ประเทศไทยของเราจมปลักอยู่กับความขัดแย้งระหว่างระบอบทักษิณกับการต่อต้านระบอบทักษิณเป็นเวลาถึง 12 ปีเต็มแล้ว และใน 12 ปีนี้ก็เป็นความขัดแย้งระดับวิกฤตถึง 10 ปี
มันนานมาก และมากพอที่ประเทศนี้และประชาชาติไทยทั้งมวลจะทนรับได้ไหวอีกแล้ว
ปรากฏการณ์ที่มวลมหาประชาชนเดินขบวนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยหลายล้านคน เป็นเหตุการณ์สะเทือนสะท้านไปทั่วทั้งประเทศและทั่วโลกด้วย
แต่พลังของมวลมหาประชาชนครั้งประวัติศาสตร์นี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองได้ เพราะยังมีการดิ้นรนที่จะอยู่ในอำนาจ ที่จะสร้างกรรมทำเข็ญกับบ้านเมืองต่อไป
และกำลังใช้กลยุทธ์ยื้อเวลาขั้นสูงอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557
ที่ต้องกล่าวว่าเป็นกลยุทธ์ขั้นสูงในการยื้อเวลาก็เพราะว่า
ประการแรก ผู้คนในวงการเมือง โดยเฉพาะภายในพรรคเพื่อไทยได้รับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะมีการยุบสภาหลังวันที่ 2 ธันวาคม 2556 เพื่อให้นักการเมืองที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีได้กลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง
ประการที่สอง ได้มีการเปิดเผยกลยุทธ์ในการรับมือกับการต่อสู้ของประชาชนก่อนหน้านั้นแล้วว่าขั้นแรกต้องยื้ออยู่ในอำนาจให้นานที่สุด ถ้าหนักหนาขึ้นมาก็ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ หรือถ้าหนักขึ้นไปอีกก็ให้พยายามรักษาอำนาจรัฐไว้ให้ได้ด้วยวิธีการทุกชนิด ไม่ว่าจะย้ายรัฐบาลไปอยู่ในต่างจังหวัดหรือเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น
ประการที่สาม ระบอบทักษิณเคยยื้อเวลาและใช้กลยุทธ์นี้มาแล้วตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน และใช้เวลายื้อได้ยาวนานที่สุดเป็นเวลาถึง 193 วัน และคาดว่าการยื้อเวลาเช่นนี้จะทำให้ภาคประชาชนอ่อนล้าและพ่ายแพ้ไปเอง
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ก็คือการดำเนินกลยุทธ์ยื้อเวลา ซึ่งสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเคยยื้อจนมีการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง และถูกปฏิวัติก่อนครั้งที่ 3 และมีประสบการณ์ในการยื้อเวลาในยุคพรรคพลังประชาชนถึง 193 วัน และกลยุทธ์นี้ได้นำมาใช้อีกครั้งหนึ่งในปัจจุบันนี้
การใช้กลยุทธ์แบบนี้คือการไม่คำนึงถึงความพินาศย่อยยับของประเทศชาติและประชาชน ขณะนี้สถานการณ์ของประเทศกำลังล้มเหลวและพินาศอย่างทั่วด้าน การบริหารราชการแผ่นดิน การเศรษฐกิจของประเทศชาติพินาศวายวอดสิ้นแล้ว หนี้สินของประเทศกำลังเข้าไปสู่ขั้นล้มละลาย ความเชื่อถือในสายตานานาชาติหมดสิ้นลง
ภาคธุรกิจและประชาชนได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าอย่างแสนสาหัส
ประเทศไทยและคนไทยตกอยู่ในสภาพเหมือนคนใกล้จะตาย ที่มีอีกาปีศาจในประเทศจ้องจะจิกกินซากศพ ในขณะที่อีแร้งปีศาจจากต่างประเทศก็จ้องจะจิกกินซากศพนั้น
เป็นความน่าอเนจอนาถที่ปรากฏขึ้นในชั่วอายุของเราท่านทั้งหลาย และเป็นชะตากรรมที่เราท่านทั้งหลายจะต้องเผชิญหน้าและผลพวงจากวิบากแห่งความพินาศวายวอดนี้ย่อมตกทอดไปถึงชั้นลูกชั้นหลาน คงเหลือว่าจะนานเท่าใดเท่านั้น
การต่อสู้ของประชาชนที่นำโดย กปปส. ในปัจจุบันนี้จึงกำลังเผชิญหน้ากับกลยุทธ์ยื้อเวลาประเภทยุบสภาและเลือกตั้ง ซึ่งจะดำเนินไปจนกระทั่งถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557
ประชาชนจึงต้องจับตาว่า กปปส.จะนำพาประชาชนยืนหยัดรับมือกับกลยุทธ์ยื้อเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร? และสำหรับประชาชนก็ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับกลยุทธ์สุดอำมหิตที่จะทำให้บ้านเมืองจมปลักอยู่ในความขัดแย้งต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเข้าใจฉะนี้แล้วก็มาดูกันว่าการใช้กลยุทธ์ยื้อเวลาแล้วเลือกตั้งนั้น ทำไมจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองได้? เงื่อนปมอยู่ตรงที่ไม่ใช่เป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพียงแต่ใช้คำว่าการเลือกตั้งบังหน้าให้กับมายาภาพในการเสกปั้นเหล่าโจรให้เข้ามามีอำนาจในบ้านเมือง ซึ่งคนไทยก็ได้เห็นบทเรียนที่ชัดเจนมาแล้วตลอดระยะเวลา 10 ปีที่มีการเลือกตั้งแบบนี้
การเลือกตั้งในระบอบโคตรโกงย่อมไม่ใช่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งในระบอบโคตรโกงเป็นไฉนเล่า?
