xs
xsm
sm
md
lg

ทางออกของประเทศไทย

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

-- เมื่อคนไทยทั้ง 65 ล้านคน พร้อมใจกันพาประเทศชาติพ้นวิกฤติ
ด้วยการประกาศ “ไม่เอาระบอบทักษิณ” !


ณ วันนี้ ประเทศไทยได้ก้าวมาถึงจังหวะสุดท้ายของการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ เมื่อคนไทยนับล้านๆ พากัน “ลุกฮือ” รุกไล่ระบอบทักษิณ เกิด“เงื่อนไขจำเป็น”สำหรับการปลุกคนไทยทั้ง 65 ล้านคน ออกมาประกาศจุดยืน “ไม่เอาระบอบทักษิณ”

ข้อวินิจฉัยสำคัญ

1. ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน (ความจำต้องเป็นไปทางประวัติศาสตร์)

2. ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงได้ด้วย “สงครามมวลชน” (ประชาชนเป็นเจ้าภาพ จุดเทียนปัญญา สร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ดำเนิน “สงครามมวลชน” อย่างยืดเยื้อยาวนาน กระทั่งในที่สุดก็นำไปสู่การ “ตื่นตัว” ของคนไทยทั้งประเทศ ออกมาร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้อย่างเป็นจริง)

3. บัดนี้ ถึงเวลาคนไทยทั้ง 65 ล้านคน พร้อมใจกันพาประเทศไทยพ้นจากวิกฤติ ด้วยการประกาศจุดยืน “ไม่เอาระบอบทักษิณ” (เป็นทางออกดีที่สุด เรียบร้อยที่สุด สมบูรณ์ที่สุด และสามารถนำประเทศไทยก้าวไปสู่อนาคตอันยาวไกลได้มากที่สุด)

ข้อเสนอสำคัญ

1. เลิกระบบรัฐสภา ที่เป็นกลไกการใช้อำนาจของชนชั้นนำและพิสูจน์แล้วว่า ล้มเหลวในประเทศไทย

2. สถาปนาระบบสภาประชาชน ให้เป็นกลไกการใช้อำนาจของประชาชน ดำเนินระบอบประชาธิปไตยประชาชนอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

3. คนไทย “ทุกฝ่าย”แสดงตนเป็น “เจ้าภาพ” ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ “อำนาจประชาชน”

4. คนไทย “ทุกฝ่าย” ให้การสนับสนุน และเข้าร่วมดำเนินกิจกรรมของ “สภาประชาชน”ในทุกระดับอย่างจริงจัง

ทั้งนี้ ผู้เขียนได้วินิจฉัยมาเป็นลำดับว่า “ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน” นั่นคือ ประเทศไทยได้ก้าวมาถึงถึงจุดเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ด้วยเหตุปัจจัยทั้งภายนอกภายใน ทั้งทางภววิสัยและอัตวิสัย(เป็นความ “จำต้องเป็นไป”ทางประวัติศาสตร์) และการเปลี่ยนแปลงนี้จักสำเร็จได้ด้วยดีเพราะมี ประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” ดำเนิน “สงครามมวลชน” ปลุกคนไทยให้ “ตื่นรู้”ใช้ความยิ่งใหญ่ของมวลชนตื่นรู้ต่อสู้เอาชนะกลุ่มอำนาจทักษิณ(เป็นช่องทางที่จะประสบความสำเร็จได้จริง ยิ่งกว่าวิธีการอื่นใด) โดยหวังผลไปยังการ “ลุกฮือ”ของคนไทยทั้งประเทศ ร่วมกันต่อสู้เอาชนะอำนาจทักษิณ ไปพร้อมๆกับการ “เปิดประตู” สู่การปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริง โดยการกำหนดของ “อำนาจประชาชน”(เป็นรูปการแก้ไขปัญหาที่สมบูรณ์แบบที่สุดที่คนไทยโดยรวมพึงกระทำ)

