เป็นชัยชนะที่ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”จงใจเพลี่ยงพล้ำ สำหรับปฏิบัติการปักธงกลางทำเนียบรัฐบาล อันเป็นศูนย์กลางบริหารราชการแผ่นดิน และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งคุมกองกำลังตำรวจทั้งหมดในกทม. ของกลุ่มประชาชนเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ “กปปส.”ภายใต้การนำของ“กำนันเทือก”สุเทพ เทือกสุบรรณ
ตามสภาพความเป็นจริงยังไม่เรียกว่า ชัยชนะ หรือจะประชดประชันว่าเป็นชัยชนะแบบจอมปลอมเลยด้วยซ้ำ
เพราะการที่รัฐบาลยอมถอยร่นให้ กปปส. บุกเข้าไปเหยียบจมูกถึงถิ่นได้แบบสบายๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตั้งรับแบบดุเดือดเลือดพล่านมาสองสามวัน ชนิดไม่ยอมให้ใครย่างกายเข้าไปได้เลย มันถือว่าง่ายเกินไปในกระดานการเมือง ที่แฝงไปด้วยเล่ห์กลอุบาย กับดัก หลุมพราง สารพัด
**หากแต่การถอยกรูดเที่ยวนี้ภาพค่อนข้างชัดว่า เป็นการถอยทาง“ยุทธวิธี”หาใช่ “ยุทธศาสตร์”
ถ้ามองย้อนหลังไปในช่วงเหตุการณ์การปะทะกันดุเดือดที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ฝ่ายที่กำลังเสียเปรียบคือ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”เพราะต้องยอมรับว่า มีคนในสังคมจำนวนไม่น้อย เมื่อเห็นภาพประชาชนมือเปล่าต้องสะบักสะบอมกับพิษแก๊สน้ำตา รายแล้วรายเล่า มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเกิดขึ้น เพียงเพื่อพยายามจะเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น ย่อมรู้สึกสะเทือนใจ และตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจว่า ทำกับประชาชนรุนแรงเกินไปหรือไม่
แม้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”จะพยายามประโคมข่าวว่า การกระทำดังกล่าวเพื่อรักษาสถานที่ราชการ เพื่อให้งานบริหารราชการแผ่นดินเดินหน้าไปได้ แต่ในสายตาของสังคมแล้ว ภาพดังกล่าวที่ปรากฏ ถูกมองว่า เป็นการรักษาพื้นที่ตัวเอง และเสถียรภาพทางการเมืองเท่านั้น
**ไม่ได้มองว่าทำเพื่อส่วนรวมเลย
ขณะเดียวกัน ยังจะเห็นได้ว่า การที่รัฐบาลกระหน่ำแก๊สน้ำตา และกระสุนยางใส่ประชาชนนั้น ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากภาพรวมเลย โดยเฉพาะกับกองทัพที่รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง จนต้องออกแอ็กชั่น ส่งสัญญาณให้รัฐบาลหยุดยิง ตามคิวที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ต่อสายขอร้อง “บิ๊กอู๋”พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.
