**ไม่น่าแปลกใจที่จะมีประชาชนจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลามไหลมายังบริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 11พ.ย.56 ชนิดที่เรียกว่าคลื่นแห่งมวลมหาประชาชนที่ทนไม่ไหวกับความฉ้อฉลในการใช้อำนาจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
ที่แอบลักหลับ ข่มขืนคนไทยทั้งชาติด้วยการซอยสุด ๆ ผ่านร่าง กฎหมายนิรโทษสุดซอย สามวาระรวดตอนตีสี่ครึ่ง จนกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คนไทยต้องออกมาแสดงพลังให้ขี้ข้าได้เห็นว่า คนไทยที่หัวใจไท รักความถูกต้องไม่มีวันยอมให้รัฐบาลโจร ปล่อยโจรปล้นชาติ
การชุมนุมที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประชาชนเต็มขั้นแกนนำกลุ่มต่อต้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งประกาศจะปิดเกมรัฐบาลภายในเดือนพฤศจิกายน ไม่ใช่เดือนพฤศจิกาคม ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ย่อมเป็นอีกหนึ่งตัวเร่งที่ทำให้รัฐบาลขี้ฉ้อร้อนรนจนนั่งไม่ติด
แต่ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากได้แสดงออกจนรัฐบาลเปลี่ยนจากการซอยสุดๆ มาเป็นถอยดีกว่า ด้วยการออก “ใบสั่ง” ให้ นิคม ไวยรัชพานิช ประธาน ส.ว.กลับลำ 360 องศา หันมาคว่ำร่างกฎหมายอัปยศ
เพื่อแช่แข็งกฎหมายปล่อยโจรไว้ 6 เดือน ลดกระแสการต่อต้านของประชาชน โดยหวังว่าจะทำให้ผู้ชุมนุมเหี่ยวแห้งไปเองนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
เพราะคนไทยจำนวนมากเล็งเห็นถึงความตระบัดสัตย์ของรัฐบาลด้วยตัวเองมาตลอดกว่าสองปีของการบริหารประเทศ ทำให้ไม่มีใครให้ความเชื่อถือรัฐบาลตอแหล
**ที่น่าสงสารประเทศไทย คือ ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ สับขาหลอก เอากฎหมายโจรเข้าช่องแข็ง เธอยังกล้าที่จะตบตาประชาชน ด้วยการเสนอญัตติขอให้รัฐสภาเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179
โดย อำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาลอ้างว่า เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาได้ร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศ ทั้งกรณี ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และกรณีการตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 13 พ.ย. 56
แต่เมื่อถึงเวลา กลายเป็นเรื่อง “ลับ ลวง พราง” คือ ปิดปากเรื่องนิรโทษกรรม อ้างจบไปแล้วจากการแช่แข็งรอวันคืนชีพ คงเหลือให้อภิปรายในเรื่องคดีปราสาทเขาพระวิหารที่ศาลโลกตัดสิน เพียงอย่างเดียว
นี่คือพฤติกรรมที่ยิ่งตอกย้ำถึงเล่ห์เพทุบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่อสัตย์จนประชาชนไม่สามารถหลงเหลือความไว้วางใจให้กับรัฐบาลที่พร้อมปล้นคนไทยตลอดเวลาได้อีก
เพราะการใช้ มาตรา 179 มาเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีการลงมตินั้น คือเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งระบุว่า จะต้องให้รัฐบาลนำเรื่องที่กระทบกับเขตแดน มาเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
เพราะคำตัดสินของศาลโลก ที่มีการตีความเพิ่มเติมจากคำตัดสินในปี 2505 โดยระบุให้ชะง่อนผา เป็นอธิปไตยเหนือดินแดนปราสาทพระวิหารนั้นย่อมส่งผลกระทบทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนบางส่วนไปจากการล้อมรั้วลวดหนาม ตามมติ ครม.ในปี 2505 ซึ่งมีการประเมินว่า อาจจะอยู่ที่ประมาณ 0.3 ตารางกิโลเมตร หรือไม่เกิน 1 พันไร่
กรณีนี้จึงมิใช่สปิริตของยิ่งลักษณ์ ที่อยากให้มีการแสวงหาทางออกตามกลไกของรัฐสภาหากแต่เป็นหลุมพรางที่รัฐจงใจขุดขึ้น เพื่อตบตาประชาชนและหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งแม้ว่าจะมีการแก้ไขจนผ่านวาระสามไปแล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ในระหว่างการทูลเกล้าฯ ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขั้นตอนที่จะพระราชทานคืน กลับมายังต้องใช้เวลาอีก 90 วัน