ข้อแรก เป็นการเลือกตั้งที่มีการใช้เงินที่โกงบ้านโกงเมืองเพื่อซื้อเสียงและซื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติได้เลย เพราะไม่ใช่การเลือกตั้งที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์และฉันทามติอันบริสุทธิ์ของประชาชน ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของระบอบประชาธิปไตย
ข้อสอง เป็นการเลือกตั้งที่มีการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในท้องถิ่นจำนวนมากในการปิดล้อมชุมชนหรือหมู่บ้าน เพื่อให้นักการเมืองได้ซื้อเสียงในชุมชนและหมู่บ้านนั้นๆ อย่างโจ๋งครึ่ม รวมทั้งการกีดกันขัดขวางผู้สมัครรับเลือกตั้งอื่นไม่ให้หาเสียง ไม่ให้พบปะกับประชาชน ในลักษณะทำนองเดียวกันกับการโรยตะปูเรือใบหรือการขัดขวางประชาชนที่จะเดินทางมาชุมนุม
ข้อสาม เป็นการเลือกตั้งที่มีการเกณฑ์ผู้คนโดยใช้รถราม้าช้างและผู้มีอิทธิพลไปเกณฑ์ประชาชนจากชุมชนและหมู่บ้านต่างๆ ให้ไปลงคะแนนเสียงให้กับนักการเมืองลิ่วล้อบริวาร
ข้อสี่ เป็นการเลือกตั้งที่มีการจ้างวานกรรมการหน่วยเลือกตั้งต่างๆ ให้ช่วยโกงการเลือกตั้งทุกรูปแบบ รวมทั้งโกงการนับคะแนน เพื่อให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งในระบอบโคตรโกงได้รับชัยชนะ
ข้อห้า เป็นการเลือกตั้งที่มีการจ้างวานให้ กกต.บางคนช่วยเหลือ ช่วยโกง ไม่เอาผิดให้กับการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม กระทั่งการแจกใบเหลืองใบแดงแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งอื่น รวมทั้งการรับรองผลการเลือกตั้งเพื่อมอบชัยชนะให้แก่พรรคการเมืองในระบอบโคตรโกงนั้น
การเลือกตั้งในระบอบโคตรโกงนี้จะเลือกกันอย่างไร จะเลือกกันกี่ครั้งกี่หน ก็มีแต่ผู้คนในระบอบโคตรโกงเท่านั้นที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
และการเลือกตั้งในระบอบนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้การขายชาติ การปล้นชาติ การฉ้อราษฎร์บังหลวง การกดขี่ข่มเหงอาณาประชาราษฎรจนเกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าและบ้านเมืองจะถึงกาลพินาศวายวอดต่อหน้าต่อตาให้เห็นๆ กันอยู่
ที่ร้ายกาจมากก็คือมีการใช้กลไกนักวิชากินและนักวิชาโกง รวมทั้งกระบอกเสียงในระบอบโคตรโกงโหมประโคมเชิญชวนให้คนทั้งหลายได้เห็นดีเห็นงามไปกับการเลือกตั้งแบบนี้
ก็คงเหลือว่าประชาชนจะรู้เท่าทันและเห็นพิษเห็นภัยของการเลือกตั้งในระบอบโคตรโกงหรือไม่? และจะทำลายการเลือกตั้งระบอบโคตรโกงนี้ให้สิ้นสูญไปจากแผ่นดินไทยได้อย่างไร?
เพราะการเลือกตั้งแบบนี้แหละที่เป็นต้นตอหรือต้นเหตุของปัญหาร้ายแรงที่สุดของประเทศชาติและประชาชน!
