– เมื่อ “อำนาจประชาชน” ผงาดขึ้นเป็น “อำนาจกำหนด” การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้จริง
(18 ธ.ค.56)
และแล้ว การต่อสู้ของประชาชนไทยที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานร่วมแปดปี (ตั้งแต่ปลายปี 2548 – ปัจจุบัน) ก็เกิดผลสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อได้พลิกขึ้นมาเป็นฝ่ายรุกทั้งทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ด้วยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของ “มวลมหาประชาชน”
นั่นหมายถึงว่า วันเวลาแห่งการ “ปิดเกม”ระบอบทักษิณ ใกล้มาถึงแล้ว !
เดินหน้า “จี้” และ “เขย่า”
เฉพาะหน้านี้ จึงไม่เป็นที่สงสัยอะไรอีกต่อไปแล้ว ว่าสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นต่อจากนี้ ก็คือ “ปฏิรูปการเมือง” มิใช่การ “เลือกตั้ง” ขบวนการประชาชนฯอันประกอบไปด้วย “กปปส.” “คปท.” และ “กปท.” เป็นต้น ได้เพิ่มปฏิบัติการเชิงรุก ทั้งใช้กลุ่มมวลชนเคลื่อนที่เร็ว “จี้” เข้าไปยังจุดสำคัญๆที่ยังโลเล ไม่กล้ายืนข้างประชาชน ประสานกับการ “เขย่า”รัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างรุนแรงด้วยมวลมหาประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน
การ “จี้”ทำได้ทุกวัน วันละหลายๆจุด ส่วนการ “เขย่า” ทำได้เมื่อเห็นว่าจำเป็น และต้องเห็นผลชัดเจน สามารถทำลายขวัญรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การแตกสลายของเครือข่ายระบอบทักษิณในวงกว้างยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ในท่ามกลางการรุกตีอย่างต่อเนื่อง ขบวนการประชาชนฯ ก็สามารถปรับและยกระดับตัวเอง ทั้งทางด้านความคิดทฤษฎี (ความตื่นรู้) และการจัดตั้ง เช่นที่ กปปส.กำลังขยายเครือข่ายสาขาไปทั่วทั้งประเทศได้อย่างรวดเร็ว
สร้าง “อำนาจประชาชน” ให้เป็นอำนาจนำเหนือ “อำนาจปืน” และ “อำนาจทุน”
มองในภาพรวม ขบวนการประชาชนฯจะมีความเข้มแข็ง ขยายตัวใหญ่โตยิ่งขึ้น ดำเนินการเคลื่อนไหวต่อสู้ได้ดีและถูกต้องยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ได้รับการสนับสนุนจากคนไทยทั้งในและต่างประเทศในวงกว้างยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามารถแสดงถึงความเป็น “อำนาจกำหนด”การเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ยากที่อำนาจทุนหรืออำนาจปืนจะเทียบได้
อีกนัยหนึ่ง “อำนาจนำ”สังคมไทยวันนี้ ได้เปลี่ยนจาก “อำนาจปืน” (ทหาร/กองทัพ) และอำนาจทุน (กลุ่ม/พรรคการเมือง) มาเป็น “อำนาจประชาชน” (ขบวนการประชาชนฯ/กองทัพมวลชนตื่นรู้)แล้ว !
มองในทางประวัติศาสตร์ โครงสร้างอำนาจแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยเช่นนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากอดีต ทั้งในประเทศไทยและในโลกโดยรวม
ในทัศนะของผู้เขียน มันเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่สะท้อนถึงแนวโน้มอนาคตทางการเมืองการปกครองของมวลมนุษยชาติอย่างมีนัยสำคัญ
จึงมั่นใจอย่างยิ่งว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่วันนี้ จะต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะแบ่งยุคแบ่งสมัย คือหลุดพ้นจากยุคที่ “อำนาจปืน” และ “อำนาจทุน” ปกครองประเทศ โดย “อำนาจประชาชน” ก้าวขึ้นเป็น “อำนาจกำหนด” การขับเคลื่อนของประเทศชาติ กำหนดเป้าหมายและทิศทางการพัฒนาประเทศ เพื่อยังประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติประชาชน
ณ วันนี้ ไม่ว่าที่ใดในโลก “อำนาจปืน” ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมโลกแล้ว ในบางประเทศ เช่นอียิปต์ ทหารจะยังคงใช้อำนาจควบคุมสถานการณ์อยู่ แต่ก็จะต้องปล่อยให้มีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนในอนาคตอันใกล้นี้