ดังนั้นวันนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 190 อย่างเคร่งครัด การดำเนินการใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญมาตรานี้ จึงถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง
หากรัฐบาลประกาศยอมรับคำตัดสินของศาลโลก โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา แต่ใช้วิธีการแบบศรีธนญชัย เอาเข้าตาม มาตรา 179 แทน คือให้อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ แล้วอ้างว่าผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้ว
**ย่อมเป็นอีกหนึ่งการกระทำที่สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่เพียงแต่ละเมิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเท่านั้น แต่รัฐบาลขี้ข้า ยังอ้างรัฐธรรมนูญที่ตัวเองไม่ยอมรับ มาสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองแทนที่จะรักษาผลประโยชน์ชาติด้วย
พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นครั้งแรก เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เคยใช้เล่ห์กลนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ในการขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่อง “การอนุญาตให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา เข้ามาดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Composition,Cloud,Climate Coupling Regional Study -SEAC4 RS) หรือที่รู้จักกันดีในนามโครงการ “นาซ่าสร้างเมฆ”ในประเทศไทย ตามมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ซึ่งกรณีดังกล่าว มีการทักท้วงจากหลายภาคส่วนว่า เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงที่จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เนื่องจากอุปกรณ์ที่นาซ่าจะนำมาใช้ โดยเฉพาะเครื่องบิน ER2 ซึ่งพัฒนาจากเครื่องบินจารกรรม u2 ในยุคสงครามเย็นอันเป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะให้เครื่องบินดังกล่าวบินอยู่เหนือน่านฟ้าของไทย ในขณะที่หลายประเทศก็มิได้อนุญาตให้นาซ่าบินได้อย่างอิสระเสรี เหมือนที่ไทยทำ
อีกทั้งสื่อจีน ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของรัฐก็แสดงความกังวลผ่านการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับกรณีนี้ด้วย ประกอบกับกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่สามารถให้ความมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ได้จากการทดลองของนาซ่าจะไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการทหาร
จนกระทั่งรัฐบาลตัดสินใจยกเลิกโครงการนี้ไปในที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีความพยายามจากสหรัฐอเมริกา ที่ติดต่อมายังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่จะใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานทัพของสหรัฐอเมริกา โดยอ้างว่าจะทำโครงการศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และบรรเทาภัยพิบัติโดยมีการเสนอโครงการมายังรัฐบาลไทยขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ในโครงการนี้ยาวนานถึง 5 ปี ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 แต่รัฐบาลไทยไม่เคยให้รายละเอียดใดๆ กับคนไทยเกี่ยวกับความคืบหน้าของโครงการนี้ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่รัฐบาลชุดนี้ปกปิดความจริงต่อประชาชนมาโดยตลอด
นี่คืออีกหนึ่งใบเสร็จจากพฤติกรรมฉ้อฉลของรัฐบาลซ้ำซาก ที่ทำให้คนไทยมิอาจให้ความไว้วางใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ให้อยู่ในอำนาจได้อีกต่อไป
