ASTVผู้จัดการ - “ปานเทพ” เผยความในใจ “สนธิ ลิ้มฯ” ชี้ให้ความเห็น-เคลื่อนไหวอย่างไรก็ลำบากจึงได้แต่ให้กำลังใจ กปปส. เผย “สุเทพ” เสียสละมามากแล้ว ยันมวลมหาประชาชนต้องเป็นคนกุมชะตาบ้านเมืองเพื่อนำสู่การปฏิรูปมากกว่าจะปล่อยให้กองทัพเป็นผู้กำหนดทิศทางบ้านเมือง เตือนมวลชนให้ใช้สติในการเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบ
วันนี้ (6 ธ.ค.) ก่อนที่คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข หรือ กปปส. โดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. จะกำหนดท่าทีเคลื่อนไหวของการชุมนุมขับไล่ระบอบทักษิณในช่วงค่ำ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และคนใกล้ชิดนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ประกาศยุติบทบาทไปแล้วได้โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ก ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โดยกล่าวถึงจุดยืน มุมมอง และยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนของกลุ่มต้านระบอบทักษิณในปัจจุบัน
ในบันทึกหัวข้อ “เกิดเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล แท้จริงแสนลำบาก !?” นายปานเทพระบุว่าสาเหตุที่ในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาของการเคลื่อนไหวนายสนธิ ไม่ได้ออกมากล่าวอะไรมากมายนัก เพียงให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน 2 ครั้งเมื่อเดินทางไปขึ้นศาล ก็เนื่องจากไม่ต้องการให้คำพูดของตัวเองเป็นประเด็น หรือ มีความขัดแย้งกับแนวทางการเคลื่อนไหวของกลุ่ม กปปส. ที่นำโดยนายสุเทพ และบางส่วนก็เป็นอดีตแนวร่วมกลุ่มพันธมิตรฯ นอกจากนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันยังปรากฏชัดว่า กลุ่มที่ถือดุลอำนาจสำคัญที่ถือเป็นปัจจัยชี้ขาดในความขัดแย้งทางการเมืองรอบนี้นั้นคือ “กลุ่มทหาร” ที่เคยอยู่เบื้องหลังหรืออย่างน้อยรู้เห็นกับการลอบสังหารนายสนธิในปี 2552 มาก่อน ดังนั้นจึงเป็นภาวการณ์ที่ยากลำบากที่นายสนธิจะกล่าวอะไรได้อย่างตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตาม นายปานเทพได้เปิดเผยว่า สิ่งที่นายสนธิเชื่อมั่นและอยากเห็นก็คือ การที่ผู้ชุมนุมจะต้องผลักดันให้อำนาจต่อรองของมวลมหาประชาชนที่ต้องการปฏิรูปการเมืองไปสู่เป้าหมายให้ถึงที่สุด โดยจะต้องทำให้อำนาจต่อรองของมวลมหาประชาชนอยู่เหนือกว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหลังกองทัพที่กำลังสั่งสมดุลอำนาจอยู่ในปัจจุบัน
“คุณสนธิ กลับคิดอีกด้านว่า หากการเคลื่อนไหวของคุณสุเทพมีมวลชนสนับสนุนมากมายมหาศาลเป็นประวัติการณ์ขนาดนี้แล้ว ต้องให้อำนาจต่อรองจากการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนเป็นตัวกำหนดท่าทีของทหาร มากกว่าการให้อำนาจต่อรองของทหารเป็นตัวกำหนดหรือจำกัดการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชน” อดีตโฆษกกลุ่มพันธมิตรฯ ระบุ
ทั้งนี้ยังกล่าวด้วยว่า นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ได้เสียสละในการเคลื่อนไหวครั้งนี้อย่างมาก และทำหน้าที่ในการนำได้ดีและมีพลังมากพออยู่แล้ว ทว่า โดยยุทธศาสตร์ซึ่งนายสนธิไม่ได้เป็นผู้กำหนด หรือวางแผนทำให้นายสนธิได้แต่เพียงกระตุ้นเตือนมวลชนผู้มีปัญญาที่เข้าร่วมชุมนุม ใช้สติในการเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบ และไม่ตกเป็นเหยื่อในการสร้างสถานการณ์ เพราะเหตุการณ์เช่นนั้นย่อมทำให้เกิดความสูญเสีย และอาจเกิดผู้ฉกฉวยโอกาสขัดขวางมิให้เกิดการปฏิรูปประเทศไทยอย่างแท้จริง
สำหรับข้อความฉบับเต็มที่นายปานเทพโพสต์เอาไว้มีดังนี้
***************
เกิดเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล แท้จริงแสนลำบาก !?