บัดนี้ มวลมหาชนชาวไทยผู้ตื่นรู้นับแสนนับล้านได้รวมตัวกันเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์”ที่ถนนราชดำเนิน และอีกหลายแห่งทั่วประเทศ สะท้อนถึงจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ที่ต้องการพาประเทศชาติออกจากวิกฤติ โดยไม่ต้องทำร้ายทำลายกันและกัน(หลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ ที่เมื่อใดมีการเคลื่อนไหวของมวลมหาชน จะต้องมีการใช้กำลังปราบปรามดังที่เคยเป็นมาในอดีตหลายครั้งหลายหน หรือการใช้ความรุนแรงของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ถูกปั่นหัวโดยพวก “ซ้ายจัด” ที่ยังยึดติดอยู่กับทฤษฎีตายซาก จนเป็นเหตุให้ต้องสังเวยชีวิตผู้บริสุทธิ์จำนวนมากในเหตุการณ์ “เผาเมือง”เมื่อปี 2553)

จากนี้ เมื่อประชาชนได้รับชัยชนะ ก็ย่อมหมายถึง “ชัยชนะของคนไทยทั้งประเทศ”

ในสถานการณ์ที่ขบวนการประชาชนต่อต้านระบอบทักษิณได้รวมพลจนอยู่ในฐานะ “เป็นต่อ” ทางยุทธศาสตร์แล้วนี้ ด้วยความพยายามของ “ทุกฝ่าย” ก็อยู่ในวิสัยที่จะรุกไล่กลุ่มอำนาจทักษิณให้พ่ายแพ้ไปได้อย่างราบคาบได้ โดยไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อ

ในสภาวะเช่นนี้ ขบวนการประชาชนฯอยู่ในฐานะที่จะเป็นผู้ออกแบบการต่อสู้ได้

ในความเข้าใจของผู้เขียน รูปแบบการต่อสู้ที่ดีที่สุด ที่สามารถแก้ปัญหาวิกฤติครั้งนี้ได้จริง สามารถพาประเทศไทยหลุดจากวิกฤติได้จริง รวมทั้งเป็นการ “ปูฐาน” อันมั่นคงให้แก่ประเทศไทยสำหรับการปฏิรูปใหญ่ได้อย่างเป็นจริงในอนาคต จักต้องเป็นแบบ คนไทยทั้ง 65 ล้านคน พร้อมใจกันพาประเทศไทยออกจากวิกฤติ ด้วยการแสดงจุดยืน ประกาศ “ไม่เอาระบอบทักษิณ”

ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่เราจะต้องเร่งสร้าง “กำปั้นยักษ์”ของมวลมหาชนเท่านั้น แต่ยังต้องกำหนดท่าทีที่ถูกต้องต่อกลุ่มคน 3 ประเภท ดังต่อไปนี้

1. ต่อคนเสื้อแดง ปฏิบัติต่อพวกเขาฉัน “ผู้หลงผิด” ที่ติดอยู่ในคำสาปของอำนาจทักษิณ เน้นการชี้แจงให้การศึกษา ให้พวกเขาได้คิดได้รู้ ได้ตื่น ด้านหนึ่ง ให้พวกเขาตระหนักชัดว่า “อำนาจประชาชน” คืออำนาจกำหนดอนาคตประเทศไทย อีกด้านหนึ่ง ให้พวกเขารู้ว่า ตนเองก็เป็นส่วนหนึ่งของ “อำนาจประชาชน”ได้ เพียงแค่หลุดพ้นจากวงจร “อำนาจทักษิณ”

2. ต่อตำรวจ ที่ตกเป็นเครื่องมือของอำนาจทักษิณ ปฏิบัติต่อพวกเขาฉัน “ผู้ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับชัญชา” ที่มัวเมาไปกับอำนาจทักษิณ เน้นการ “สยบ”พวกเขาลงไปด้วยพลังอำนาจของมวลมหาชน ให้พวกเขารู้ว่า มีแต่อำนาจประชาชนเท่านั้นที่พวกเขาสมควรต้องยึดถือ

3. ต่อกองทัพ ปฏิบัติต่อพวกเขาฉัน “ผู้ปกป้องประชาชน” ให้พ้นไปจากการคุกคามทำร้ายของผู้ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ เมื่อประชาชนตกอยู่ในอันตราย จักต้องรีบออกมาปกป้องประชาชนทันที

ด้วยท่าทีเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้ ที่คนไทยทั้งชาติจะสามารถ “พร้อมใจ”กันพาประเทศชาติพ้นไปจากวิกฤติ และสามารถก้าวข้ามเงื่อนไขที่จะนำประเทศไทยถลำลงสู่ปลักแห่ง “สงครามกลางเมือง”ได้อย่างเป็นจริง

