มีคำกล่าวว่ารัฐสภาอังกฤษนั้นมีอำนาจล้นฟ้า จะออกกฎหมายให้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก และตกทางทิศตะวันออกก็ได้ (แต่พระอาทิตย์ก็ยังคงขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกต่อไป)
รัฐสภาไทยปัจจุบันก็มีอำนาจมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาฯ แต่ก็มีข้อสงสัยว่ารัฐสภาของไทยได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือไม่อย่างไร และกฎหมายบางฉบับที่ออกมานั้น มีความชอบธรรมเพียงใด
เพราะความชอบธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่กฎหมายได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติคือ ผ่านวาระหนึ่ง สอง สามเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการออกกฎหมายนั้นด้วย
ในกรณีที่รัฐบาลมีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาฯ ฝ่ายค้านก็ไม่อาจคัดคานอำนาจของรัฐบาลได้ ในกรณีนี้ประชาชนได้แสดงออกโดยตรงต่อต้านการกระทำของฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ต้องถือว่าการที่ประชาชนลุกฮือเช่นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองเช่นกัน ไม่ว่าเราจะเรียกว่า “การเมืองนอกสภาฯ” หรือ “การเมืองบนท้องถนน” แต่ก็เป็นการเข้ามีส่วนร่วมโดยตรงของประชาชน โดยเฉพาะเป็นการชุมนุมที่สงบ และปราศจากอาวุธ
การที่ประชาชนจะออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมากถึงขนาดนี้ แสดงว่าประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารทางการเมืองมากพอสมควร และความเห็นของประชาชนในยุคนี้ก็ได้จากสื่อออนไลน์ ทำให้การต่อต้านรัฐบาลเป็นไปอย่างกว้างขวาง
ในประเทศอื่น กลไกนอกเหนือไปจากกระบวนการฝ่ายนิติบัญญัติได้แก่ การเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสแสดงความเห็นโดยตรงผ่านทางการลงเสียงประชามติเหมือนที่เป็นอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ แต่สำหรับประเทศไทยเรานั้น การระดมมวลชนได้กลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองไปเสียแล้ว และการชุมนุมทางการเมืองก็เข้ากับจริตของคนไทยเราได้ดีเพราะมีหลายรส ทั้งได้ความรู้ มีความบันเทิง และมีของกินอร่อยๆ ตลอดจนมีการละเล่นการแสดงที่สนุกสนานคล้ายๆ งานวัด ผู้คนที่ไปก็ยิ้มแย้มเข้าหากัน มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน แบ่งอาหารกันกิน สำหรับบางคนบางกลุ่มก็เป็นรายได้เสริมด้วย นายทุนอาจให้เงินมาหัวละพัน แต่ตกถึงมือคนมาร่วมแค่ 300 บาท รวมข้าวห่อ 2 ห่อ ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ
ปัญหาทางการเมืองไทยเวลานี้ ดูเหมือนจะไม่มีทางออก นายกฯ เองก็ไม่ยอมยุบสภาฯ หรือลาออก มีคนบอกผมว่า นายกฯ เสพติดอำนาจเสียแล้ว แต่ผมว่าแกไม่รู้สึกรู้ส่างมากกว่า ดังนั้นใครจะประท้วงอย่างไรก็ช่าง
ฝ่ายต่อต้านบอกว่าจะจัดตั้งคณะกรรมการประชาชนให้มีสภาประชาชน แต่จะทำอย่างไรเพราะฝ่ายต่อต้านยังไม่สามารถยึดอำนาจรัฐได้ รังแต่การบุกยึดกระทรวง และสถานที่ราชการบางแห่งไม่ได้ช่วยอะไรมาก
ในที่สุดทางออกทางเดียวก็คือ การยุบสภาฯ และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งก็คาดได้ว่าฝ่ายค้านน่าจะได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นมาสัก 10-20% แต่รัฐบาลก็ยังมีเสียงข้างมากอยู่แม้จะไม่เด็ดขาดก็ตาม แต่กลับมาเป็นรัฐบาลครั้งหน้า รัฐบาลคงเข็ดขยาดไม่อาจใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ฟังเสียงประชาชน