มันนานมาก และมากพอที่ประเทศนี้และประชาชาติไทยทั้งมวลจะทนรับได้ไหวอีกแล้ว
ปรากฏการณ์ที่มวลมหาประชาชนเดินขบวนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยหลายล้านคน เป็นเหตุการณ์สะเทือนสะท้านไปทั่วทั้งประเทศและทั่วโลกด้วย
แต่พลังของมวลมหาประชาชนครั้งประวัติศาสตร์นี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองได้ เพราะยังมีการดิ้นรนที่จะอยู่ในอำนาจ ที่จะสร้างกรรมทำเข็ญกับบ้านเมืองต่อไป
และกำลังใช้กลยุทธ์ยื้อเวลาขั้นสูงอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557
ที่ต้องกล่าวว่าเป็นกลยุทธ์ขั้นสูงในการยื้อเวลาก็เพราะว่า
ประการแรก ผู้คนในวงการเมือง โดยเฉพาะภายในพรรคเพื่อไทยได้รับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะมีการยุบสภาหลังวันที่ 2 ธันวาคม 2556 เพื่อให้นักการเมืองที่ถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 5 ปีได้กลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง
ประการที่สอง ได้มีการเปิดเผยกลยุทธ์ในการรับมือกับการต่อสู้ของประชาชนก่อนหน้านั้นแล้วว่าขั้นแรกต้องยื้ออยู่ในอำนาจให้นานที่สุด ถ้าหนักหนาขึ้นมาก็ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ หรือถ้าหนักขึ้นไปอีกก็ให้พยายามรักษาอำนาจรัฐไว้ให้ได้ด้วยวิธีการทุกชนิด ไม่ว่าจะย้ายรัฐบาลไปอยู่ในต่างจังหวัดหรือเป็นรัฐบาลพลัดถิ่น
ประการที่สาม ระบอบทักษิณเคยยื้อเวลาและใช้กลยุทธ์นี้มาแล้วตั้งแต่ยุคพรรคไทยรักไทย และพรรคพลังประชาชน และใช้เวลายื้อได้ยาวนานที่สุดเป็นเวลาถึง 193 วัน และคาดว่าการยื้อเวลาเช่นนี้จะทำให้ภาคประชาชนอ่อนล้าและพ่ายแพ้ไปเอง
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการยุบสภาเพื่อให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ก็คือการดำเนินกลยุทธ์ยื้อเวลา ซึ่งสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเคยยื้อจนมีการเลือกตั้งถึง 2 ครั้ง และถูกปฏิวัติก่อนครั้งที่ 3 และมีประสบการณ์ในการยื้อเวลาในยุคพรรคพลังประชาชนถึง 193 วัน และกลยุทธ์นี้ได้นำมาใช้อีกครั้งหนึ่งในปัจจุบันนี้
การใช้กลยุทธ์แบบนี้คือการไม่คำนึงถึงความพินาศย่อยยับของประเทศชาติและประชาชน ขณะนี้สถานการณ์ของประเทศกำลังล้มเหลวและพินาศอย่างทั่วด้าน การบริหารราชการแผ่นดิน การเศรษฐกิจของประเทศชาติพินาศวายวอดสิ้นแล้ว หนี้สินของประเทศกำลังเข้าไปสู่ขั้นล้มละลาย ความเชื่อถือในสายตานานาชาติหมดสิ้นลง
ภาคธุรกิจและประชาชนได้รับความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าอย่างแสนสาหัส
ประเทศไทยและคนไทยตกอยู่ในสภาพเหมือนคนใกล้จะตาย ที่มีอีกาปีศาจในประเทศจ้องจะจิกกินซากศพ ในขณะที่อีแร้งปีศาจจากต่างประเทศก็จ้องจะจิกกินซากศพนั้น
เป็นความน่าอเนจอนาถที่ปรากฏขึ้นในชั่วอายุของเราท่านทั้งหลาย และเป็นชะตากรรมที่เราท่านทั้งหลายจะต้องเผชิญหน้าและผลพวงจากวิบากแห่งความพินาศวายวอดนี้ย่อมตกทอดไปถึงชั้นลูกชั้นหลาน คงเหลือว่าจะนานเท่าใดเท่านั้น
การต่อสู้ของประชาชนที่นำโดย กปปส. ในปัจจุบันนี้จึงกำลังเผชิญหน้ากับกลยุทธ์ยื้อเวลาประเภทยุบสภาและเลือกตั้ง ซึ่งจะดำเนินไปจนกระทั่งถึงวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557
ประชาชนจึงต้องจับตาว่า กปปส.จะนำพาประชาชนยืนหยัดรับมือกับกลยุทธ์ยื้อเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร? และสำหรับประชาชนก็ต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับกลยุทธ์สุดอำมหิตที่จะทำให้บ้านเมืองจมปลักอยู่ในความขัดแย้งต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเข้าใจฉะนี้แล้วก็มาดูกันว่าการใช้กลยุทธ์ยื้อเวลาแล้วเลือกตั้งนั้น ทำไมจึงไม่สามารถแก้ไขปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองได้? เงื่อนปมอยู่ตรงที่ไม่ใช่เป็นการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพียงแต่ใช้คำว่าการเลือกตั้งบังหน้าให้กับมายาภาพในการเสกปั้นเหล่าโจรให้เข้ามามีอำนาจในบ้านเมือง ซึ่งคนไทยก็ได้เห็นบทเรียนที่ชัดเจนมาแล้วตลอดระยะเวลา 10 ปีที่มีการเลือกตั้งแบบนี้
การเลือกตั้งในระบอบโคตรโกงย่อมไม่ใช่การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย การเลือกตั้งในระบอบโคตรโกงเป็นไฉนเล่า?
