สองสามวันมานี้เพื่อนมิตรในกลุ่มไลน์หลากหลายกลุ่มเผยแพร่คลิปการให้สัมภาษณ์ ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ของ FM TV กันมากโดยย้ำว่าให้ดูและเผยแพร่กันให้มาก ๆ เพราะท่านพูดตรงทุกอย่าง น่าจะเป็นแนวทางในการปฏิรูปประเทศได้
ขออนุญาตเผยแพร่คลิป “เกาะติดวิกฤตชาติกับศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์” ต่อ ณ ที่นี้
หลังจากก่อนหน้านี้ ผมทำหน้าที่ศิษย์ที่ดีเผยแพร่งานและแนวความคิดในการปฏิรูปประเทศของท่านมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 20 ปีเต็ม นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2536 ที่นำบทความเรื่อง “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” ลงตีพิมพ์ในนสพ.ผู้จัดการรายวันติดต่อกัน 1 เดือน เดี๋ยวนี้บทความขนาดยาวเรื่องนี้กลายเป็นหนังสืออ่านประกอบในวิชากฎหมายมหาชนของคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยหลายแห่งไปแล้ว
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เคยไปอภิปรายเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศในหัวข้อ “ปฏิรูปประเทศ : ปฏิรูประบบรัฐสภาเพื่อการพัฒนาคุณภาพประชาธิปไตย” ให้กับสถาบันพระปกเกล้าในช่วงเดือนสิงหาคม 2553 นับถึงวันนี้ก็เกิน 3 ปีเต็มมาแล้วมา อาศัยที่ถ้อยคำที่ท่านพูดบางคำบางประโยคนั้นดู “แรง” จึงทำให้ปรากฏเป็นข่าวฮือฮาในวงเล็ก ๆ อยู่วันหนึ่ง แต่ก็เท่านั้น เป็นข่าวพาดหัวอยู่วันเดียวแล้วก็เงียบหายไป เหมือนที่เคยเป็นมาโดยตลอดกับแนวคิดของท่านตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา
โดยหลักแล้วท่านเห็นว่าปัญหาวิกฤตของประเทศเกิดจากระบอบเผด็จการรัฐสภา หรือระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ถ้าจะแก้ไขก็มีแต่ต้องทำลายระบอบ/ระบบนั้นในทันที !
จริง ๆ แล้วสารัตถะของแนวความคิดนี้ไม่ต่างจากแนวความคิดปฏิวัติประชาธิปไตยของนักเคลื่อนไหวมวลชนกลุ่มหนึ่งที่สืบมรดกความคิดมาจากท่านอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร แน่นอนพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธอยู่ในสกุลความคิดนี้ด้วย
วิธีการแก้ไขในเบื้องต้นที่ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เสนอว่าต้องทำทันทีก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดอย่างน้อย ๆ สองสามประการ คือ
1) ไม่บังคับผู้สมัครส.ส.ให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง
2) พรรคการเมืองไม่มีอำนาจให้ส.ส.ที่ไม่ปฏิบัติตามคำบงการพ้นจากตำแหน่ง
3) ไม่บังคับว่านายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากส.ส.เท่านั้น
จากนั้นขั้นต่อไปก็คือเริ่มกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อการปฏิรูปการเมือ และการปฏิรูปประเทศ โดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ โดยผ่านระบบการคัดเลือกจาก “รัฐบุรุษ” หรือ “ผู้นำ” ในความหมายของ Statesman ไม่ใช่ในลักษณะของ “สภา” หรือ “สมัชชา” ที่มีที่มาหลากหลาย
ขั้นสุดท้ายเมื่อได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่พร้อมด้วยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องทำเสร็จพร้อมกันแล้วให้นำมาผ่านการลงประชามติจากประชาชนโดยตรง
ไม่ว่าใครจะเห็นพ้องหรือเห็นต่างอย่างไรท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ก็ยืนยันของท่านอย่างนี้ มากว่า 20 ปีแล้วนับตั้งแต่นำข้อเขียนเรื่อง “รัฐธรรมนูญ : โครงสร้างและกลไกทางกฎหมาย” เสนอต่อที่ประชุมในการสัมมนาทางวิชาการที่โรงแรมเอเซีย จัดโดยสถาบันนโยบายศึกษา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2534 และเป็นหัวหน้าคณะวิจัยรวมทั้งเขียนบทความต่อเนื่องด้วยตนเองตลอด 2 ปีต่อมา ก่อนจะตกรวบยอดเป็นบทสรุปด้วยการเขียนบทความขนาดยาวเรื่อง “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” ลงในนสพ.ผู้จัดการรายวันช่วงเดือนเมษายน 2537 สมัยเมื่อผมเป็นบรรณาธิการข่าวการเมืองและบรรณาธิการบทความ และจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มโดยสถาบันนโยบายศึกษาในอีก 3 เดือนต่อมา อย่างที่เล่าให้ฟังในตอนต้น
ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสีก็เคยนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับการทำงานของคณะกรรมการพัฒนา ประชาธิปไตย (คพป.) เมื่อปี 2537 อย่างจริงจัง
คุณบรรหาร ศิลปอาชานำมาหาเสียงเลือกตั้งในปี 2538 เป็นสัญญาประชาคมของพรรคชาติไทยว่าถ้าได้เป็นรัฐบาลจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามแนวทางคพป.นี้ และจะเพราะสัญญาประชาคมนี้หรือไม่ ไม่ทราบ แต่ท่านก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศนี้หลังการเลือกตั้งครั้งนั้น และได้ตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาศึกษาหาแนวทางทำตามสัญญาประชาคมโดยมีคุณชุมพล ศิลปะอาชาเป็นประธาน
เป็นรากฐานที่นำไปสู่การแก้ไขมาตรา 211 รัฐธรรมนูญ 2534 ในปี 2539
ก่อให้เกิดสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นมาในที่สุด แต่เป็นรูปแบบสภาหรือสมัชชา แตกต่างไปจากแนวคิดเดิม จึงก่อให้เกิดเป็นข้อจำกัด แม้นวัตกรรมทางการเมืองหลายอย่างจะมาจากแนวคิดวิชากฎหมายมหาชนยุคใหม่ที่นำเสนอโดยท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ แต่หลักสำคัญที่สุดสองสามประการที่ผมกล่าวข้างต้นไม่ได้รับการแก้ไข เพราะไม่สามารถยืนหยัด “ทานกระแส” ที่เชื่อผิด ๆ ต่อ ๆ ตามกันมา
ผลที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับนั้นในที่สุดจึงคือการกระชับอำนาจให้กับระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไม่ได้ย่อท้อ หรือเปลี่ยนแปลงความคิด ท่านนำเสนอแนวคิดพื้นฐานของท่านอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งหนึ่ง 2 ศิษย์เอกอย่างท่านอาจารย์สมยศ เชื้อไทยและท่านอาจารย์บรรเจิด สิงคเนติถึงกับก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่งชื่อ “พรรคทางเลือกที่สาม” ในช่วงปี 2547 ช่วงวิกฤตเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2553 ก่อนจะนองเลือด ท่านก็เสนอทางออกของประเทศไทยอีกครั้งภายใต้แนวคิดพื้นฐานเดิมแต่ประยุกต์ไป ตามสถานการณ์
เมื่อเกิดกระแส “ปฏิรูปประเทศ” ขึ้นควบคู่กันไป ท่านก็ออกมาตอบโจทย์อีกว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง 2 ขั้นตอน
เสนอตัวอย่าง “ร่างต้นแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” ออกมาด้วย !
จุดอ่อนประการสำคัญของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ก็คือภาคประชาชนส่วนหนึ่งกล่าวหาท่านว่าไม่เห็นพลังของมวลชน ไปเน้นแต่ชนชั้นนำมากเกินไป
ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเชื่อแนวทางการวิเคราะห์สังคมไทยตามหลักสังคมวิทยาการเมือง
เมื่อ 2 ปีก่อนท่านวิจารณ์แนวทางตั้งสมัชชาของท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไว้ว่า การแก้ปัญหาการปฏิรูปประเทศไม่ได้อยู่ที่จำนวนของสมัชชา และคาดหมายว่าสิ่งที่คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจะได้จากสมัชชาทั้ง 14 สมัชชา ก็คือ ความคิดเห็นที่หลากหลาย จนจับสาระและเหตุผลไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะทำให้ข้อเสนอเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร
อยากให้กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณลองพิจารณาแนวทางปฏิรูปประเทศของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์มาประยุกต์กับการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน แม้อาจจะเป็นแนวทางที่แตกต่างไปจากแนวทางสภาประชาชน-รัฐบาลประชาชน
จะอย่างไรลักษณะไหน เชื่อว่านักวิชาการรอบตัวกำนันน่าจะช่วยกันได้ เพราะท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์มีตัวแบบไว้ให้เสร็จสรรพ
ในคลิปสัมภาษณ์ล่าสุดท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ก็ได้พูดถึงการปฏิวัติโดยประชาชนไว้ด้วย
แนวทางการขอพระราชทานรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปประเทศอาจเป็นหนึ่งในทางออกได้เมื่อครองความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้สมบูรณ์
ขออนุญาตเผยแพร่คลิป “เกาะติดวิกฤตชาติกับศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์” ต่อ ณ ที่นี้
หลังจากก่อนหน้านี้ ผมทำหน้าที่ศิษย์ที่ดีเผยแพร่งานและแนวความคิดในการปฏิรูปประเทศของท่านมาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 20 ปีเต็ม นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2536 ที่นำบทความเรื่อง “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” ลงตีพิมพ์ในนสพ.ผู้จัดการรายวันติดต่อกัน 1 เดือน เดี๋ยวนี้บทความขนาดยาวเรื่องนี้กลายเป็นหนังสืออ่านประกอบในวิชากฎหมายมหาชนของคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยหลายแห่งไปแล้ว
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เคยไปอภิปรายเรื่องเกี่ยวกับการปฏิรูปประเทศในหัวข้อ “ปฏิรูปประเทศ : ปฏิรูประบบรัฐสภาเพื่อการพัฒนาคุณภาพประชาธิปไตย” ให้กับสถาบันพระปกเกล้าในช่วงเดือนสิงหาคม 2553 นับถึงวันนี้ก็เกิน 3 ปีเต็มมาแล้วมา อาศัยที่ถ้อยคำที่ท่านพูดบางคำบางประโยคนั้นดู “แรง” จึงทำให้ปรากฏเป็นข่าวฮือฮาในวงเล็ก ๆ อยู่วันหนึ่ง แต่ก็เท่านั้น เป็นข่าวพาดหัวอยู่วันเดียวแล้วก็เงียบหายไป เหมือนที่เคยเป็นมาโดยตลอดกับแนวคิดของท่านตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา
โดยหลักแล้วท่านเห็นว่าปัญหาวิกฤตของประเทศเกิดจากระบอบเผด็จการรัฐสภา หรือระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ถ้าจะแก้ไขก็มีแต่ต้องทำลายระบอบ/ระบบนั้นในทันที !
จริง ๆ แล้วสารัตถะของแนวความคิดนี้ไม่ต่างจากแนวความคิดปฏิวัติประชาธิปไตยของนักเคลื่อนไหวมวลชนกลุ่มหนึ่งที่สืบมรดกความคิดมาจากท่านอาจารย์ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร แน่นอนพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธอยู่ในสกุลความคิดนี้ด้วย
วิธีการแก้ไขในเบื้องต้นที่ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์เสนอว่าต้องทำทันทีก็คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดอย่างน้อย ๆ สองสามประการ คือ
1) ไม่บังคับผู้สมัครส.ส.ให้ต้องสังกัดพรรคการเมือง
2) พรรคการเมืองไม่มีอำนาจให้ส.ส.ที่ไม่ปฏิบัติตามคำบงการพ้นจากตำแหน่ง
3) ไม่บังคับว่านายกรัฐมนตรีจะต้องมาจากส.ส.เท่านั้น
จากนั้นขั้นต่อไปก็คือเริ่มกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อการปฏิรูปการเมือ และการปฏิรูปประเทศ โดยคณะกรรมการที่ประกอบด้วยผู้มีประสบการณ์ในการบริหารบ้านเมือง ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ โดยผ่านระบบการคัดเลือกจาก “รัฐบุรุษ” หรือ “ผู้นำ” ในความหมายของ Statesman ไม่ใช่ในลักษณะของ “สภา” หรือ “สมัชชา” ที่มีที่มาหลากหลาย
ขั้นสุดท้ายเมื่อได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่พร้อมด้วยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ที่จะต้องทำเสร็จพร้อมกันแล้วให้นำมาผ่านการลงประชามติจากประชาชนโดยตรง
ไม่ว่าใครจะเห็นพ้องหรือเห็นต่างอย่างไรท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ก็ยืนยันของท่านอย่างนี้ มากว่า 20 ปีแล้วนับตั้งแต่นำข้อเขียนเรื่อง “รัฐธรรมนูญ : โครงสร้างและกลไกทางกฎหมาย” เสนอต่อที่ประชุมในการสัมมนาทางวิชาการที่โรงแรมเอเซีย จัดโดยสถาบันนโยบายศึกษา เมื่อเดือนกรกฎาคม 2534 และเป็นหัวหน้าคณะวิจัยรวมทั้งเขียนบทความต่อเนื่องด้วยตนเองตลอด 2 ปีต่อมา ก่อนจะตกรวบยอดเป็นบทสรุปด้วยการเขียนบทความขนาดยาวเรื่อง “Constitutionalism : ทางออกของประเทศไทย” ลงในนสพ.ผู้จัดการรายวันช่วงเดือนเมษายน 2537 สมัยเมื่อผมเป็นบรรณาธิการข่าวการเมืองและบรรณาธิการบทความ และจัดพิมพ์เป็นรูปเล่มโดยสถาบันนโยบายศึกษาในอีก 3 เดือนต่อมา อย่างที่เล่าให้ฟังในตอนต้น