หรือจะเป็นท่าทีโดยรวมของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่สวมบทคนกลางทำหน้าที่ประสานให้ทั้งสองฝ่ายเกิดการเจรจา เพื่อไม่ให้สูญเสียไปมากกว่านี้
**นั่นยอมแสดงได้อย่างแจ่มชัดว่า ไม่มีใครเห็นด้วยกับการที่รัฐบาลการระดมยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม
และแน่นอนว่าหากการชุมนุมยืดเยื้อออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลที่ติดลบอยู่แล้ว อาจทำให้ความชอบธรรมที่มีอยู่น้อยนิดไม่เหลืออีกเลย จนสุดท้ายต้องหล่นจากอำนาจ
แต่ด้วยจังหวะพอเหมาะพอเจาะมีงานเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม รัฐบาลที่กำลังร่อแร่ จึงอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวถอยทัพ และแอบอ้างเรื่องนี้ต่อประชาชน เพราะรู้อยู่แล้วว่า สังคมย่อมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจวางปืนยิงแก๊สน้ำตาลง แล้วปล่อยให้ผู้ชุมนุมเดินฝ่าแนวแบริเออร์และรั้วลวดหนามไปอย่างง่ายดาย แถมบางฉากบางตอน ยังมีการโอบกอด และมอบดอกไม้ให้กัน มองดีๆ มันแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของผู้บังคับบัญชา ที่อยู่เหนือขึ้นไป
เพราะประชาชนและตำรวจตัวเล็กๆ ที่แสดงไมตรีจิตต่อกัน ทั้งที่ก่อนหน้าปะทะกันอย่างรุนแรง มันเป็นการแสดงออกในฐานะคนไทยด้วยกันอย่างจริงใจ ไม่ได้เสแสร้ง
แต่ความจริงมันเป็นฉากที่รัฐบาล และบรรดาขงเบ้งทั้งหลายหวังสร้างขึ้นมา เพื่อให้เห็นว่า ความขัดแย้งกำลังคลี่คลาย เหลือแค่ตัวปัญหาไม่กี่คน คือ พวกแกนนำผู้ชุมนุม
**จงใจหวังลดแต้มและความชอบธรรมของฝั่งตรงข้าม
ทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ประเมินแล้วว่า แม้หลังพ้นวันที่ 5 ธันวาคมไป กปปส. จะยังชุมนุมอยู่ และเร่งเผด็จศึกให้จบโดยเร็ว แต่ด้วยเหตุการณ์ปะทะกันที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่ไม่อยากเห็นอีกแล้ว และต้องการให้ทั้งสองฝ่ายเจรจามากกว่า ดังนั้นจึงเดาใจว่า มวลชนของฝ่ายต้านจะได้เวลาลดระดับลงแล้ว
โดยรวมกองกำลังของ“กำนันเทือก”น่าจะไม่แข็งแกร่ง และฮึกเหิมเหมือนเก่า
ส่วน“สภาประชาชน”ตาม มาตรา 7 ที่“กำนันเทือก”เสนอนั้น แน่นอน “นายใหญ่”ทักษิณ ชินวัตร “นายหญิง" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ย่อมโบกมือบ๊ายบาย ด้วยสไตล์หวงอำนาจ ดังจะเห็นการท่องคาถาเช้า กลางวัน เย็น ว่า ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทยบางส่วนคาดการณ์ว่า สังคมโดยรวมก็อาจจะไม่เห็นด้วย เพราะยังไม่มีความเข้าใจในข้อเสนอของ “กำนันเทือก” จึงหาทางแถ สร้างความชอบธรรมให้ตัวเองด้วยการเสนอให้มีคนกลางเป็นเจ้าภาพเพื่อหาทางออก โดยเป็นการระดมนักวิชาการมาแสดงความคิดเห็น
หวังจะลาก“กำนันเทือก”ให้มาร่วมโต๊ะเจรจา และอาศัยเอาคนอื่นๆ มาร่วมเป็นตราประทับสร้างความชอบธรรม แล้วจับมัดมือทำสัญญาประชาคมไม่ให้ดิ้นพล่านได้อีก โดยที่รัฐบาลมีหวยล็อกอยู่ในมือแล้วว่า ถึงอย่างไรก็ไม่เอา “สภาประชาชน”
ดังนั้น เมื่อลงสัญญาประชาคมแล้ว หาก“กำนันเทือก”ตีโพยตีพาย ย่อมจะกลายเป็นเด็กดื้อในสายตาสังคม เพราะผลการหารือที่ออกมา ได้ชื่อว่า เป็นเวทีกลาง และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
เวทีหาทางออกของรัฐบาลหนนี้ จึงเป็น“กลลวง”ที่หวังดับอุณหภูมิร้อนของสังคม และเป็นการล่อเหยื่อให้ติดกับเท่านั้น