“ไม่ออกมาพูดก็หาว่า ไม่ให้แสงสว่างกับมวลชน ไม่รับผิดชอบกับมวลชนที่ประกาศเชิญชวนให้ออกไปช่วยสุเทพ เทือกสุบรรณ”
“ออกมาพูดถ้ายุทธวิธีไม่ตรงกับขบวนการที่เคลื่อนไหวในเวลานี้ หรือไม่เห็นด้วยกับเบื้องหลังในบางประเด็น หรือท้วงติง ก็จะมีคนตำหนิว่า เตะตัดขา, มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ, ขี้อิจฉา, ทำลายขบวนการ ฯลฯ”
“ออกมาพูดสนับสนุนทุกยุทธวิธี ทั้งๆ ที่คุณสนธิไม่เห็นด้วย ก็เท่ากับไม่บอกความจริงกับประชาชน เสมือนส่งสัญญาณผิดๆ ให้กับประชาชน”
“ออกมาร่วมชุมนุมก็หาว่ากลัวตกขบวน ตีกิน แย่งชิงมวลชน หากินกับเงินบริจาค”
“ไม่ออกมาร่วมชุมนุม ก็หาว่ามีอัตตามากไป ขี้ขลาด รับเงินทักษิณ หรือสนใจแต่ขายของ”
ไม่ว่าการตัดสินใจเป็นแบบใด คุณสนธิก็คงถูกด่าจากสังคมจากด้านใดด้านหนึ่งที่ไม่เข้าใจ หรือมีอคติอยู่ดี
เกิดเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล ต้องเสียสละเงินทองจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว องค์กรแทบล่มสลาย เอาชีวิตเข้าเสี่ยง ทั้งเสี่ยงคุกตะราง ทั้งเสี่ยงชีวิตจนถูกรุมสังหารใจกลางพระนครมาแล้ว มันเกินพอที่ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกแล้ว ในฐานะเกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่ง
ขนาดทุกวันนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายถ่ายทอดสดสถานการณ์การเมือง ต้องหยุดพักกิจกรรมหารายได้ใหัองค์กรเพื่ออุทิศเวลาให้กับการชุมนุม โดยที่ไม่มีการตั้งกล่องรับบริจาคในที่ชุมนุม ไม่ได้รับเงินสนับสนุนจากคนจัดชุมนุมหรือนักการเมืองคนใด จนองค์กรแห่งนี้อาจเข้าสู่ภาวะวิกฤตอีกครั้งในเวลาอันใกล้นี้ จะมีใครสักกี่คนมองเห็นในแง่มุมนี้บ้าง?