ขอย้ำอีกทีในเรื่อง “รูปแบบการต่อสู้” ที่สามารถนำไปสู่การเกิดการรวมใจกันของคนไทยทั้ง 65 ล้านคน ปฏิเสธอำนาจทักษิณ และพาประเทศไทยพ้นไปจากวิกฤติใหญ่ เพื่อก้าวไปสู่อนาคตอันยาวไกลได้ ที่สำคัญก็เพราะทุกสิ่งทุกอย่างกำลังดำเนินไปตาม “ลักษณะเฉพาะ” หรือ “กฎเกณฑ์เฉพาะ”ของความขัดแย้งหลักในสังคมไทย ที่เป็นความขัดแย้งระหว่าง “อำนาจทักษิณ”ที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์กลุ่มทุนทักษิณ กับ “อำนาจประชาชน”ที่เป็นตัวแทนผลประโยชน์ของคนไทยทั้งชาติ มิใช่ความขัดแย้งระหว่างชนชั้น ระหว่าง“ไพร่” กับ “อำมาตย์” ดังที่หัวโจกเสื้อแดงนำเสนอ

มันเป็นรูปแบบการต่อสู้เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างสอดคล้องกับความเป็นจริง แก้อย่างถูกจุด เกาถูกที่คัน และเป็นการการแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ ขจัดปมปัญหาที่ยื้อยุดประเทศไทยนานานหลายสิบปี

ยิ่งเมื่อมองลึกลงไปอีก ก็พบว่า วิกฤติใหญ่ของชาติเช่นนี้ มีที่มาจาก “ปม”ใหญ่หนึ่งเดียว คือระบบการเมืองที่เป็นแหล่งผลิตนักการเมืองโกง โดยเฉพาะนักการเมือง “มหาโกง” อย่างทักษิณ ชินวัตร

อีกนัยหนึ่ง ระบบนี้ ก็คือ “ต้นตอ”ของความชั่วร้ายที่กระทำต่อประเทศไทยและคนไทยโดยรวม ยกเว้นกลุ่มผู้กระทำชั่ว ที่แก่งแย่งกันกอบโกยโกงกิน พร้อมกับพร่ำพูดไม่ขาดปากว่า “ประเทศกำลังไปได้ดี”

ประเทศวิกฤติหนัก เพราะพวกเขากำลัง “กินได้ดี” นะสิ !

สรุปคือ การแก้ปัญหาวิกฤติชาติครั้งนี้ จึงไม่เพียงต้องแก้ที่ตัวบุคคลเท่านั้น แต่ยังต้องแก้ที่ระบบด้วย เราไม่เพียงต้อง “ปฏิเสธ”การดำรงอยู่ของกลุ่มนักการเมืองฉ้อฉลเท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้อง “ขจัด” ระบบการเมืองที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์นักการเมืองชั่วอีกด้วย
นั่นคือ 1.กำจัดอำนาจทักษิณให้หมดสิ้นไปจากแผ่นดินไทย และ 2.เปลี่ยนแปลงระบบการเมืองจากระบบรัฐสภาเป็นระบบสภาประชาชน

ในข้อแรก
ตามแนวคิด “คนไทย 65 ล้านคน พร้อมใจกันพาประเทศชาติพ้นจากวิกฤติ ด้วยการประกาศไม่เอาระบอบทักษิณ” การกำจัดอำนาจทักษิณ จึงทำได้ด้วยการแยกเอาผู้สนับสนุนทักษิณออกมา ให้พ้นจากวงจร “อำนาจทักษิณ” แล้วหันมาเชื่อมเข้ากับวงจร “อำนาจประชาชน”

ตามหลักคิดที่ว่า “อำนาจทักษิณ” ก่อตัวขึ้นได้ด้วยการ “บีบ” “ดึง” “ซื้อ” เป็นหลัก จึงได้บุคคลที่ขาดอุดมการณ์ เห็นแก่ประโยชน์ตนไปเป็นสมุนและพวกพ้อง คนประเภทนี้ พร้อมที่จะ “เปลี่ยนสีแปรธาตุ” หาคนที่ภักดีจริงต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ยากมาก นี่คือเหตุผลสำคัญว่า ทำไมเขาจึงไม่เคยไว้วางใจบรรดาสมุนเหล่านั้นเลย