ท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสีก็เคยนำแนวคิดนี้ไปประยุกต์ใช้กับการทำงานของคณะกรรมการพัฒนา ประชาธิปไตย (คพป.) เมื่อปี 2537 อย่างจริงจัง
คุณบรรหาร ศิลปอาชานำมาหาเสียงเลือกตั้งในปี 2538 เป็นสัญญาประชาคมของพรรคชาติไทยว่าถ้าได้เป็นรัฐบาลจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามแนวทางคพป.นี้ และจะเพราะสัญญาประชาคมนี้หรือไม่ ไม่ทราบ แต่ท่านก็ได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ของประเทศนี้หลังการเลือกตั้งครั้งนั้น และได้ตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งขึ้นมาศึกษาหาแนวทางทำตามสัญญาประชาคมโดยมีคุณชุมพล ศิลปะอาชาเป็นประธาน
เป็นรากฐานที่นำไปสู่การแก้ไขมาตรา 211 รัฐธรรมนูญ 2534 ในปี 2539
ก่อให้เกิดสภาร่างรัฐธรรมนูญจัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 ขึ้นมาในที่สุด แต่เป็นรูปแบบสภาหรือสมัชชา แตกต่างไปจากแนวคิดเดิม จึงก่อให้เกิดเป็นข้อจำกัด แม้นวัตกรรมทางการเมืองหลายอย่างจะมาจากแนวคิดวิชากฎหมายมหาชนยุคใหม่ที่นำเสนอโดยท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ แต่หลักสำคัญที่สุดสองสามประการที่ผมกล่าวข้างต้นไม่ได้รับการแก้ไข เพราะไม่สามารถยืนหยัด “ทานกระแส” ที่เชื่อผิด ๆ ต่อ ๆ ตามกันมา
ผลที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญฉบับนั้นในที่สุดจึงคือการกระชับอำนาจให้กับระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน
ท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ไม่ได้ย่อท้อ หรือเปลี่ยนแปลงความคิด ท่านนำเสนอแนวคิดพื้นฐานของท่านอย่างต่อเนื่อง โดยครั้งหนึ่ง 2 ศิษย์เอกอย่างท่านอาจารย์สมยศ เชื้อไทยและท่านอาจารย์บรรเจิด สิงคเนติถึงกับก่อตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่งชื่อ “พรรคทางเลือกที่สาม” ในช่วงปี 2547 ช่วงวิกฤตเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2553 ก่อนจะนองเลือด ท่านก็เสนอทางออกของประเทศไทยอีกครั้งภายใต้แนวคิดพื้นฐานเดิมแต่ประยุกต์ไป ตามสถานการณ์
เมื่อเกิดกระแส “ปฏิรูปประเทศ” ขึ้นควบคู่กันไป ท่านก็ออกมาตอบโจทย์อีกว่าจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2 ครั้ง 2 ขั้นตอน
เสนอตัวอย่าง “ร่างต้นแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” ออกมาด้วย !
จุดอ่อนประการสำคัญของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ก็คือภาคประชาชนส่วนหนึ่งกล่าวหาท่านว่าไม่เห็นพลังของมวลชน ไปเน้นแต่ชนชั้นนำมากเกินไป
ท่านก็ไม่ได้ใส่ใจ เพราะเชื่อแนวทางการวิเคราะห์สังคมไทยตามหลักสังคมวิทยาการเมือง
เมื่อ 2 ปีก่อนท่านวิจารณ์แนวทางตั้งสมัชชาของท่านอาจารย์หมอประเวศ วะสีที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะไว้ว่า การแก้ปัญหาการปฏิรูปประเทศไม่ได้อยู่ที่จำนวนของสมัชชา และคาดหมายว่าสิ่งที่คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูปจะได้จากสมัชชาทั้ง 14 สมัชชา ก็คือ ความคิดเห็นที่หลากหลาย จนจับสาระและเหตุผลไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะทำให้ข้อเสนอเป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร
อยากให้กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณลองพิจารณาแนวทางปฏิรูปประเทศของท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์มาประยุกต์กับการต่อสู้ของมวลมหาประชาชน แม้อาจจะเป็นแนวทางที่แตกต่างไปจากแนวทางสภาประชาชน-รัฐบาลประชาชน
จะอย่างไรลักษณะไหน เชื่อว่านักวิชาการรอบตัวกำนันน่าจะช่วยกันได้ เพราะท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์มีตัวแบบไว้ให้เสร็จสรรพ
ในคลิปสัมภาษณ์ล่าสุดท่านอาจารย์อมร จันทรสมบูรณ์ก็ได้พูดถึงการปฏิวัติโดยประชาชนไว้ด้วย
แนวทางการขอพระราชทานรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปประเทศอาจเป็นหนึ่งในทางออกได้เมื่อครองความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้สมบูรณ์