หมายความว่า แม้ทหารจะเข้าควบคุมสถานการณ์ แต่ก็ทำได้ในระยะสั้นๆเท่านั้น
ส่วนประเทศที่ปกครองด้วย “อำนาจทุน” ก็ต้องจมลงไปในวงจรอุบาทว์ของการทุจริตโกงกิน ซึ่งดำเนินไปอย่างแยบยล ตามธรรมชาติแห่งความโลภของกลุ่มทุน ก่อให้เกิดการแยกขั้วอย่างรุนแรงระหว่างคนรวยกระจุกเดียวกับคนจนที่กระจายกันอยู่ทุกซอกมุมของสังคม แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกา ที่เป็นต้นแบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยในโลกตะวันตก ก็ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารความเหลื่อมล้ำ ถึงกับเกิดขบวนการ “ยึดวอลล์สตรีท” ผู้คนจำนวนมากพากันชุมนุมประท้วงความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นระหว่างคนรวย 1% กับคนจน 99%
ผลเสียจากการปกครองของ “อำนาจทุน” ยิ่งปรากฏชัดในประเทศกำลังพัฒนา เป็นเหตุสำคัญอันดับต้นๆที่ทำให้การพัฒนาของประเทศเหล่านั้น ไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
ประเทศไทยที่อยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ก็คือตัวอย่างของความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของการใช้ “อำนาจทุน” บริหารประเทศ เพราะเพียงสิบสองปีเท่านั้น กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณก็กอบโกยความมั่งคั่งเข้าตัวมากมายหลายแสนล้าน ผลักดันให้ประเทศชาติเผชิญหน้ากับสภาวะล้มละลาย ประชาชนมีหนี้สินล้นตัว และเมื่อประชาชน “ทนไม่ไหว” จึงได้พากันลุกฮือขึ้นต่อต้าน ประกาศตนเป็น “เจ้าภาพ” เคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบใหม่ คือสร้างการตื่นรู้ให้แก่มวลชน ดำเนินการเคลื่อนไหวต่อสู้ด้วยสันติวิธี สร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ดำเนิน “สงครามมวลชน” บีบบังคับให้กลุ่มทุนฯคายอำนาจ ลงจากเวที ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติต่อกองทัพอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับสถานภาพที่เป็นจริงของกองทัพ ที่ไม่ใช่อำนาจกำหนดอีกต่อไปแล้ว ปัจจุบันพวกเขาพร้อมที่จะเป็นทหารอาชีพ ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งของ “อำนาจกำหนด” โดยไม่แยกแยะว่าจะเป็นอำนาจทุนหรืออำนาจประชาชน
การผงาดขึ้นของ “อำนาจประชาชน” เป็นเหตุการณ์ “แบ่งยุคแบ่งสมัย”
พิจารณาในมุมมองของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ตามหลักวิเคราะห์ข้างต้น เราจึงได้ข้อสรุปว่า ณ วันนี้ ประเทศไทยจะก้าวพ้นจากวงจรอุบาทว์ได้สำเร็จ ก็ด้วย “อำนาจประชาชน”เท่านั้น เพราะอำนาจปืนได้ก้าวลงจากเวทีไปแล้ว ส่วนอำนาจทุนก็เป็นตัวการสร้างความวิบัติให้แก่ประเทศชาติและประชาชนอยู่ทุกวี่วัน จนเราต้องหาทางกำจัดให้พ้นไปจากเวทีการใช้อำนาจเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ของประชาชนคนไทยวันนี้ จึงมีความเป็น “ต้นแบบ” มากกว่าที่จะเป็นการทำ “ตามแบบ”ประเทศอื่นใด ทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ตรงกันข้าม ประชาชนในประเทศอื่นๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง ด้วยการนำพาประเทศออกจากปลักตมแห่งความล้าหลัง หรือวงจรอุบาทว์ที่สร้างความทุกข์ยากให้แก่พวกเขา คงจะสนใจศึกษาและนำเอาประสบการณ์การต่อสู้ของคนไทยไปประยุกต์ใช้ในการเคลื่อนไหวต่อสู้ของตน
เมื่อประชาชนไทยได้ชัยชนะในขั้นสุดท้าย ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคปฏิรูปใหญ่ในทุกๆด้าน ก็จะยิ่งส่งผลสะเทือนต่อประเทศรอบข้าง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน
จึงกล่าวได้ว่า นี่ไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชาติยุคใหม่ของคนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองแบบใหม่ ที่ประชาชนทั่วโลกสามารถนำไปประยุกต์ใช้ ในประเทศตนได้ด้วย