ฉันใดฉันนั้น บรรดาสมุนหรือ “ม้าใช้” เมื่อเข้าตาจน หรือเห็นว่าสู้ไปก็เหนื่อยเปล่า ก็พร้อมที่จะเอาตัวรอด จึงไม่ใช่เรื่องจากที่เราจะใช้ความยิ่งใหญ่ของ “อำนาจประชาชน” สยบพวกเขา แยกสลายพวกเขา ให้พวกเขารีบปลีกตัวออกจากวงจรอำนาจทักษิณ

ในข้อที่สอง การเลิกใช้ระบบรัฐสภา ก็เพราะมันพิสูจน์ชัดแล้วว่า ประเทศไทยในรอบ 80 ปีที่ผ่านมา ถูกพิษร้ายของระบบรัฐสภาเล่นงานจนงอมพระราม

นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 การเมืองประเทศไทยได้ตกเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” สองวงใหญ่ๆด้วยกัน คือวงจรการใช้อำนาจสลับกันระหว่าง “พลเรือน” กับ “ทหาร” ระหว่างปี 2475-2490 การบริหารประเทศด้วยคณะผู้บริหารพลเรือนเป็นไปอย่างไม่มีเสถียรภาพ อันเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพญี่ปุ่นยกพลเข้าไทย ทหารมีบทบาทมากกว่า และเมื่อสงครามจบลง ทหารก็ล้มรัฐบาลพลเรือนด้วยการทำรัฐประหาร แม้เปิดให้มีการเลือกตั้ง ทหารก็เข้าไปครองที่นั่งในสภา

เหตุการณ์ในทำนองนี้ดำเนินมาจนถึงปี 2516 เมื่อนักศึกษาประชาชนพากันเดินขบวนขับไล่ 3 ทรราช การเมืองไทยก็วนเข้าสู่ “วงจรอุบาทว์” วงที่สอง เมื่อพรรคการเมืองกลุ่มทุนสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้าเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ พวก “อำมาตย์ใหม่” เหล่านั้น พากันเมามันอยู่กับการใช้อำนาจฉ้อฉล ทุจริตโกงกินอย่างไม่ลืมหูลืมตา พัฒนาขึ้นเป็น “ธุรกิจการเมือง” อย่างรวดเร็ว และเมื่อกลุ่มทุนทักษิณก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาล ก็เดินหน้า “ฮุบกิน”ประเทศไทยทันที

ในที่สุด เราก็ได้ข้อสรุปอย่างชัดเจนว่า การแก้ไขปัญหาวิกฤติชาติครั้งนี้ ถึงที่สุดแล้ว เราจำเป็นต้องพาประเทศไทยหลุดออกจากวังวนของระบบรัฐสภาที่เป็น “วงจรอุบาทว์”นี้ให้ได้

จุดด่างดำของระบบรัฐสภา ที่พบเห็นกันทั่วโลก ก็คือมันเป็นระบบที่เอื้อต่อการใช้เงินซื้ออำนาจของกลุ่มทุนเป็นอย่างมาก มันเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ยากจะแก้ไขให้ดีได้ด้วยการร่างหรือแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ

ทางออกของประเทศไทย จึงไม่ใช่อยู่ที่การแก้ไขหรือปฏิรูประบบรัฐสภา หากแต่ต้องเลิกใช้ระบบรัฐสภา และสถาปนาระบบสภาประชาชนขึ้นแทนที่ เพื่อให้สามารถรองรับการใช้อำนาจของ “อำนาจประชาชน” ที่ก้าวขึ้นมาอยู่ในฐานะเป็น “อำนาจกำหนด”เหนือสังคมไทยแล้ว

สภาประชาชน แหล่งที่มาของรัฐบาลประชาชน

เมื่อก้าวพ้นจากวงจรอุบาทว์แล้ว สิ่งที่จะต้องดำเนินต่อไปอย่างแน่วแน่ ก็คือการสถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นเป็น “อำนาจนำ” อย่างแท้จริง

ด้วยเหตุนี้ สภาประชาชนจึงต้องเป็นทั้งสภานิติบัญญัติ เป็นที่มาของรัฐบาลประชาชน ศาลและอัยการสูงสุดประชาชน เป็นองค์อำนาจสูงสุดของชาติ ขณะที่กองทัพก็จะดำรงอยู่ภายในกรอบกำหนดของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ผ่านการรับรองของสภาประชาชนแล้ว

อีกนัยหนึ่ง กลไกอำนาจรัฐทั้งที่เป็นพลเรือนและทหาร จักเชื่อมโยงเข้ากับอำนาจประชาชนผ่านทางสภาประชาชน เพื่อเป็นหลักประกันว่า อำนาจประชาชน คือแหล่งที่มาของอำนาจอื่นๆทั้งปวง