**เพราะรัฐบาลมีแต่จ้องจะปล้นประชาชน ขโมยทรัพยากรของชาติไปเป็นของตัวเอง จึงถึงเวลาที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องออกไป
ที่แอบลักหลับ ข่มขืนคนไทยทั้งชาติด้วยการซอยสุด ๆ ผ่านร่าง กฎหมายนิรโทษสุดซอย สามวาระรวดตอนตีสี่ครึ่ง จนกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คนไทยต้องออกมาแสดงพลังให้ขี้ข้าได้เห็นว่า คนไทยที่หัวใจไท รักความถูกต้องไม่มีวันยอมให้รัฐบาลโจร ปล่อยโจรปล้นชาติ
การชุมนุมที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประชาชนเต็มขั้นแกนนำกลุ่มต่อต้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ซึ่งประกาศจะปิดเกมรัฐบาลภายในเดือนพฤศจิกายน ไม่ใช่เดือนพฤศจิกาคม ของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ย่อมเป็นอีกหนึ่งตัวเร่งที่ทำให้รัฐบาลขี้ฉ้อร้อนรนจนนั่งไม่ติด
แต่ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากได้แสดงออกจนรัฐบาลเปลี่ยนจากการซอยสุดๆ มาเป็นถอยดีกว่า ด้วยการออก “ใบสั่ง” ให้ นิคม ไวยรัชพานิช ประธาน ส.ว.กลับลำ 360 องศา หันมาคว่ำร่างกฎหมายอัปยศ
เพื่อแช่แข็งกฎหมายปล่อยโจรไว้ 6 เดือน ลดกระแสการต่อต้านของประชาชน โดยหวังว่าจะทำให้ผู้ชุมนุมเหี่ยวแห้งไปเองนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้ผล
เพราะคนไทยจำนวนมากเล็งเห็นถึงความตระบัดสัตย์ของรัฐบาลด้วยตัวเองมาตลอดกว่าสองปีของการบริหารประเทศ ทำให้ไม่มีใครให้ความเชื่อถือรัฐบาลตอแหล
**ที่น่าสงสารประเทศไทย คือ ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ สับขาหลอก เอากฎหมายโจรเข้าช่องแข็ง เธอยังกล้าที่จะตบตาประชาชน ด้วยการเสนอญัตติขอให้รัฐสภาเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179
โดย อำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาลอ้างว่า เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาได้ร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศ ทั้งกรณี ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และกรณีการตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 13 พ.ย. 56
แต่เมื่อถึงเวลา กลายเป็นเรื่อง “ลับ ลวง พราง” คือ ปิดปากเรื่องนิรโทษกรรม อ้างจบไปแล้วจากการแช่แข็งรอวันคืนชีพ คงเหลือให้อภิปรายในเรื่องคดีปราสาทเขาพระวิหารที่ศาลโลกตัดสิน เพียงอย่างเดียว
นี่คือพฤติกรรมที่ยิ่งตอกย้ำถึงเล่ห์เพทุบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่อสัตย์จนประชาชนไม่สามารถหลงเหลือความไว้วางใจให้กับรัฐบาลที่พร้อมปล้นคนไทยตลอดเวลาได้อีก
เพราะการใช้ มาตรา 179 มาเปิดอภิปรายทั่วไป โดยไม่มีการลงมตินั้น คือเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งระบุว่า จะต้องให้รัฐบาลนำเรื่องที่กระทบกับเขตแดน มาเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา
เพราะคำตัดสินของศาลโลก ที่มีการตีความเพิ่มเติมจากคำตัดสินในปี 2505 โดยระบุให้ชะง่อนผา เป็นอธิปไตยเหนือดินแดนปราสาทพระวิหารนั้นย่อมส่งผลกระทบทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนบางส่วนไปจากการล้อมรั้วลวดหนาม ตามมติ ครม.ในปี 2505 ซึ่งมีการประเมินว่า อาจจะอยู่ที่ประมาณ 0.3 ตารางกิโลเมตร หรือไม่เกิน 1 พันไร่
กรณีนี้จึงมิใช่สปิริตของยิ่งลักษณ์ ที่อยากให้มีการแสวงหาทางออกตามกลไกของรัฐสภาหากแต่เป็นหลุมพรางที่รัฐจงใจขุดขึ้น เพื่อตบตาประชาชนและหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 ซึ่งแม้ว่าจะมีการแก้ไขจนผ่านวาระสามไปแล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้ เนื่องจากอยู่ในระหว่างการทูลเกล้าฯ ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขั้นตอนที่จะพระราชทานคืน กลับมายังต้องใช้เวลาอีก 90 วัน