หัวใจของ “อำนาจประชาชน” คือความ “ตื่นรู้”
เกี่ยวกับ “อำนาจประชาชน” ในระยะเริ่มแรกของการเคลื่อนไหวต่อสู้กับระบอบทักษิณ เรายังไม่อาจสะท้อนแก่นแท้ที่หมายถึง “อำนาจตื่นรู้” ได้อย่างชัดเจน จนกระทั่งการชุมนุมอย่างยืดเยื้อยาวนานถึง 193 วันในปี 2551 คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้นำเสนอแนวคิดเรื่องการ “เอาธรรมนำหน้า” ซึ่งมีเสียงขานรับอย่างกว้างขวางในหมู่มวลชนพันธมิตรฯ ผู้เขียนจึงได้ยกขึ้นมาเป็นหลักทฤษฎี อธิบายว่านี่คือวิธีการเข้าถึงความจริง ที่สามารถนำไปสู่ความตื่นรู้ได้
ผู้เขียนได้ขยายความว่า การ “เอาธรรมนำหน้า”ก็คือการ “เอาความจริงนำหน้า” และการ “ยึดมั่นในความจริงแท้ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยภายนอก” หรือ “กฎภววิสัย” สอดคล้องกับหลักการ“หาสัจจะจากความเป็นจริง” และ “ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง” ของพลพรรคมาร์กซิสต์จีน
โดยนัยนี้ “ความตื่นรู้” จึงหมายถึงการเข้าถึงความเป็นจริงในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติ ต่อสู้กับระบอบทักษิณ โดยเรา “เอาธรรมนำหน้า” ยึดมั่นในความเป็นจริง มุ่งมั่นที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของสิ่งหรือปัญหาที่ดำรงอยู่เสมอ ตั้งแต่ต้นจนปลาย
ด้วยวิธีการเช่นนี้ เราจึงเข้าถึงความจริงระดับสัจธรรมที่ว่า ขบวนการประชาชนฯฝ่ายหนึ่งกับระบอบทักษิณอีกฝ่าย คือคู่ขัดแย้งหลักของสังคมไทยในวันนี้ ผลการต่อสู้กันของคู่ขัดแย้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ของสังคมไทย ด้วยเหตุนี้ เราจะต้องดำเนินการต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณเสียก่อน จึงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยได้อย่างเป็นจริง
การยึดมั่นในความจริงด้วยการ “เอาธรรมนำหน้า”ของมวลหมู่พันธมิตรฯ ได้วางรากฐานให้แก่กระบวนการตื่นรู้ของมวลชน ในห้วงของการสั่งสมทางปริมาณอย่างต่อเนื่องหลายปี (กันยายน 2548- สิงหาคม 2556) จนกระทั่งเกิดการระเบิดใหญ่ของมวลชน “ทนไม่ไหว” เรือนแสนเรือนล้าน ที่ลุกฮือขึ้นต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
มาบัดนี้ ความตื่นรู้ได้กลายเป็นหัวใจหรือแก่นแท้ของขบวการประชาชนฯเรือนแสนเรือนล้านไปแล้วโดยปริยาย เป็นระบบคุณค่าที่กำลังถักทอกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนี้ สิ่งที่เป็นเพียงนามธรรมเมื่อวันวาน (ในรูปความคิด)ที่ว่าจะต้องเกิดขบวนการประชาชนฯที่ใหญ่โต เคลื่อนไหวได้ทีละเรือนแสนเรือนล้าน สะท้านฟ้า สะเทือนดินนั้น ก็ได้กลายเป็นความเป็นจริงรูปธรรมแล้วในวันนี้ เมื่อ “มวลมหาประชาชน” จำนวนหลายล้านคน ภายใต้การนำของ “กปปส.” ได้มาร่วมแสดงพลังขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างมืดฟ้ามัวดินในวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา
ยิ่งกว่านั้น แกนนำ “กปปส.”ยังได้เร่งสร้างเครือข่ายสาขา “กปปส.”ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อขยายวงการเคลื่อนไหวให้พร้อมเพรียงกันทั้งประเทศในการเคลื่อนไหวใหญ่ครั้งต่อๆไป
การจัดตั้งที่เข้มแข็ง จะส่งผลให้ขบวนการประชาชนฯพัฒนาเติบใหญ่มั่นคง เป็นหลักประกันให้แก่การขับเคลื่อนของ “อำนาจประชาชน” ในฐานะ “อำนาจกำหนด” เหนือประเทศไทยในระยะยาวได้เป็นอย่างดี
โครงสร้าง “อำนาจประชาชน” ในฐานะ “อำนาจกำหนด” นำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
โครงสร้างที่ว่าก็คือ “มวลมหาประชาชน-กปปส.-สภาประชาชนรัฐบาลประชาชน”
