xs
xsm
sm
md
lg

ก้าวต่อไป“ประชาชนปฏิวัติ” งานหินของ “กำนัน-กปปส.”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**ประชาชนปฏิวัติ !!! เป็นสถานการณ์การเมืองไทยในขณะนี้
ศึกระหว่างกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) กับ “รัฐบาล”ขี้ข้าทายาทอสูร ระบอบทักษิณ เดินมาถึงจุดเสี่ยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นัดหมายเปลี่ยนแปลงประเทศ 9 ธันวาคม ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ”เลขาธิการ กปปส. รวมพลคนนับล้านเดินเท้ามุ่งหน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อทวงคืนอำนาจให้กับประชาชน ถือเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกไว้ชั่วลูกชั่วหลาน
แม้หัวขบวนเครือข่าย“ชินวัตร”อย่าง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี จะรีบชิงตัดหน้าประกาศยุบสภา ในช่วงเช้าก่อนที่จะถึงฤกษ์ที่ กปปส.กำหนดเคลื่อนทัพ 09.39 น. แต่ก็ไม่ทันการณ์ เพราะคลื่นมหาชนจากทั่วทุกสารทิศ ต่างหลั่งไหลมาร่วมแสดงพลังเป็นประวัติการณ์
**ในที่สุดสหบาทาจากทั่วแผ่นดิน เข้ารุมประชาทัณฑ์“รัฐบาลทรราช”ไม่มีชิ้นดี
การแถลงของ ยิ่งลักษณ์ จึงเป็นเพียงแค่ความพยายามดิ้นออกจากมุมอับ เพื่อรักษาอำนาจไม่ให้หลุดลอยไป โดยอาศัยการเลือกตั้งบังหน้า เพราะคำพูดของ“นายกฯหญิง”ไม่ต้องถึงระดับปัญญาชน แค่“เด็กอนุบาล”ก็อ่านออกว่า เพียงต้องการยื้อเวลา ต่อลมหายใจให้ระบอบทักษิณก็เท่านั้น
ทุกอย่างสายเกินไปเสียแล้ว การลาออก-ยุบสภา แม้ “ยิ่งลักษณ์-ทักษิณ”จะพร้อมทำตามคำขอทุกประการ แต่นั่นไม่ใช้คำตอบที่ กปปส. และมวลมหาประชาชนต้องการ
**แล้วจะมีใครโง่ไปติดหลุมพรางที่ “ยิ่งลักษณ์”ขุดขึ้นมาหลอกง่ายๆ
ชั่วโมงนี้ ระบอบทักษิณ ไม่สามารถทัดทานพลังบริสุทธิ์จากมวลมหาประชาชนที่หลั่งไหลเข้ามาแบบไม่หยุดยั้งได้ แม้จะเดินเกมอย่างไร ก็ไม่มีใครสนใจ
แต่อีกด้าน คำถามมีว่า แล้ว“กำนันสุเทพ”และ กปปส.จะขับเคลื่อน “พลังบริสุทธิ์”นี้ต่อไปอย่างไร เบื้องต้นเป็นไปตามแถลงการณ์ “ประชาภิวัฒน์”เมื่อช่วงค่ำวันที่ 9ธ.ค. ผ่านมาว่า
“กปปส.ไม่อาจยินยอมให้เผด็จการเสียงข้างมาก และทุนนิยมผูกขาด ใช้อำนาจโดยไม่เป็นไปตามครรลอง เมื่อรัฐบาลทรยศประชาชน ทำลายสัญญาประชาคมชัดเจน ประชาชนจึงไม่จำต้องอยู่ภายใต้อีกต่อไป จึงอาศัยอำนาจรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ขอประกาศว่า ประชาชนมีความจำเป็นต้องพิทักษ์หลักการใช้สิทธิ์เรียกคืนอำนาจการปกครองแผ่นดินดินสู่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจ เป็นการประชาภิวัฒน์เพื่อปฏิรูปประเทศให้ทุจริตหมด ไป และให้การเมืองเป็นธรรมแก่ประชาชนทุกภาคส่วน”