คุณสนธิเป็นนักประวัติศาสตร์ การอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งอันสำคัญของประวัติศาสตร์ย่อมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้แล้ว และคุณสนธิก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ในช่วงเวลาของประวัติศาสตร์ในทุกๆ ช่วงเสมอไป มันอยู่ที่ว่าใครเหมาะกับสถานการณ์ไหน จังหวะใด และเวลาใดมากกว่า
ดังนั้น การตัดสินใจของคุณสนธิในเวลานี้ก็ไม่ใช่เหตุผลว่าเพราะกลัวถูกด่า หรือกลัวว่าจะตกขบวน กลัวไม่มีบทบาท กลัวไม่ได้รับเงินบริจาค กลัวติดคุก ฯลฯ เพราะถ้าตัดสินใจบนเหตุผลความกลัวเหล่านั้น ก็เป็นเหตุผลในเรื่องของประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าส่วนรวม และไม่ใช่อุปนิสัยของคนที่ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล
แต่สิ่งที่คุณสนธิ ต้องชั่งน้ำหนักการแสดงท่าทีของตนเอง คือ จะเกิดชัยชนะต่อประเทศชาติและประชาชนได้อย่างแท้จริงหรือไม่ ต่างหาก
คนทั่วไปมักจะโพสต์ว่าอยากเห็นคุณสนธิจับมือกับคุณสุเทพ เพราะคิดว่าจะทำให้ได้รับชัยชนะ หรือการเคลื่อนไหวมวลชนจะก้าวหน้าขึ้น
แต่ในความเป็นจริงมวลชนที่ชุมนุมอยู่ในเวลานี้กลุ่มคนที่เคยร่วมกับพันธมิตรฯก็ออกไปมากจนเกือบหมดแล้วเพราะคนเหล่านี้เป็นพลเมืองที่มีความกระตือรือล้นสูง จึงห่วงใยชาติบ้านเมืองกันทั้งสิ้น ถึงแม้มีคุณสนธิและ ASTV เข้าร่วมการชุมนุม ผู้ชุมนุมก็อาจจะเพิ่มได้ไม่มากไปกว่านี้มากนัก
แต่ลักษณะโครงสร้างและจังหวะสุกงอมในเวลานี้ทำใหัเรามีมวลชนกลุ่มใหม่ที่เป็นนักศึกษาเยาวชน และวัยรุ่นเพิ่มมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ดังนั้นเพียงแค่การที่คุณสนธิส่งสัญญาณให้ช่วยเหลือการชุมนุมของคุณสุเทพจึงถือว่าได้ช่วยเติมความต้องการในการชุมนุมครั้งนี้ครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว
แต่หากมีคุณสนธิ แสดงความเห็นหรือเข้าร่วมขบวนการในช่วงเวลานี้ อาจส่งผลเสียหลายประการ เพราะต้องไม่ลืมว่าคุณสนธิเป็นอดีตผู้นำมวลชนที่มีอาชีพสื่อมวลชนที่วิจารณ์คนในอาชีพเดียวกันอย่างหนักหน่วงก็เป็นที่เขม่น หมั่นไส้อยู่แล้ว แต่บทบาทสื่อมวลชนที่วิพากษ์วิจารณ์ทุกกลุ่มอำนาจที่โกงบ้านกินเมืองเพื่อเอาชาติเป็นตัวตั้ง ย่อมทำให้คุณสนธิขาดพันธมิตรฯหุ้นส่วนในโครงสร้างอำนาจไปโดยปริยาย โดยเฉพาะกลุ่มทหารที่ร่วมยิงคุณสนธิจนฝากบาดแผลไว้บนศีรษะด้านขวาทุกวันนี้ กลุ่มทหารเหล่านี้กำลังเป็นผูัถือดุลอำนาจสำคัญ ที่คงไม่อยากเห็น สนธิ ลิ้มทองกุล อยู่ในสมการการชุมนุมครั้งนี้อย่างแน่นอน
ไม่ต้องพูดถึงคนที่ตกเวทีพันธมิตรฯ ไป เพราะเลือกข้างพรรคประชาธิปัตย์ เพราะลงสมัครรับเลือกตั้งพรรคการเมืองใหม่ทั้งๆ ที่พันธมิตรฯ ไม่เห็นด้วย คนใฝ่ฝันอยากเป็นแกนนำมวลชนคนใหม่ นักฉวยโอกาส รวมถึงคนที่คิดดีกับบ้านเมืองแต่ห่วงจะเสียแนวร่วมก็อาจไม่ต้องการการปรากฏตัวของสนธิ ลิ้มทองกุล อีกเช่นกัน