ดังนั้นวันนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ปี 2550 มาตรา 190 อย่างเคร่งครัด การดำเนินการใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญมาตรานี้ จึงถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง
หากรัฐบาลประกาศยอมรับคำตัดสินของศาลโลก โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา แต่ใช้วิธีการแบบศรีธนญชัย เอาเข้าตาม มาตรา 179 แทน คือให้อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ แล้วอ้างว่าผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้ว
**ย่อมเป็นอีกหนึ่งการกระทำที่สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ไม่เพียงแต่ละเมิดรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเท่านั้น แต่รัฐบาลขี้ข้า ยังอ้างรัฐธรรมนูญที่ตัวเองไม่ยอมรับ มาสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองแทนที่จะรักษาผลประโยชน์ชาติด้วย
พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นครั้งแรก เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เคยใช้เล่ห์กลนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ในการขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่อง “การอนุญาตให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกา เข้ามาดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Composition,Cloud,Climate Coupling Regional Study -SEAC4 RS) หรือที่รู้จักกันดีในนามโครงการ “นาซ่าสร้างเมฆ”ในประเทศไทย ตามมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ซึ่งกรณีดังกล่าว มีการทักท้วงจากหลายภาคส่วนว่า เกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงที่จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เนื่องจากอุปกรณ์ที่นาซ่าจะนำมาใช้ โดยเฉพาะเครื่องบิน ER2 ซึ่งพัฒนาจากเครื่องบินจารกรรม u2 ในยุคสงครามเย็นอันเป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะให้เครื่องบินดังกล่าวบินอยู่เหนือน่านฟ้าของไทย ในขณะที่หลายประเทศก็มิได้อนุญาตให้นาซ่าบินได้อย่างอิสระเสรี เหมือนที่ไทยทำ
อีกทั้งสื่อจีน ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของรัฐก็แสดงความกังวลผ่านการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับกรณีนี้ด้วย ประกอบกับกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่สามารถให้ความมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ได้จากการทดลองของนาซ่าจะไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการทหาร
จนกระทั่งรัฐบาลตัดสินใจยกเลิกโครงการนี้ไปในที่สุด
นอกจากนี้ ยังมีความพยายามจากสหรัฐอเมริกา ที่ติดต่อมายังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่จะใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานทัพของสหรัฐอเมริกา โดยอ้างว่าจะทำโครงการศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และบรรเทาภัยพิบัติโดยมีการเสนอโครงการมายังรัฐบาลไทยขอใช้สนามบินอู่ตะเภา ในโครงการนี้ยาวนานถึง 5 ปี ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 แต่รัฐบาลไทยไม่เคยให้รายละเอียดใดๆ กับคนไทยเกี่ยวกับความคืบหน้าของโครงการนี้ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่รัฐบาลชุดนี้ปกปิดความจริงต่อประชาชนมาโดยตลอด
นี่คืออีกหนึ่งใบเสร็จจากพฤติกรรมฉ้อฉลของรัฐบาลซ้ำซาก ที่ทำให้คนไทยมิอาจให้ความไว้วางใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ให้อยู่ในอำนาจได้อีกต่อไป
**เพราะรัฐบาลมีแต่จ้องจะปล้นประชาชน ขโมยทรัพยากรของชาติไปเป็นของตัวเอง จึงถึงเวลาที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องออกไป