ต้องจับตาว่าก้าวย่างต่อไปที่ สุเทพ จะนำพากระบวนการปฏิรูประเทศไทยต่อไปอย่างไร และการยึดอำนาจโดยประชาชน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ที่หยิบยกขึ้นมาใช้นั้น สมบูรณ์เบ็ดเสร็จแล้วหรือไม่
เพราะฝ่าย “สุเทพ–กปปส.”ก็ใช้พลังของมวลมหาประชาชนเป็น“ฉันทามติ”ในการยึดอำนาจจากรัฐบาลทรราช ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลก็อ้างว่า ได้รับฉันทานุมัติ จากประชาชน 15 ล้านเสียง และขอกลับไปตัดสินในการเลือกตั้งอีกครั้ง หลังจากที่ประกาศยุบสภาไปแล้ว
อีกทั้งยังไม่รับข้อเสนอในการลาออกจากรัฐบาลรักษาการ ตามที่มีข้อเรียกร้อง โดยอ้างว่าจำเป็นต้องบริหารราชการแผ่นดินต่อไปตามที่กฎหมายกำหนด ทั้งๆ ที่นักวิชาการด้านกฎหมายก็ออกมายืนยันตรงกันว่า รัฐบาลรักษาการสามารถลาออกได้ โดยให้อำนาจการบริหารงานเป็นของ “ปลัดกระทรวง”แต่ละกระทรวง
จุดนี้คือสิ่งที่ สุเทพต้องรีบ “เผด็จศึก”ตะเพิด “รัฐบาลนางลอย”ออกจากเก้าอี้ให้ได้ มิเช่นนั้นก็จะเจอ“หินโสโครก”กีดขวางเป็นอุปสรรคของเส้นทางการปฏิรูปประเทศ
และจุดนี้เองเป็นความแตกต่างกับการรัฐประหารโดยทหารในอดีต เพราะครั้งนี้เป็นการรัฐประหารโดยประชาชน ทั้งที่ศักดิ์ของ “แถลงการณ์ประชาภิวัฒน์”ก็ไม่ได้แตกต่างกับ“ประกาศคณะปฏิวัติ” จะต่างกันแต่เพียงประชาชนมีแต่มือเปล่า ไม่ได้มีปืนไปจ่อหัว หรือหันกระบอกปืนใหญ่เข้าใส่รัฐบาลเหมือนทหาร คงยากที่รัฐบาลจะยอมรับฟัง โดยเฉพาะรัฐบาลที่หวงอำนาจยิ่งกว่าชีวิต
ถึงวันนี้ “กำนันสุเทพ”ก็ถือได้ว่าเป็น “หัวหน้าคณะปฏิวัติ”อย่างกลายๆไปแล้ว จากฉันทามติของคนไทยผู้รักชาติรักแผ่นดินมอบให้ นอกเหนือการกำจัดรัฐบาลออกไปให้พ้นทางแล้ว ยังต้องเดินหน้าปลดล็อกข้อจำกัดทางเทคนิคเล็กน้อย
เพราะต้องยอมรับว่า แนวทางที่ “กำนันสุเทพ”เสนอในการปฏิรูปประเทศ ตั้งรัฐบาลประชาชน-สภาประชาชนนั้น ยังติดขัดข้อกฎหมายตามรัฐธรรมนูญ 2550 บางประการ
ดังนั้น จึงต้องย้อนกลับไปทบทวนแนวทางในอดีตที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เพื่อเป็นโมเดลก้าวไปสู่อนาคต