ณ วันนี้ การผงาดขึ้นของอำนาจประชาชนในรูปของ “มวลมหาประชาชน” ที่นำโดย “คณะกรรมการประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” (กปปส.) จะเป็นฐานรองรับการเกิดขึ้นของ “สภาประชาชน” ได้เป็นอย่างดี
“สภาประชาชน”เป็นองค์กรอำนาจสูงสุดของ “อำนาจประชาชน” เกิดขึ้นได้จริงด้วยการผลักดันของ “กปปส.” หากมิใช่เกิดขึ้นได้เพราะได้รับฉันทานุมัติจากสังคมโดยรวม ทั้งนี้เพราะเป็นความแปลกใหม่ในวงการเมืองของประเทศไทย กระทั่งนักวิชาการส่วนใหญ่ ที่เข้าใจแต่การเมืองในระบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง ก็ยังไม่เข้าใจถ่องแท้ในบทบาทความเป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน โดยสภาประชาชน
อีกทั้ง“สภาประชาชน” ที่เรานำเสนอ ยังแตกต่างจากสภาประชาชนที่มีอยู่ในประเทศจีน ของเราเป็นองค์กรของ “อำนาจประชาชน” ที่รวมเอาตัวแทน “คนไทยทุกฝ่าย” อันหลากหลายและครอบคลุมทั่วถึงไปทุกสาขาอาชีพ มาร่วมกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนของประเทศไทย ขณะที่สภาประชาชนของจีน (เรียกกันเต็มๆว่า “สภาผู้แทนประชาชน”) เป็นองค์กรอำนาจภายใต้การกำกับของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีผู้นำระดับสูงสุดของพรรคฯจีนไปดำรงตำแหน่งประธานสภาฯและตำแหน่งรองๆเป็นลำดับ แม้แต่ผู้แทนสภาฯที่ได้รับเลือกจากประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนใหญ่ก็เป็นสมาชิกพรรคฯ
โดยภาพรวม “สภาประชาชน”ของไทย เป็นองค์กรอำนาจของประชาชน ขณะที่ของจีนเป็นตัวแทนอำนาจของพรรคฯ
รัฐบาลประชาชนถือกำเนิดขึ้น โดยการอนุมัติของสภาประชาชน หมายความว่า คณะรัฐมนตรี อันประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ จะรับผิดชอบการใช้อำนาจบริหารประเทศได้ ด้วยการอนุมัติของสภาประชาชน ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานของคณะรัฐมนตรีดำเนินไปในกรอบกำหนดและการติดตามตรวจสอบ ประเมินผลงานโดยตรงของสภาประชาชน โดยผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆในสภาประชาชน ซึ่งมีฐานมาจากมวลมหาชนโดยตรง สามารถจัดตั้งกำลังคน และหน่วยงานต่างๆ ทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการทำงานของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆได้อย่างใกล้ชิด และทันทีทันใด ไม่ต้องรอให้มาตั้งกระทู้ถามหรืออภิปรายกันในสภาฯ
การทำงานของคณะรัฐมนตรีจึงอยู่ในสายตาของสภาฯตลอดเวลา ไม่มีช่องว่างให้ใช้อำนาจไปในทางมิชอบได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ โครงสร้างอำนาจนิติบัญญัติและการบริหาร ที่ปรากฏออกมาในรูปของ “สภาประชาชน-รัฐบาลประชาชน” คือผลต่อเนื่องของการดำรงอยู่ของโครงสร้าง “อำนาจประชาชน” โดยตรง นั่นคือเป็นผลิตผลของอำนาจ “มวลมหาประชาชน” และ “กปปส.” โดยตรง นี่คือสิ่งยืนยันว่า การใช้อำนาจของ “โครงสร้างอำนาจชั้นบน” (“สภาประชาชน “ และ “รัฐบาลประชาชน”) อยู่ภายใต้การกำกับของ “โครงสร้างอำนาจชั้นล่าง” (“มวลมหาประชาชน” และ “กปปส.”)โดยตรง แสดงออกถึงลักษณะหรือคุณสมบัติแห่งความเป็น “ประชาธิปไตยจากล่างสู่บน”ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ตรงนี้แหละที่เป็นหัวใจของ “การเมืองของประชาชน” เป็น “ประชาธิปไตยของประชาชน” อันเป็น “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” !
(18 ธ.ค.56)
และแล้ว การต่อสู้ของประชาชนไทยที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานร่วมแปดปี (ตั้งแต่ปลายปี 2548 – ปัจจุบัน) ก็เกิดผลสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อได้พลิกขึ้นมาเป็นฝ่ายรุกทั้งทางยุทธศาสตร์และยุทธวิธี ด้วยพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ของ “มวลมหาประชาชน”
นั่นหมายถึงว่า วันเวลาแห่งการ “ปิดเกม”ระบอบทักษิณ ใกล้มาถึงแล้ว !