คุณสนธิ ลิ้มทองกุล จึงเข้าใจอย่างดีว่า ไม่ว่าคุณสนธิจะส่งสัญญาณส่งมวลชนไปช่วยคุณสุเทพ 2 ครั้งในยามวิกฤติอย่างไรก็ตาม จะไม่เคยมีแม้กระทั่งคำขอบคุณจากคุณสุเทพ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม ทั้งในทางลับหรือเปิดเผย เพราะมันเป็นเรื่องการพึ่งพาหุ้นส่วนโดยเฉพาะทหาร ที่คุณสุเทพอาจเชื่อว่าจะทำให้บรรลุเป้าหมายตามวัตถุประสงค์ของคุณสุเทพ และคุณสนธิไม่ได้ติดใจหรือคาดหวังใดๆ จากคุณสุเทพในการส่งสัญญาณสนับสนุนเท่าที่ผ่านมา แต่ทำไปเพราะคิดว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ เพื่อเอาชาติเป็นตัวตั้งไว้ก่อน
และ แม้คุณสนธิ จะยอมรับว่ากองทัพจะเป็นปัจจัยชี้ขาดในการเปลี่ยนแปลง แต่คุณสนธิก็ไม่เชื่อว่าการปล่อยให้อำนาจต่อรองของทหารกลุ่ม 200 นัด เป็นผู้ถือดุลอำนาจ ให้ความสำคัญและยกอำนาจต่อรองของกลุ่มทหารนี้ให้อยู่สูงกว่าอำนาจต่อรองของมวลมหาประชาชนจะเป็นหลักประกันในการได้รับชัยชนะที่แท้จริงได้ นอกจากจะกลายเป็นเครื่องมือสร้างอำนาจต่อรองให้กับทหารเหล่านี้อีกครั้งทั้งกับรัฐบาลและกับมวลมหาประชาชน โดยที่ประเทศชาติและประชาชนไม่ได้ประโยชน์อันใด
เพราะทหารกลุ่มนี้สนใจแต่การถือดุลอำนาจอยู่ตรงกลาง อำพรางไม่ให้ใครจับได้ เพราะกลัวว่าหากเริ่มเลือกข้างแล้ว สุดท้ายอำนาจอาจไม่อยู่ในมือทหารกลุ่มนี้อีกต่อไป และจะทำให้ทหารกลุ่มนี้ตกอยู่ในฐานะต้องไปพึ่งพา “คนอื่น” ที่อาจควบคุมไม่ได้ หรืออาจทำให้มีอำนาจต่อรองไม่มากเท่านี้
ด้วยเหตุผลนี้ คุณสนธิ กลับคิดอีกด้านว่า หากการเคลื่อนไหวของคุณสุเทพมีมวลชนสนับสนุนมากมายมหาศาลเป็นประวัติการณ์ขนาดนี้แล้ว
“ต้องให้อำนาจต่อรองจากการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชนเป็นตัวกำหนดท่าทีของทหาร มากกว่าการให้อำนาจต่อรองของทหารเป็นตัวกำหนดหรือจำกัดการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชน”
เหมือนตัวอย่างการที่ คปท. นำมวลชน เข้าไปใน บก.ทบ.และได้รับสัญญาณให้ออกไปโดยเร็ว เพียงเพื่อไม่ต้องการให้พิสูจน์ว่ากองทัพเลือกข้างใด
เหมือนการที่ กองทัพเจรจาให้หยุดยิงแก๊สน้ำตา เปิดทาง เพื่อให้มวลชนที่เข้าไปทำเนียบรัฐบาลจนมวลชนพอใจ แล้วให้มวลชนถอยออกมาเพราะเกรงใจทหารเพื่อให้รัฐบาลพอใจ
เหมือนการที่ ผบ.ทบ. บนโต๊ะเจรจา บอกว่ายืนข้างประเทศไทย เพื่อให้คุณสุเทพไปตีความเอาเองว่าไม่ยืนข้างรัฐบาล และรัฐบาลตีความว่าไม่ได้ยืนข้างคุณสุเทพ
ด้วยความคิดที่แตกต่างกัน คุณสนธิจึงไม่สามารถออกมาให้ความเห็นในทางสาธารณะที่อาจกระทบการชุมนุมได้ ในขณะดียวกันแม้จะจะสนับสนุนให้มวลชนออกไป แต่จะให้พูดสนับสนุนทางยุทธวิธีที่คิดไม่เหมือนกันก็ไม่ได้เช่นกัน