ข้อแรก เป็นการเลือกตั้งที่มีการใช้เงินที่โกงบ้านโกงเมืองเพื่อซื้อเสียงและซื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องเป็นจำนวนมหาศาล ทำให้การเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรมตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติได้เลย เพราะไม่ใช่การเลือกตั้งที่ได้มาด้วยความบริสุทธิ์และฉันทามติอันบริสุทธิ์ของประชาชน ซึ่งเป็นจิตวิญญาณของระบอบประชาธิปไตย
ข้อสอง เป็นการเลือกตั้งที่มีการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่หน่วยงานในท้องถิ่นจำนวนมากในการปิดล้อมชุมชนหรือหมู่บ้าน เพื่อให้นักการเมืองได้ซื้อเสียงในชุมชนและหมู่บ้านนั้นๆ อย่างโจ๋งครึ่ม รวมทั้งการกีดกันขัดขวางผู้สมัครรับเลือกตั้งอื่นไม่ให้หาเสียง ไม่ให้พบปะกับประชาชน ในลักษณะทำนองเดียวกันกับการโรยตะปูเรือใบหรือการขัดขวางประชาชนที่จะเดินทางมาชุมนุม
ข้อสาม เป็นการเลือกตั้งที่มีการเกณฑ์ผู้คนโดยใช้รถราม้าช้างและผู้มีอิทธิพลไปเกณฑ์ประชาชนจากชุมชนและหมู่บ้านต่างๆ ให้ไปลงคะแนนเสียงให้กับนักการเมืองลิ่วล้อบริวาร
ข้อสี่ เป็นการเลือกตั้งที่มีการจ้างวานกรรมการหน่วยเลือกตั้งต่างๆ ให้ช่วยโกงการเลือกตั้งทุกรูปแบบ รวมทั้งโกงการนับคะแนน เพื่อให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งในระบอบโคตรโกงได้รับชัยชนะ
ข้อห้า เป็นการเลือกตั้งที่มีการจ้างวานให้ กกต.บางคนช่วยเหลือ ช่วยโกง ไม่เอาผิดให้กับการเลือกตั้งที่ไม่สุจริตและเที่ยงธรรม กระทั่งการแจกใบเหลืองใบแดงแก่ผู้สมัครรับเลือกตั้งอื่น รวมทั้งการรับรองผลการเลือกตั้งเพื่อมอบชัยชนะให้แก่พรรคการเมืองในระบอบโคตรโกงนั้น
การเลือกตั้งในระบอบโคตรโกงนี้จะเลือกกันอย่างไร จะเลือกกันกี่ครั้งกี่หน ก็มีแต่ผู้คนในระบอบโคตรโกงเท่านั้นที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง
และการเลือกตั้งในระบอบนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้การขายชาติ การปล้นชาติ การฉ้อราษฎร์บังหลวง การกดขี่ข่มเหงอาณาประชาราษฎรจนเกิดความเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าและบ้านเมืองจะถึงกาลพินาศวายวอดต่อหน้าต่อตาให้เห็นๆ กันอยู่
ที่ร้ายกาจมากก็คือมีการใช้กลไกนักวิชากินและนักวิชาโกง รวมทั้งกระบอกเสียงในระบอบโคตรโกงโหมประโคมเชิญชวนให้คนทั้งหลายได้เห็นดีเห็นงามไปกับการเลือกตั้งแบบนี้
ก็คงเหลือว่าประชาชนจะรู้เท่าทันและเห็นพิษเห็นภัยของการเลือกตั้งในระบอบโคตรโกงหรือไม่? และจะทำลายการเลือกตั้งระบอบโคตรโกงนี้ให้สิ้นสูญไปจากแผ่นดินไทยได้อย่างไร?
เพราะการเลือกตั้งแบบนี้แหละที่เป็นต้นตอหรือต้นเหตุของปัญหาร้ายแรงที่สุดของประเทศชาติและประชาชน!