เดินหน้า “จี้” และ “เขย่า”
เฉพาะหน้านี้ จึงไม่เป็นที่สงสัยอะไรอีกต่อไปแล้ว ว่าสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นต่อจากนี้ ก็คือ “ปฏิรูปการเมือง” มิใช่การ “เลือกตั้ง” ขบวนการประชาชนฯอันประกอบไปด้วย “กปปส.” “คปท.” และ “กปท.” เป็นต้น ได้เพิ่มปฏิบัติการเชิงรุก ทั้งใช้กลุ่มมวลชนเคลื่อนที่เร็ว “จี้” เข้าไปยังจุดสำคัญๆที่ยังโลเล ไม่กล้ายืนข้างประชาชน ประสานกับการ “เขย่า”รัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างรุนแรงด้วยมวลมหาประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน
การ “จี้”ทำได้ทุกวัน วันละหลายๆจุด ส่วนการ “เขย่า” ทำได้เมื่อเห็นว่าจำเป็น และต้องเห็นผลชัดเจน สามารถทำลายขวัญรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างมีนัยสำคัญ และนำไปสู่การแตกสลายของเครือข่ายระบอบทักษิณในวงกว้างยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ในท่ามกลางการรุกตีอย่างต่อเนื่อง ขบวนการประชาชนฯ ก็สามารถปรับและยกระดับตัวเอง ทั้งทางด้านความคิดทฤษฎี (ความตื่นรู้) และการจัดตั้ง เช่นที่ กปปส.กำลังขยายเครือข่ายสาขาไปทั่วทั้งประเทศได้อย่างรวดเร็ว
สร้าง “อำนาจประชาชน” ให้เป็นอำนาจนำเหนือ “อำนาจปืน” และ “อำนาจทุน”
มองในภาพรวม ขบวนการประชาชนฯจะมีความเข้มแข็ง ขยายตัวใหญ่โตยิ่งขึ้น ดำเนินการเคลื่อนไหวต่อสู้ได้ดีและถูกต้องยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ได้รับการสนับสนุนจากคนไทยทั้งในและต่างประเทศในวงกว้างยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ทำให้สามารถแสดงถึงความเป็น “อำนาจกำหนด”การเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยชัดเจนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ยากที่อำนาจทุนหรืออำนาจปืนจะเทียบได้
อีกนัยหนึ่ง “อำนาจนำ”สังคมไทยวันนี้ ได้เปลี่ยนจาก “อำนาจปืน” (ทหาร/กองทัพ) และอำนาจทุน (กลุ่ม/พรรคการเมือง) มาเป็น “อำนาจประชาชน” (ขบวนการประชาชนฯ/กองทัพมวลชนตื่นรู้)แล้ว !
มองในทางประวัติศาสตร์ โครงสร้างอำนาจแบบใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศไทยเช่นนี้ แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากอดีต ทั้งในประเทศไทยและในโลกโดยรวม
ในทัศนะของผู้เขียน มันเป็นปรากฏการณ์ใหม่ ที่สะท้อนถึงแนวโน้มอนาคตทางการเมืองการปกครองของมวลมนุษยชาติอย่างมีนัยสำคัญ
จึงมั่นใจอย่างยิ่งว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่วันนี้ จะต้องนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่มีลักษณะแบ่งยุคแบ่งสมัย คือหลุดพ้นจากยุคที่ “อำนาจปืน” และ “อำนาจทุน” ปกครองประเทศ โดย “อำนาจประชาชน” ก้าวขึ้นเป็น “อำนาจกำหนด” การขับเคลื่อนของประเทศชาติ กำหนดเป้าหมายและทิศทางการพัฒนาประเทศ เพื่อยังประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติประชาชน
ณ วันนี้ ไม่ว่าที่ใดในโลก “อำนาจปืน” ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคมโลกแล้ว ในบางประเทศ เช่นอียิปต์ ทหารจะยังคงใช้อำนาจควบคุมสถานการณ์อยู่ แต่ก็จะต้องปล่อยให้มีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลพลเรือนในอนาคตอันใกล้นี้
หมายความว่า แม้ทหารจะเข้าควบคุมสถานการณ์ แต่ก็ทำได้ในระยะสั้นๆเท่านั้น