คุณสนธิพูดมาโดยตลอดว่า ชัยชนะประชาชนจะเกิดขึ้นได้เพราะการเสียสละของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีมวลชนสนับสนุนถึง 12 ล้านคน วันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่า แม้ยังไม่มีการเสียสละทั้งพรรค แต่การที่มีสัญลักษณ์บางกลุ่มจากคนในพรรคประชาธิปัตย์เสียสละ ได้สร้างปรากฏการณ์มวลมหาประชาชนอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และจะทำได้มากกว่านี้หากมีการเสียสละจากพรรคประชาธิปัตย์ที่มากกว่านี้ และชัยชนะจะเป็นไปได้มากกว่านี้อีก
คลื่นมวลมหาประชาชนได้พัดพาไป จนวันนี้ทุกกลุ่มผู้ชุมนุมได้พูดเรื่องการปฏิรูปประเทศอย่างเป็นเอกภาพ สิ่งที่คุณสุเทพได้พูดในเรื่องความล้มเหลวในโครงสร้างทางการเมือง และความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงประเทศ ฯลฯ เป้าหมายเหล่านี้จึงแทบไม่ต่างจากเป้าหมายของ สนธิ ลิ้มทองกุลเลยที่พูดมาแล้วหลายปี
จะมีอยู่เพียงประเด็นสำคัญ เพียงประเด็นเดียวที่คุณสุเทพยังไม่เคยพูดถึงเลย คือเรื่อง "การปฏิรูปพลังงาน"
ด้วยเหตุผลของเนื้อหาในเป้าหมายที่ปราศรัยกันในขณะนี้ที่ไม่ค่อยต่างกัน จึงไม่มีความจำเป็นที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องเข้าไปร่วมอีก เพราะคุณสุเทพ ก็เสียสละในการเคลื่อนไหวครั้งนี้อย่างมาก และทำหน้าที่ในการนำได้ดีอยู่แล้ว ไม่ต่างจากสิ่งที่คุณสนธิได้เคยพูดและเสียสละมา
คุณสนธิ ได้พูดกับผมว่าภารกิจของเทียนเล่มแรกได้เสร็จสิ้นแล้ว การนับหนึ่งด้วยการจุดเทียนเล่มแรกเมื่อ 7 ปีที่แล้ว นั้นใช้ความยากลำบากอย่างยิ่ง มีต้นทุนที่ต้องจ่ายมาก ต้องขายทรัพย์สินจนแทบสิ้นเนื้อประดาตัว องค์กรแทบอยู่ไม่ได้ ชีวิตขาดอิสรภาพเพราะตกอยู่ในอันตรายอยู่ตลอดเวลาถึงชีวิต ขึ้นศาลแทบทุกอาทิตย์ และยังมีคดีในศาลฎีการอคำพิพากษาในเร็ววันนี้อีก 6 คดี แต่ก็พึงพอใจว่าสิ่งที่พูดมา 7 ปีกว่าที่ต้องเอาชีวิตและธุรกิจเข้าแลก ตามคำขวัญ “ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง” ได้ผลิดอกออกผลเป็นเทียนมากมายมหาศาล แม้ว่าผู้ถือเทียนนำในวันนี้จะไม่ใช่คุณสนธิ ล้ิมทองกุล แล้วก็ตาม
ธนู 2 ดอกเหมือนกันยิงเป้าหมายเดียวกัน เมื่อ “ยิงพร้อมกันจากคันธนูเดียวกัน” ย่อมให้ผลเท่ากับยิงธนูดอกเดียวและเสียลูกธนูอีกดอกไปโดยไม่จำเป็น แต่เราควรเก็บ “เทียนเล่มแรก” และ “ธนูดอกสุดท้าย” เอาไว้ใช้ในยามจำเป็น เพลี่ยงพล้ำ หรือเมื่อถึงเวลาที่ควรกว่านี้ยังจะมีประโยชน์กว่า โดยเฉพาะเมื่อ “ยุทธวิธี” ไม่เหมือนกัน
แม้คุณสนธิจะส่งสัญญาณให้มวลชนออกไปช่วยคุณสุเทพเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมือง แต่ก็ไม่ได้อยู่ในฐานะผู้นำหรือผู้วางแผน และวางยุทธวิธี ที่จะรับผิดชอบในสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ขอให้มวลชนที่มีเทียนแห่งปัญญาที่ได้จุดติดแล้ว ใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นบทเรียน ใช้สติในการเคลื่อนไหวอย่างรอบคอบ ระมัดระวังตัวไม่ตกเป็นเหยื่อในการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่ออำนาจของใคร และไม่ปล่อยให้ใครมาฉกฉวยโอกาส โดยปราศจากการปฏิรูปประเทศไทยให้ได้อย่างแท้จริง