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ประชาชนน่าจะเป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์ เพราะนับวันก็ยิ่งมีความรู้มากขึ้น มีความจัดเจน และมีความมั่นใจในพลังของตนมากกว่าแต่ก่อน
รัฐสภาไทยปัจจุบันก็มีอำนาจมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน เพราะรัฐบาลมีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาฯ แต่ก็มีข้อสงสัยว่ารัฐสภาของไทยได้ทำหน้าที่อย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมหรือไม่อย่างไร และกฎหมายบางฉบับที่ออกมานั้น มีความชอบธรรมเพียงใด
เพราะความชอบธรรมไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่กฎหมายได้ผ่านกระบวนการนิติบัญญัติคือ ผ่านวาระหนึ่ง สอง สามเท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของการออกกฎหมายนั้นด้วย
ในกรณีที่รัฐบาลมีเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาฯ ฝ่ายค้านก็ไม่อาจคัดคานอำนาจของรัฐบาลได้ ในกรณีนี้ประชาชนได้แสดงออกโดยตรงต่อต้านการกระทำของฝ่ายนิติบัญญัติ ก็ต้องถือว่าการที่ประชาชนลุกฮือเช่นนี้ เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองเช่นกัน ไม่ว่าเราจะเรียกว่า “การเมืองนอกสภาฯ” หรือ “การเมืองบนท้องถนน” แต่ก็เป็นการเข้ามีส่วนร่วมโดยตรงของประชาชน โดยเฉพาะเป็นการชุมนุมที่สงบ และปราศจากอาวุธ
การที่ประชาชนจะออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลมากถึงขนาดนี้ แสดงว่าประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารทางการเมืองมากพอสมควร และความเห็นของประชาชนในยุคนี้ก็ได้จากสื่อออนไลน์ ทำให้การต่อต้านรัฐบาลเป็นไปอย่างกว้างขวาง
ในประเทศอื่น กลไกนอกเหนือไปจากกระบวนการฝ่ายนิติบัญญัติได้แก่ การเปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีโอกาสแสดงความเห็นโดยตรงผ่านทางการลงเสียงประชามติเหมือนที่เป็นอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ แต่สำหรับประเทศไทยเรานั้น การระดมมวลชนได้กลายเป็นวัฒนธรรมทางการเมืองไปเสียแล้ว และการชุมนุมทางการเมืองก็เข้ากับจริตของคนไทยเราได้ดีเพราะมีหลายรส ทั้งได้ความรู้ มีความบันเทิง และมีของกินอร่อยๆ ตลอดจนมีการละเล่นการแสดงที่สนุกสนานคล้ายๆ งานวัด ผู้คนที่ไปก็ยิ้มแย้มเข้าหากัน มีความรู้สึกเป็นพวกเดียวกัน แบ่งอาหารกันกิน สำหรับบางคนบางกลุ่มก็เป็นรายได้เสริมด้วย นายทุนอาจให้เงินมาหัวละพัน แต่ตกถึงมือคนมาร่วมแค่ 300 บาท รวมข้าวห่อ 2 ห่อ ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ
ปัญหาทางการเมืองไทยเวลานี้ ดูเหมือนจะไม่มีทางออก นายกฯ เองก็ไม่ยอมยุบสภาฯ หรือลาออก มีคนบอกผมว่า นายกฯ เสพติดอำนาจเสียแล้ว แต่ผมว่าแกไม่รู้สึกรู้ส่างมากกว่า ดังนั้นใครจะประท้วงอย่างไรก็ช่าง
ฝ่ายต่อต้านบอกว่าจะจัดตั้งคณะกรรมการประชาชนให้มีสภาประชาชน แต่จะทำอย่างไรเพราะฝ่ายต่อต้านยังไม่สามารถยึดอำนาจรัฐได้ รังแต่การบุกยึดกระทรวง และสถานที่ราชการบางแห่งไม่ได้ช่วยอะไรมาก
ในที่สุดทางออกทางเดียวก็คือ การยุบสภาฯ และจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งก็คาดได้ว่าฝ่ายค้านน่าจะได้ที่นั่งเพิ่มขึ้นมาสัก 10-20% แต่รัฐบาลก็ยังมีเสียงข้างมากอยู่แม้จะไม่เด็ดขาดก็ตาม แต่กลับมาเป็นรัฐบาลครั้งหน้า รัฐบาลคงเข็ดขยาดไม่อาจใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ฟังเสียงประชาชน
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ประชาชนน่าจะเป็นฝ่ายที่ได้ประโยชน์ เพราะนับวันก็ยิ่งมีความรู้มากขึ้น มีความจัดเจน และมีความมั่นใจในพลังของตนมากกว่าแต่ก่อน