“อภิสิทธิ์” ระบุประเมินคร่าวๆ ไทยอาจเสียดินแดนจากเดิมประมาณ 0.3 ตารางกิโลเมตร แนะรัฐบาลบอกความจริงประชาชน ระวังการแสดงท่าที และเจรจากับเขมรให้โปร่งใส ชี้การเจรจาตกลงพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารไม่ง่าย ปูดบริษัทน้ำมันรวมทั้ง “เชฟรอน” ได้รับสัมปทานพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนไทย-เขมรไปแล้ว แต่ยังติดเงื่อนไขต้องให้ทั้งสองประเทศตกลงเขตแดนกันก่อน ขณะเดียวกัน จี้ “วรพงษ์” ตามจับชายชุดดำจากเวียดนาม เขมร ตามที่ตำรวจอ้างเข้าไทยจ้องป่วนม็อบ คัดคออย่าพูดแค่สกัดมวลชนไม่ให้มาร่วมไล่รัฐบาล
วันนี้(12 พ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงคำพิพากษาศาลโลกในคดีปราสาทพระวิหารว่า คำพูดที่บอกว่า ไทยไม่เสียพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรนั้นมาจากคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505 ส่วนพื้นที่ชะง่อนผาที่ศาลบอกว่าเป็นพื้นที่เล็กๆ จะเป็นพื้นที่เกินเลยออกมาจากรั้วลวดหนามเดิมของเรา เมื่อคำนวนคร่าวๆ โดยยังไม่มีการยืนยันตัวเลขที่ชัดเจนจะอยู่ที่ประมาณ 0.3 ตารางกิโลเมตร ซึ่งจุดนี้คือที่มาของฝ่ายที่บอกว่าเสียดินแดน
ทั้งนี้ สิ่งแรกที่รัฐบาลจำเป็นต้องทำ คือ 1. บอกความจริงกับประชาชนเกี่ยวกับคำพิพากษาให้ครบถ้วน 2. ระมัดระวังในการจะแสดงท่าทีต่อคำพิพากษานี้ เพราะจะกระทบต่อกระบวนการเจรจาในอนาคต 3. กระบวนการเจรจาควรทำอย่างโปร่งใส ซึ่งเราเป็นห่วงเพราะรัฐบาลแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 190 จะทำให้ข้อตกลงอื่นๆ ที่รัฐบาลอาจจะดึงเข้ามาผูกโยงกับเรื่องนี้ เช่น ข้อตกลงเกี่ยวกับเรื่องพลังงาน
“ผมคิดว่าการดำเนินการตามที่ศาลชี้ออกมาไม่ค่อยง่าย เพราะยังไม่ได้ทำเส้นเขตแดน การที่จะอาศัยสภาพทางภูมิศาสตร์ ไม่แน่ใจว่าสภาพพื้นที่จริงจะเกิดปัญหาแค่ไหน และการที่ยังพูดถึงเส้น บอกว่าไม่เกินแผนที่ ซึ่งแผนที่เราก็ยืนยันในการต่อสู้ของเรา แล้วก็ในทางวิทยาศาสตร์ ก็ค่อนข้างชัดว่า เป็นแผนที่ซึ่งไม่สามารถที่จะนำมาตีเส้นจริงได้ นี่ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่เราคัดค้านมาโดยตลอด ก็น่าจะยังเป็นปัญหาที่จะต้องมีการเจรจากันต่อไป”
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า กระบวนการเจรจาแบบเดิมเราจะใช้รูปแบบคณะกรรมการเจบีซี แต่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ได้ตั้งกลไกใหม่มาใช้รูปแบบของเจซี ซึ่งต้องศึกษาว่ามีความแตกต่างจากรูปแบบเจบีซีอย่างไร
ส่วนที่มีกระแสการไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกนั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ไทยเป็นส่วนหนึ่งของสหประชาชาติ แต่หลายประเทศที่เป็นสมาชิกที่มีบทบาทสำคัญของสหประชาติทั้งรัสเซีย อเมริกา ก็ไม่ปฏิบัติตามมามากแล้ว ทั้งนี้สิ่งที่สำคัญก็คือรัฐบาลต้องระมัดระวังอย่างยิ่งในการแสดงท่าที เพื่อไม่ให้กระทบต่อการเจรจาในการรักษาผลประโยชน์ของประเทศต่อไป
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกระแสข่าวที่บริษัทน้ำมันเชฟรอนจะเป็นบริษัทน้ำมันที่จะได้รับสัมปทานในพื้นที่ไทย-กัมพูชา ว่าส่วนตัวเข้าใจว่ามีอยู่แล้วคือต้องเข้าใจว่าการขอสัมปทานนั้นมีการขอกันอยู่แล้ว แล้วก็มีการอนุมัติไปแล้วด้วย แต่ส่วนใหญ่จะมีเงื่อนไขว่าถ้าเรื่องเขตต่างๆ ยังไม่ยุติหรือชัดเจนก็ยังไม่สามารถที่จะดำเนินการขุดเจาะได้ แต่ตนไม่แน่ใจว่ารวมบริษัท เชฟรอน หรือไม่ แม้ติดว่าน่าจะรวมอยู่ด้วย จึงไม่กล้ายืนยัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า วันนี้มีสื่อสิ่งพิมพ์ได้โหมลงโฆษณาของบริษัท เชฟรอน บอกว่าอนาคตของเมืองไทยอยู่ในมือคนไทย We Agree เป็นโฆษณาสนับสนุนรัฐบาล หรือบอกมวลชนอะไรอย่างไร นายอภิสิทธิ์ตอบสั้นๆ ว่า “ต้องถามเชฟรอนครับ”
นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงการที่ พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ยืนยันมีกลุ่มผู้ไม่หวังดีนำชายชุดดำเตรียมอาวุธ และนำชาวต่างชาติทั้งเวียดนาม กัมพูชา มาสร้างสถานการณ์ความรุนแรงแล้วโยนความผิดให้เจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จะต้องไม่ให้เกิดขึ้น และถ้าสามารถระบุได้ขนาดนี้ น่าจะต้องเข้าไปเร่งจับกุมด้วย เพราะแสดงให้เห็นว่า มีคนที่เจตนาที่จะมาทำให้เกิดความวุ่นวาย ทำร้ายบ้านเมือง ตำรวจต้องไปเดินหน้าจับให้เห็น ซึ่งจะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น ไม่เช่นนั้นอาจถูกมองว่าการให้ข่าวเช่นนี้เป็นการขู่ผู้ชุมนุมให้กลัว ไม่กล้ามาชุมนุม
ส่วนความคืบหน้าในการเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ขณะนี้ได้ร่างญัตติและได้ตรวจสอบร่วมกับนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้านแล้ว ยืนยันได้ว่าพรรคพร้อมที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจ และจะมีการหารือในที่ประชุม ส.ส.ของพรรคด้วย