เมื่อนั้น ประเทศไทยจึงจะก้าวเข้าสู่ขั้นของความเป็น “ประชาธิปไตยประชาชน” อย่างแท้จริง

การบริหารจัดการอำนาจประชาชน

อำนาจประชาชนจักต้องพัฒนาเติบใหญ่เข้มแข็งไปในทิศทางที่เป็น “อำนาจปัญญา”อย่างรอบด้าน คือเป็นอำนาจที่ใช้ปัญญานำ ส่งเสริมบุคลากรทุกระดับให้เป็นผู้นำทางปัญญา จัดทำระบบการพัฒนาการเรียนรู้ในหมู่ผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ ยึดมั่นในหลัก “ปฏิบัติ 3 ธรรม” (1.เข้าถึงธรรม/ความจริง 2.ปรับแนวคิดให้สอดคล้องกับความจริง/ธรรม 3.ปฏิบัติให้เกิดผลเป็นจริงตามแนวคิด/ธรรม) พัฒนาแนวคิดที่นำไปสู่การสั่งสมทางปัญญา กระทั่งเกิดเป็น “ปัญญาแก่นแกน”ขึ้นในวงจร “อำนาจประชาชน” ที่จะพัฒนาขึ้นเป็น “อำนาจแก่นแกน” ของสังคมไทยต่อไป

อีกนัยหนึ่ง อำนาจประชาชน ที่เป็น “อำนาจกำหนด” หรือ “อำนาจแก่นแกน”ขับเคลื่อนประเทศไทย ในตัวเองก็มี “ปัญญาแก่นแกน” คอยทำหน้าที่ขับเคลื่อนให้ดำเนินไปในทิศทางที่ถูกต้องอยู่ตลอดเวลา

เป้าหมายคือการสร้าง “ชีวิตคนไทยให้สมบูรณ์”

อำนาจประชาชน โดยสภาประชาชน รัฐบาลประชาชน ฯลฯ ขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่อนาคต โดยการวางน้ำหนักไว้ที่การสร้าง“ชีวิตคนไทย”ให้สมบูรณ์รอบด้าน

“หัวใจ” ของการสร้างชีวิตคนไทย อยู่ที่การสร้างสภาพแวดล้อมทั้งทางธรรมชาติและทางสังคมให้อยู่ในสภาพยอดเยี่ยม เหมาะสำหรับให้คนไทยดำเนินชีวิตได้อย่างสมบูรณ์รอบด้าน โดยทั้งหมดนั้น จะ “รวมศูนย์” ไปยังการพัฒนาคุณค่าของ “คน”

ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ คนไทยโดยรวมก็จะไม่เดือดร้อนเรื่องการทำมาหากิน ทุกคนมีการศึกษาและมีงานทำ และที่สำคัญที่สุดคือ เมื่อคนไทย ไม่ว่าใครก็ตาม ไปอยู่ ณ ที่ใด ที่นั่นจะต้อง “ดี”

ภาพลักษณ์ของคนไทยในสายตาชาวโลกก็คือ “ผู้สร้างความเจริญ” หรือ “ผู้แก้ไขปัญหาได้เสมอ” ด้วยคุณภาพของความเป็น “คนไทย” ที่ทรงภูมิความรู้และมากด้วยปัญญา

ด้วยกลไกขับเคลื่อนสำคัญๆที่มาจากสภาประชาชน คนไทย “ทุกฝ่าย” จักร่วมกันสร้าง “ประเทศไทยใหม่” ที่เจริญรุ่งเรืองรอบด้าน สร้างสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้อยู่ในสภาพดีเยี่ยม สร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมเรียนรู้ มีกฎกติกาก้าวหน้ารองรับ ที่ส่งเสริมให้คนไทยเกิดวัฒนธรรมเรียนรู้ สามารถใช้ปัญญาแก้ไขปัญหาน้อยใหญ่ได้เสมอ

ทั้งหมดที่บรรยายมานี้ ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ประเทศไทยต้องเป็น สิ่งที่คนไทยจะเป็น ไม่ได้ไกลเกินจริง แต่เป็นสิ่งที่เรา “คนไทยทุกฝ่าย” ร่วมกันทำได้ และบัดนี้ เรากำลังทำอยู่ !
กำลังโหลดความคิดเห็น