ส่วนประเทศที่ปกครองด้วย “อำนาจทุน” ก็ต้องจมลงไปในวงจรอุบาทว์ของการทุจริตโกงกิน ซึ่งดำเนินไปอย่างแยบยล ตามธรรมชาติแห่งความโลภของกลุ่มทุน ก่อให้เกิดการแยกขั้วอย่างรุนแรงระหว่างคนรวยกระจุกเดียวกับคนจนที่กระจายกันอยู่ทุกซอกมุมของสังคม แม้กระทั่งสหรัฐอเมริกา ที่เป็นต้นแบบการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยในโลกตะวันตก ก็ประสบความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารความเหลื่อมล้ำ ถึงกับเกิดขบวนการ “ยึดวอลล์สตรีท” ผู้คนจำนวนมากพากันชุมนุมประท้วงความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นระหว่างคนรวย 1% กับคนจน 99%
ผลเสียจากการปกครองของ “อำนาจทุน” ยิ่งปรากฏชัดในประเทศกำลังพัฒนา เป็นเหตุสำคัญอันดับต้นๆที่ทำให้การพัฒนาของประเทศเหล่านั้น ไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
ประเทศไทยที่อยู่ภายใต้การปกครองของกลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณ ก็คือตัวอย่างของความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของการใช้ “อำนาจทุน” บริหารประเทศ เพราะเพียงสิบสองปีเท่านั้น กลุ่มทุนสามานย์ในระบอบทักษิณก็กอบโกยความมั่งคั่งเข้าตัวมากมายหลายแสนล้าน ผลักดันให้ประเทศชาติเผชิญหน้ากับสภาวะล้มละลาย ประชาชนมีหนี้สินล้นตัว และเมื่อประชาชน “ทนไม่ไหว” จึงได้พากันลุกฮือขึ้นต่อต้าน ประกาศตนเป็น “เจ้าภาพ” เคลื่อนไหวทางการเมืองในรูปแบบใหม่ คือสร้างการตื่นรู้ให้แก่มวลชน ดำเนินการเคลื่อนไหวต่อสู้ด้วยสันติวิธี สร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ดำเนิน “สงครามมวลชน” บีบบังคับให้กลุ่มทุนฯคายอำนาจ ลงจากเวที ขณะเดียวกันก็ปฏิบัติต่อกองทัพอย่างถูกต้อง สอดคล้องกับสถานภาพที่เป็นจริงของกองทัพ ที่ไม่ใช่อำนาจกำหนดอีกต่อไปแล้ว ปัจจุบันพวกเขาพร้อมที่จะเป็นทหารอาชีพ ยินดีปฏิบัติตามคำสั่งของ “อำนาจกำหนด” โดยไม่แยกแยะว่าจะเป็นอำนาจทุนหรืออำนาจประชาชน
การผงาดขึ้นของ “อำนาจประชาชน” เป็นเหตุการณ์ “แบ่งยุคแบ่งสมัย”
พิจารณาในมุมมองของพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ตามหลักวิเคราะห์ข้างต้น เราจึงได้ข้อสรุปว่า ณ วันนี้ ประเทศไทยจะก้าวพ้นจากวงจรอุบาทว์ได้สำเร็จ ก็ด้วย “อำนาจประชาชน”เท่านั้น เพราะอำนาจปืนได้ก้าวลงจากเวทีไปแล้ว ส่วนอำนาจทุนก็เป็นตัวการสร้างความวิบัติให้แก่ประเทศชาติและประชาชนอยู่ทุกวี่วัน จนเราต้องหาทางกำจัดให้พ้นไปจากเวทีการใช้อำนาจเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
ด้วยเหตุนี้ การต่อสู้ของประชาชนคนไทยวันนี้ จึงมีความเป็น “ต้นแบบ” มากกว่าที่จะเป็นการทำ “ตามแบบ”ประเทศอื่นใด ทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก ตรงกันข้าม ประชาชนในประเทศอื่นๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง ด้วยการนำพาประเทศออกจากปลักตมแห่งความล้าหลัง หรือวงจรอุบาทว์ที่สร้างความทุกข์ยากให้แก่พวกเขา คงจะสนใจศึกษาและนำเอาประสบการณ์การต่อสู้ของคนไทยไปประยุกต์ใช้ในการเคลื่อนไหวต่อสู้ของตน
เมื่อประชาชนไทยได้ชัยชนะในขั้นสุดท้าย ประเทศไทยก้าวเข้าสู่ยุคปฏิรูปใหญ่ในทุกๆด้าน ก็จะยิ่งส่งผลสะเทือนต่อประเทศรอบข้าง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน
จึงกล่าวได้ว่า นี่ไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างชาติยุคใหม่ของคนไทยเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองแบบใหม่ ที่ประชาชนทั่วโลกสามารถนำไปประยุกต์ใช้ ในประเทศตนได้ด้วย