ที่ใกล้เคียงที่สุด น่าจะเป็นเหตุการณ์รัฐประหาร เมื่อปี 2520 โดย “พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่”ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น เป็นผู้นำการรัฐประหาร ซึ่งเป็นการรัฐประหารตัวเอง เพราะก่อนหน้านั้น ในปี 2519 “พล.ร.อ.สงัด”ผู้นี้ก็เป็นผู้นำการรัฐประหาร เนื่องจากในเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ และแต่งตั้ง “ธานินทร์ กรัยวิเชียร”เป็นนายกรัฐมนตรีเอง ในขณะนั้นภารกิจที่“รัฐบาลธานินทร์”ต้องรีบดำเนินการก็คือ การปฏิรูปประเทศ ซึ่งคล้ายกับเหตุการณ์ในปัจจุบัน แต่ด้วยความล่าช้า ไม่ทันใจ จึงถูกยึดอำนาจคืน
ในครั้งนั้น คณะรัฐประหารได้ประกาศ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2519 ที่ใช้อยู่ และประกาศใช้ “ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักรปี 2520”ขึ้นแทน โดยให้มีการตั้ง “สภานโยบายแห่งชาติ”โดยมีอำนาจหน้าที่กำหนดแนวนโยบายแห่งรัฐ และให้ความคิดเห็นแก่คณะรัฐมนตรี เพื่อให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปตามแนวนโยบายแห่งรัฐ และมีอำนาจหน้าที่อื่นตามที่บัญญัติไว้ในธรรมนูญการปกครอง
และให้มี“สภานิติบัญญัติแห่งชาติ”ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ถือเป็น“โมเดล”ที่ภาคประชาชนสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ ตามที่ “สุเทพ”ได้อธิบายความต่อจากแถลงการณ์ว่า “ต้องเขียนกฏหมายเลือกตั้งใหม่ ตรวจสอบกลโกง ปฏิรูปพรรคการเมือง ให้เวลาสภาประชาชน เร็วที่สุด 8 - 12 เดือน ให้การเลือกตั้งสะท้อนความต้องการประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เป็นบันใดเพื่ออำนาจ รวมถึงเขียนรัฐธรรมนูญ ห้ามใช้นโยบายประชานิยม เป็นต้น”
อีกทางหนึ่งก็เดินตามประกาศเรื่องการตั้งรัฐบาลประชาชน โดยต้องเริ่มจากนายกรัฐมนตรี มาตรา 7 ซึ่งถือเป็นการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ โดยให้ประธานสภา เสนอชื่อไปยังพระมหากษัตริย์เพื่อทรงแต่งตั้ง “คนกลาง”มาเป็นนายกรัฐมนตรี และตั้งคณะรัฐมนตรีขึ้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อย จึงจัดให้มีการเลือกตั้งโดยเร็ว
ถือเป็นการนำบทเรียนในอดีตมาเพื่อยึดอำนาจจากทรราช ก่อนก้าวต่อไปในอนาคตร่วมกัน พลิกฟื้น“ประเทศไทย”ให้เดินไปสู่หนทางที่ดีกว่า ไม่จมปลักอยู่กับระบบทุนนิยมสามานย์
คำประกาศขอให้มวลชนยืนหยัดต่อสู้อีก 3 วัน ของ สุเทพ ย่อมต้องมี "ไม้เด็ด" ที่จะนำพาพลังมวลมหาประชาชนไปสู่เป้าหมายให้ได้ เพราะหากไม่สำเร็จ พลังมหาศาลเหล่านั้นก็เป็นเหมือนคบไฟที่ถูกโยนลงน้ำ นั่นก็เท่ากับปล่อยให้ “ระบบทุนนิยมชินวัตร”หยั่งรากติดลึกในสังคมไทย เมื่อปล่อยไว้ ก็ยิ่งยากจะขุดออก
**ต้องรีบขุดต้นผลไม้พิษ “ชินวัตร”ออกเสียวันนี้ เพื่อลูกหลานไทยได้อยู่กันอย่างร่มเย็นตลอดไป
กำลังโหลดความคิดเห็น