ตอกย้ำกันได้ชัดว่า “เวทีปาหี่”เป็นเกมถนัดของ“รัฐบาลยิ่งลักษณ์”อย่างก่อนหน้าเวทีปฏิรูปหาทางออกประเทศไทย ที่ตีฆ้องร้องป่าวกันอึกทึกครึกโครม จนหัวหงอกหัวขาวโดนถอนกันไปหลายคน ด้วยหลงกลในมารยาของฝ่ายอำนาจ ว่า ตั้งใจช่วยคลี่คลายวิกฤติประเทศ จึงโดดเข้าร่วมวง
แต่ที่ไหนได้ จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้เริ่มประชุมเป็นกิจลักษณะ ยังค้างเติ่งจนแม้กระทั่งคนที่รับผิดชอบเองยังลืมด้วยซ้ำว่าคืบหน้าไปไหนถึงแล้ว
**ที่โดนข้อครหาว่า ตั้งขึ้นมาเพื่อกลบกระแสต้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ตอกลิ่มว่า ประชาชนสงสัยถูกต้องแล้วว่า เป็นปาหี่จริงๆ เปลือยกายกันล่อนจ้อนว่า “ดีแต่ลวง”
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาก็มีจำนวนไม่น้อยที่รัฐบาลพยายามตั้งคณะกรรมการต่างๆ ขึ้นมาคลี่คลายวิกฤติในเรื่องต่างๆ แต่ก็หายวับเข้ากลีบเมฆไปแทบทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องไหนเลยที่ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน
มางวดนี้คิดว่า ประชาชนจะโง่และหลงกลอีก เลยมาปล่อยมุกเดิม หวังให้ตกหลุมพราง
ดังนั้นวันนี้ประจาน“รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ได้อย่างชัดเจนว่า นอกจากไม่แก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง กลับยังเล่นการเมืองกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อประคองอำนาจตัวเอง
** แผนชั่วจาก “รับ”เพื่อ“รุก”จริงจริง
ตามสภาพความเป็นจริงยังไม่เรียกว่า ชัยชนะ หรือจะประชดประชันว่าเป็นชัยชนะแบบจอมปลอมเลยด้วยซ้ำ
เพราะการที่รัฐบาลยอมถอยร่นให้ กปปส. บุกเข้าไปเหยียบจมูกถึงถิ่นได้แบบสบายๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ตั้งรับแบบดุเดือดเลือดพล่านมาสองสามวัน ชนิดไม่ยอมให้ใครย่างกายเข้าไปได้เลย มันถือว่าง่ายเกินไปในกระดานการเมือง ที่แฝงไปด้วยเล่ห์กลอุบาย กับดัก หลุมพราง สารพัด
**หากแต่การถอยกรูดเที่ยวนี้ภาพค่อนข้างชัดว่า เป็นการถอยทาง“ยุทธวิธี”หาใช่ “ยุทธศาสตร์”
ถ้ามองย้อนหลังไปในช่วงเหตุการณ์การปะทะกันดุเดือดที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า ฝ่ายที่กำลังเสียเปรียบคือ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”เพราะต้องยอมรับว่า มีคนในสังคมจำนวนไม่น้อย เมื่อเห็นภาพประชาชนมือเปล่าต้องสะบักสะบอมกับพิษแก๊สน้ำตา รายแล้วรายเล่า มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเกิดขึ้น เพียงเพื่อพยายามจะเข้าไปในทำเนียบรัฐบาลเท่านั้น ย่อมรู้สึกสะเทือนใจ และตั้งคำถามกับผู้มีอำนาจว่า ทำกับประชาชนรุนแรงเกินไปหรือไม่
แม้ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์”จะพยายามประโคมข่าวว่า การกระทำดังกล่าวเพื่อรักษาสถานที่ราชการ เพื่อให้งานบริหารราชการแผ่นดินเดินหน้าไปได้ แต่ในสายตาของสังคมแล้ว ภาพดังกล่าวที่ปรากฏ ถูกมองว่า เป็นการรักษาพื้นที่ตัวเอง และเสถียรภาพทางการเมืองเท่านั้น
**ไม่ได้มองว่าทำเพื่อส่วนรวมเลย
ขณะเดียวกัน ยังจะเห็นได้ว่า การที่รัฐบาลกระหน่ำแก๊สน้ำตา และกระสุนยางใส่ประชาชนนั้น ไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากภาพรวมเลย โดยเฉพาะกับกองทัพที่รู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง จนต้องออกแอ็กชั่น ส่งสัญญาณให้รัฐบาลหยุดยิง ตามคิวที่ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ต่อสายขอร้อง “บิ๊กอู๋”พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.