หัวใจของ “อำนาจประชาชน” คือความ “ตื่นรู้”
เกี่ยวกับ “อำนาจประชาชน” ในระยะเริ่มแรกของการเคลื่อนไหวต่อสู้กับระบอบทักษิณ เรายังไม่อาจสะท้อนแก่นแท้ที่หมายถึง “อำนาจตื่นรู้” ได้อย่างชัดเจน จนกระทั่งการชุมนุมอย่างยืดเยื้อยาวนานถึง 193 วันในปี 2551 คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ได้นำเสนอแนวคิดเรื่องการ “เอาธรรมนำหน้า” ซึ่งมีเสียงขานรับอย่างกว้างขวางในหมู่มวลชนพันธมิตรฯ ผู้เขียนจึงได้ยกขึ้นมาเป็นหลักทฤษฎี อธิบายว่านี่คือวิธีการเข้าถึงความจริง ที่สามารถนำไปสู่ความตื่นรู้ได้
ผู้เขียนได้ขยายความว่า การ “เอาธรรมนำหน้า”ก็คือการ “เอาความจริงนำหน้า” และการ “ยึดมั่นในความจริงแท้ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยภายนอก” หรือ “กฎภววิสัย” สอดคล้องกับหลักการ“หาสัจจะจากความเป็นจริง” และ “ทุกอย่างเริ่มจากความเป็นจริง” ของพลพรรคมาร์กซิสต์จีน
โดยนัยนี้ “ความตื่นรู้” จึงหมายถึงการเข้าถึงความเป็นจริงในท่ามกลางการเคลื่อนไหวปฏิบัติ ต่อสู้กับระบอบทักษิณ โดยเรา “เอาธรรมนำหน้า” ยึดมั่นในความเป็นจริง มุ่งมั่นที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของสิ่งหรือปัญหาที่ดำรงอยู่เสมอ ตั้งแต่ต้นจนปลาย
ด้วยวิธีการเช่นนี้ เราจึงเข้าถึงความจริงระดับสัจธรรมที่ว่า ขบวนการประชาชนฯฝ่ายหนึ่งกับระบอบทักษิณอีกฝ่าย คือคู่ขัดแย้งหลักของสังคมไทยในวันนี้ ผลการต่อสู้กันของคู่ขัดแย้งนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงใหญ่ของสังคมไทย ด้วยเหตุนี้ เราจะต้องดำเนินการต่อสู้เอาชนะระบอบทักษิณเสียก่อน จึงจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยได้อย่างเป็นจริง
การยึดมั่นในความจริงด้วยการ “เอาธรรมนำหน้า”ของมวลหมู่พันธมิตรฯ ได้วางรากฐานให้แก่กระบวนการตื่นรู้ของมวลชน ในห้วงของการสั่งสมทางปริมาณอย่างต่อเนื่องหลายปี (กันยายน 2548- สิงหาคม 2556) จนกระทั่งเกิดการระเบิดใหญ่ของมวลชน “ทนไม่ไหว” เรือนแสนเรือนล้าน ที่ลุกฮือขึ้นต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างพร้อมเพรียงกันเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
มาบัดนี้ ความตื่นรู้ได้กลายเป็นหัวใจหรือแก่นแท้ของขบวการประชาชนฯเรือนแสนเรือนล้านไปแล้วโดยปริยาย เป็นระบบคุณค่าที่กำลังถักทอกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนี้ สิ่งที่เป็นเพียงนามธรรมเมื่อวันวาน (ในรูปความคิด)ที่ว่าจะต้องเกิดขบวนการประชาชนฯที่ใหญ่โต เคลื่อนไหวได้ทีละเรือนแสนเรือนล้าน สะท้านฟ้า สะเทือนดินนั้น ก็ได้กลายเป็นความเป็นจริงรูปธรรมแล้วในวันนี้ เมื่อ “มวลมหาประชาชน” จำนวนหลายล้านคน ภายใต้การนำของ “กปปส.” ได้มาร่วมแสดงพลังขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างมืดฟ้ามัวดินในวันที่ 9 ธันวาคม ที่ผ่านมา
ยิ่งกว่านั้น แกนนำ “กปปส.”ยังได้เร่งสร้างเครือข่ายสาขา “กปปส.”ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อขยายวงการเคลื่อนไหวให้พร้อมเพรียงกันทั้งประเทศในการเคลื่อนไหวใหญ่ครั้งต่อๆไป
การจัดตั้งที่เข้มแข็ง จะส่งผลให้ขบวนการประชาชนฯพัฒนาเติบใหญ่มั่นคง เป็นหลักประกันให้แก่การขับเคลื่อนของ “อำนาจประชาชน” ในฐานะ “อำนาจกำหนด” เหนือประเทศไทยในระยะยาวได้เป็นอย่างดี
