส่วนราชการหรือภาคเอกชนต่าง ๆ ก็ควรให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน ไม่ควรต้องให้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากซับซ้อนหลายขั้นตอนกว่าจะขอตรวจสอบกล้องวงจรปิดได้ที่ต้องใช้เวลาหลายวัน ถือเป็นเรื่องสำคัญเป็นอย่างยิ่งเพราะงหลักฐานภาพบันทึกกล้องวงจรปิดเป็นความหวังชิ้นเดียว ในความเป็นความตายของชีวิตน้อย ๆ ที่กำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างไร้เดียงสา
แม้ความหวังจะริบหรี่! แต่เชื่อว่าหากมีการแก้กฏหมายเรื่องการเข้าแจ้งความกรณีเด็กสูญหายได้ทันที และมีการขอตรวจสอบดูภาพกล้องวงจรปิดตามสถานที่ต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว "โอกาสในการสูญเสียย่อมลดลงเช่นกัน"
สุดท้ายจะป้องกันอย่างไรก็แล้วแต่ "สถาบันครอบครัว" เป็นสถาบันที่ใกล้ชิดเด็กมากที่สุด "ความรัก ความห่วงใย ความใส่ใจ และความไม่ประมาท"ของพ่อแม่่ถือเป็นภูมิคุ้มกันอันตรายต่อลูกน้อยที่ดีที่สุด
มิฉะนั้น! ปัญหา "ไอ้บ้ากาม! ข่มขืนเด็ก" ก็คงยังมีอยู่เรื่อย ๆ ทุกวี่วัน สังคมทุกวันนี้ "อันตราย" อยู่ข้างกายทุกที่ทุกเวลา ยังมี "ไอ้บ้ากามจิตวิตถาร"อีกเป็นจำนวนมากที่เดินปละปนอยู่ในสังคมโดยเราไม่รู้ตัว!!!
อุทาหรณ์จากกรณี "น้องการ์ตูน" น่าจะเป็นบทเรียนสุดท้ายที่ทุกภาคส่วนควรหันมาใส่ใจปัญหาอาชญากรรมเด็กมากขึ้นกว่าเดิม อย่าให้ "วัวหายแล้วต้องมานั่งล้อมคอก"ให้กลายเป็น"แผลกลางใจ"ที่ยากที่จะลบเลือนใจใครเลย
อย่างไรก็ตามประชาชนก็ได้แต่หวังว่า เหตุการณ์สะเทือนขวัญครั้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่รุนแรงและรัดกุมขึ้น "โทษประหาร" นักโทษคดีข่มขืนเด็กเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ควรมีการหยิบยกมาพิจารณากันเสียใหม่ ซึ่งนั้นอาจหมายถึงขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควรมีความรวดเร็ว ท่วงทันต่อเหตุการณ์การหายตัวของเด็ก ต้องแก้ไขกฏหมายให้สามารถแจ้งความเด็กสูญหายได้ทันที และอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งราชการและภาคธุรกิจเอกชนในการรตรวจสอบดูภาพกล้องวงจรปิดได้ทันที เพื่อที่จะไม่ให้เกิดเหตุสลดใจเพราะช่องโหว่ของกฎหมายให้น้อยที่สุดในสังคมไทยต่อไป
สุดท้ายสรุปว่า "สถาบันครอบครัว" ยังถือเป็นสถาบันหลักในสังคม คาถาง่าย ๆ "ความรัก ความห่วงใย ความใส่ใจ และความไม่ประมาทไม่ปล่อยเด็กไว้คนเดียว" พ่อแม่ทุกคนท่องให้ขึ้นใจ เชื่อว่าจะสามารถลดปัญหา "เด็กถูกข่มขืน" ได้อย่างแน่นอน ดีกว่าไปฝากความหวังกับการจัดตั้ง "ศุนย์พิทักษ์คนหาย" ที่มูลนิธิกระจกเงาพยายามเรียกร้องมาโดยตลอดแต่ไม่ได้รับการตอบสนองจากภาครัฐเลยแม้แต่น้อย.