หรือจะเป็นท่าทีโดยรวมของผู้บัญชาการเหล่าทัพ ที่สวมบทคนกลางทำหน้าที่ประสานให้ทั้งสองฝ่ายเกิดการเจรจา เพื่อไม่ให้สูญเสียไปมากกว่านี้
**นั่นยอมแสดงได้อย่างแจ่มชัดว่า ไม่มีใครเห็นด้วยกับการที่รัฐบาลการระดมยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม
และแน่นอนว่าหากการชุมนุมยืดเยื้อออกไป ย่อมไม่เป็นผลดีกับรัฐบาลที่ติดลบอยู่แล้ว อาจทำให้ความชอบธรรมที่มีอยู่น้อยนิดไม่เหลืออีกเลย จนสุดท้ายต้องหล่นจากอำนาจ
แต่ด้วยจังหวะพอเหมาะพอเจาะมีงานเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม รัฐบาลที่กำลังร่อแร่ จึงอาศัยช่วงเวลาดังกล่าวถอยทัพ และแอบอ้างเรื่องนี้ต่อประชาชน เพราะรู้อยู่แล้วว่า สังคมย่อมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ภาพเจ้าหน้าที่ตำรวจวางปืนยิงแก๊สน้ำตาลง แล้วปล่อยให้ผู้ชุมนุมเดินฝ่าแนวแบริเออร์และรั้วลวดหนามไปอย่างง่ายดาย แถมบางฉากบางตอน ยังมีการโอบกอด และมอบดอกไม้ให้กัน มองดีๆ มันแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมของผู้บังคับบัญชา ที่อยู่เหนือขึ้นไป
เพราะประชาชนและตำรวจตัวเล็กๆ ที่แสดงไมตรีจิตต่อกัน ทั้งที่ก่อนหน้าปะทะกันอย่างรุนแรง มันเป็นการแสดงออกในฐานะคนไทยด้วยกันอย่างจริงใจ ไม่ได้เสแสร้ง
แต่ความจริงมันเป็นฉากที่รัฐบาล และบรรดาขงเบ้งทั้งหลายหวังสร้างขึ้นมา เพื่อให้เห็นว่า ความขัดแย้งกำลังคลี่คลาย เหลือแค่ตัวปัญหาไม่กี่คน คือ พวกแกนนำผู้ชุมนุม
**จงใจหวังลดแต้มและความชอบธรรมของฝั่งตรงข้าม
ทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ประเมินแล้วว่า แม้หลังพ้นวันที่ 5 ธันวาคมไป กปปส. จะยังชุมนุมอยู่ และเร่งเผด็จศึกให้จบโดยเร็ว แต่ด้วยเหตุการณ์ปะทะกันที่ผ่านมา ประชาชนส่วนใหญ่ไม่อยากเห็นอีกแล้ว และต้องการให้ทั้งสองฝ่ายเจรจามากกว่า ดังนั้นจึงเดาใจว่า มวลชนของฝ่ายต้านจะได้เวลาลดระดับลงแล้ว
โดยรวมกองกำลังของ“กำนันเทือก”น่าจะไม่แข็งแกร่ง และฮึกเหิมเหมือนเก่า
ส่วน“สภาประชาชน”ตาม มาตรา 7 ที่“กำนันเทือก”เสนอนั้น แน่นอน “นายใหญ่”ทักษิณ ชินวัตร “นายหญิง" ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ย่อมโบกมือบ๊ายบาย ด้วยสไตล์หวงอำนาจ ดังจะเห็นการท่องคาถาเช้า กลางวัน เย็น ว่า ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และระบอบประชาธิปไตย
ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อไทยบางส่วนคาดการณ์ว่า สังคมโดยรวมก็อาจจะไม่เห็นด้วย เพราะยังไม่มีความเข้าใจในข้อเสนอของ “กำนันเทือก” จึงหาทางแถ สร้างความชอบธรรมให้ตัวเองด้วยการเสนอให้มีคนกลางเป็นเจ้าภาพเพื่อหาทางออก โดยเป็นการระดมนักวิชาการมาแสดงความคิดเห็น
หวังจะลาก“กำนันเทือก”ให้มาร่วมโต๊ะเจรจา และอาศัยเอาคนอื่นๆ มาร่วมเป็นตราประทับสร้างความชอบธรรม แล้วจับมัดมือทำสัญญาประชาคมไม่ให้ดิ้นพล่านได้อีก โดยที่รัฐบาลมีหวยล็อกอยู่ในมือแล้วว่า ถึงอย่างไรก็ไม่เอา “สภาประชาชน”
ดังนั้น เมื่อลงสัญญาประชาคมแล้ว หาก“กำนันเทือก”ตีโพยตีพาย ย่อมจะกลายเป็นเด็กดื้อในสายตาสังคม เพราะผลการหารือที่ออกมา ได้ชื่อว่า เป็นเวทีกลาง และเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
เวทีหาทางออกของรัฐบาลหนนี้ จึงเป็น“กลลวง”ที่หวังดับอุณหภูมิร้อนของสังคม และเป็นการล่อเหยื่อให้ติดกับเท่านั้น
ตอกย้ำกันได้ชัดว่า “เวทีปาหี่”เป็นเกมถนัดของ“รัฐบาลยิ่งลักษณ์”อย่างก่อนหน้าเวทีปฏิรูปหาทางออกประเทศไทย ที่ตีฆ้องร้องป่าวกันอึกทึกครึกโครม จนหัวหงอกหัวขาวโดนถอนกันไปหลายคน ด้วยหลงกลในมารยาของฝ่ายอำนาจ ว่า ตั้งใจช่วยคลี่คลายวิกฤติประเทศ จึงโดดเข้าร่วมวง
แต่ที่ไหนได้ จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้เริ่มประชุมเป็นกิจลักษณะ ยังค้างเติ่งจนแม้กระทั่งคนที่รับผิดชอบเองยังลืมด้วยซ้ำว่าคืบหน้าไปไหนถึงแล้ว
**ที่โดนข้อครหาว่า ตั้งขึ้นมาเพื่อกลบกระแสต้าน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ตอกลิ่มว่า ประชาชนสงสัยถูกต้องแล้วว่า เป็นปาหี่จริงๆ เปลือยกายกันล่อนจ้อนว่า “ดีแต่ลวง”
นอกจากนี้ จะเห็นได้ว่า ที่ผ่านมาก็มีจำนวนไม่น้อยที่รัฐบาลพยายามตั้งคณะกรรมการต่างๆ ขึ้นมาคลี่คลายวิกฤติในเรื่องต่างๆ แต่ก็หายวับเข้ากลีบเมฆไปแทบทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องไหนเลยที่ประสบความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน
มางวดนี้คิดว่า ประชาชนจะโง่และหลงกลอีก เลยมาปล่อยมุกเดิม หวังให้ตกหลุมพราง
ดังนั้นวันนี้ประจาน“รัฐบาลยิ่งลักษณ์”ได้อย่างชัดเจนว่า นอกจากไม่แก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง กลับยังเล่นการเมืองกับฝ่ายตรงข้ามเพื่อประคองอำนาจตัวเอง
** แผนชั่วจาก “รับ”เพื่อ“รุก”จริงจริง