โครงสร้าง “อำนาจประชาชน” ในฐานะ “อำนาจกำหนด” นำการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย
โครงสร้างที่ว่าก็คือ “มวลมหาประชาชน-กปปส.-สภาประชาชนรัฐบาลประชาชน”
ณ วันนี้ การผงาดขึ้นของอำนาจประชาชนในรูปของ “มวลมหาประชาชน” ที่นำโดย “คณะกรรมการประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทยเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” (กปปส.) จะเป็นฐานรองรับการเกิดขึ้นของ “สภาประชาชน” ได้เป็นอย่างดี
“สภาประชาชน”เป็นองค์กรอำนาจสูงสุดของ “อำนาจประชาชน” เกิดขึ้นได้จริงด้วยการผลักดันของ “กปปส.” หากมิใช่เกิดขึ้นได้เพราะได้รับฉันทานุมัติจากสังคมโดยรวม ทั้งนี้เพราะเป็นความแปลกใหม่ในวงการเมืองของประเทศไทย กระทั่งนักวิชาการส่วนใหญ่ ที่เข้าใจแต่การเมืองในระบบรัฐสภาและการเลือกตั้ง ก็ยังไม่เข้าใจถ่องแท้ในบทบาทความเป็นตัวแทนผลประโยชน์ที่แท้จริงของประชาชน โดยสภาประชาชน
อีกทั้ง“สภาประชาชน” ที่เรานำเสนอ ยังแตกต่างจากสภาประชาชนที่มีอยู่ในประเทศจีน ของเราเป็นองค์กรของ “อำนาจประชาชน” ที่รวมเอาตัวแทน “คนไทยทุกฝ่าย” อันหลากหลายและครอบคลุมทั่วถึงไปทุกสาขาอาชีพ มาร่วมกำหนดทิศทางการขับเคลื่อนของประเทศไทย ขณะที่สภาประชาชนของจีน (เรียกกันเต็มๆว่า “สภาผู้แทนประชาชน”) เป็นองค์กรอำนาจภายใต้การกำกับของพรรคคอมมิวนิสต์จีน มีผู้นำระดับสูงสุดของพรรคฯจีนไปดำรงตำแหน่งประธานสภาฯและตำแหน่งรองๆเป็นลำดับ แม้แต่ผู้แทนสภาฯที่ได้รับเลือกจากประชาชนทั้งทางตรงและทางอ้อม ส่วนใหญ่ก็เป็นสมาชิกพรรคฯ
โดยภาพรวม “สภาประชาชน”ของไทย เป็นองค์กรอำนาจของประชาชน ขณะที่ของจีนเป็นตัวแทนอำนาจของพรรคฯ
รัฐบาลประชาชนถือกำเนิดขึ้น โดยการอนุมัติของสภาประชาชน หมายความว่า คณะรัฐมนตรี อันประกอบด้วยนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างๆ จะรับผิดชอบการใช้อำนาจบริหารประเทศได้ ด้วยการอนุมัติของสภาประชาชน ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานของคณะรัฐมนตรีดำเนินไปในกรอบกำหนดและการติดตามตรวจสอบ ประเมินผลงานโดยตรงของสภาประชาชน โดยผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆในสภาประชาชน ซึ่งมีฐานมาจากมวลมหาชนโดยตรง สามารถจัดตั้งกำลังคน และหน่วยงานต่างๆ ทำหน้าที่ติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการทำงานของนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำกระทรวงต่างๆได้อย่างใกล้ชิด และทันทีทันใด ไม่ต้องรอให้มาตั้งกระทู้ถามหรืออภิปรายกันในสภาฯ
การทำงานของคณะรัฐมนตรีจึงอยู่ในสายตาของสภาฯตลอดเวลา ไม่มีช่องว่างให้ใช้อำนาจไปในทางมิชอบได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้ โครงสร้างอำนาจนิติบัญญัติและการบริหาร ที่ปรากฏออกมาในรูปของ “สภาประชาชน-รัฐบาลประชาชน” คือผลต่อเนื่องของการดำรงอยู่ของโครงสร้าง “อำนาจประชาชน” โดยตรง นั่นคือเป็นผลิตผลของอำนาจ “มวลมหาประชาชน” และ “กปปส.” โดยตรง นี่คือสิ่งยืนยันว่า การใช้อำนาจของ “โครงสร้างอำนาจชั้นบน” (“สภาประชาชน “ และ “รัฐบาลประชาชน”) อยู่ภายใต้การกำกับของ “โครงสร้างอำนาจชั้นล่าง” (“มวลมหาประชาชน” และ “กปปส.”)โดยตรง แสดงออกถึงลักษณะหรือคุณสมบัติแห่งความเป็น “ประชาธิปไตยจากล่างสู่บน”ได้อย่างเป็นรูปธรรม
ตรงนี้แหละที่เป็นหัวใจของ “การเมืองของประชาชน” เป็น “ประชาธิปไตยของประชาชน” อันเป็น “ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” !