xs
xsm
sm
md
lg

เปิดสภาผ่านคดีเขาพระวิหาร “ตบตา” คนไทยเลี่ยง “ม.190”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สะเก็ดไฟ

ไม่น่าแปลกใจที่จะมีประชาชนจำนวนมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยหลามไหลมายังบริเวณอนุเสาวรีย์ประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 11 พ.ย. 56 ชนิดที่เรียกว่าคลื่นแห่งมวลมหาประชาชนที่ทนไม่ไหวกับความฉ้อฉลในการใช้อำนาจของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

ที่แอบลักหลับข่มขืนคนไทยทั้งชาติด้วยการซอยสุดๆ ผ่านร่างกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอย 3 วาระรวดตอนตี 4 ครึ่ง จนกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้คนไทยต้องออกมาแสดงพลังให้ขี้ข้าได้เห็นว่าคนไทยที่หัวใจไทรักความถูกต้องไม่มีวันยอมให้รัฐบาลโจรปล่อยโจรปล้นชาติ

การชุมนุมที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ ประชาชนเต็มขั้นแกนนำกลุ่มต่อต้านการออกกฎหมายนิรโทษกรรมซึ่งประกาศจะปิดเกมรัฐบาลภายในเดือนพฤศจิกายน ไม่ใช่เดือนพฤศจิกาคมของยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ย่อมเป็นอีกหนึ่งตัวเร่งที่ทำให้รัฐบาลขี้ฉ้อร้อนรนจนนั่งไม่ติด

แต่ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากได้แสดงออกจนรัฐบาลเปลี่ยนจากการซอยสุดๆ มาเป็นถอยดีกว่าด้วยการออก “ใบสั่ง” ให้นิคม ไวยรัชพานิช ประธาน ส.ว.กลับลำ 360 องศาหันมาคว่ำร่างกฎหมายอัปยศ

เพื่อแช่แข็งกฎหมายปล่อยโจรไว้ 6 เดือนลดกระแสการต่อต้านของประชาชนโดยหวังว่าจะทำให้ผู้ชุมนุมเหี่ยวแห้งไปเองนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ผล

เพราะคนไทยจำนวนมากเล็งเห็นถึงความตระบัดสัตย์ของรัฐบาลด้วยตัวเองมาตลอดกว่าสองปีของการบริหารประเทศทำให้ไม่มีใครให้ความเชื่อถือรัฐบาลตอแหล

ที่น่าสงสารประเทศไทยคือ ในขณะที่ ยิ่งลักษณ์ สับขาหลอกเอากฎหมายโจรเข้าช่องแข็ง เธอยังกล้าที่จะตบตาประชาชนด้วยการเสนอญัตติขอให้รัฐสภาเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 179

โดย อำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาลอ้างว่าเพื่อให้สมาชิกรัฐสภาได้ร่วมกันหาทางออกให้กับประเทศทั้งกรณีร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม และกรณีการตัดสินคดีปราสาทพระวิหาร ในวันที่ 13 พ.ย. 56

แต่เมื่อถึงเวลากลายเป็นเรื่อง “ลับ ลวง พราง” คือปิดปากเรื่องนิรโทษกรรมอ้างจบไปแล้วจากการแช่แข็งรอวันคืนชีพ คงเหลือให้อภิปรายในเรื่องคดีปราสาทเขาพระวิหารที่ศาลโลกตัดสินเพียงอย่างเดียว

นี่คือพฤติกรรมที่ยิ่งตอกย้ำถึงเล่ห์เพทุบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่อสัตย์จนประชาชนไม่สามารถหลงเหลือความไว้วางใจให้กับรัฐบาลที่พร้อมปล้นคนไทยตลอดเวลาได้อีก

เพราะการใช้มาตรา 179 มาเปิดอภิปรายทั่วไปโดยไม่มีการลงมตินั้น คือเจตนาที่จะหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งระบุว่าจะต้องให้รัฐบาลนำเรื่องทีกระทบกับเขตแดนมาเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา

เพราะคำตัดสินของศาลโลกที่มีการตีความเพิ่มเติมจากคำตัดสินในปี 2505 โดยระบุให้ชะง่อนผาเป็นอธิปไตยเหนือดินแดนปราสาทพระวิหารนั้นย่อมส่งผลกระทบทำให้ประเทศไทยต้องเสียดินแดนบางส่วนไปจากการล้อมรั้วลวดหนามตามมติ ครม.ในปี 2505 ซึ่งมีการประเมินว่าอาจจะอยู่ที่ประมาณ 0.3 ตารางกิโลเมตร หรือไม่เกิน 1 พันไร่

กรณีนี้จึงมิใช่สปิริตของยิ่งลักษณ์ที่อยากให้มีการแสวงหาทางออกตามกลไกของรัฐสภาหากแต่เป็นหลุมพรางที่รัฐจงใจขุดขึ้นเพื่อตบตาประชาชนและหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งแม้ว่าจะมีการแก้ไขจนผ่านวาระสามไปแล้ว แต่ยังไม่มีผลบังคับใช้เนื่องจากอยู่ในระหว่างการทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขั้นตอนที่จะพระราชทานคืนกลับมายังต้องใช้เวลาอีก 90 วัน

ดังนั้น วันนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ยังต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 190 อย่างเคร่งครัด การดำเนินการใดๆ เพื่อหลีกเลี่ยงรัฐธรรมนูญมาตรานี้จึงถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญอย่างชัดแจ้ง

หากรัฐบาลประกาศยอมรับคำตัดสินของศาลโลกโดยไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา แต่ใช้วิธีการแบบศรีธนญชัยเอาเข้าตามมาตรา 179 แทน คือให้อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติ แล้วอ้างว่าผ่านการพิจารณาของรัฐสภาแล้ว

ย่อมเป็นอีกหนึ่งการกระทำที่สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่เพียงแต่ละเมิดรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศเท่านั้น แต่รัฐบาลขี้ข้ายังอ้างรัฐธรรมนูญที่ตัวเองไม่ยอมรับมาสร้างประโยชน์ให้แก่ตัวเองแทนที่จะรักษาผลประโยชน์ชาติด้วย

พฤติกรรมเช่นนี้ไม่ได้เพิ่งจะเกิดขึ้นครั้งแรก เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์เคยใช้เล่ห์กลนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในการขอเปิดอภิปรายทั่วไปในที่ประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่อง “การอนุญาตให้องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกาเข้ามาดำเนินโครงการศึกษาการก่อตัวของเมฆที่มีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Composition, Cloud, Climate Coupling Regional Study -SEAC4 RS) หรือที่รู้จักกันดีในนามโครงการ “นาซาสร้างเมฆ” ในประเทศไทย ตามมาตรา 179 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

ซึ่งกรณีดังกล่าวมีการทักท้วงจากหลายภาคส่วนว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคงที่จะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เนื่องจากอุปกรณ์ที่นาซ่าจะนำมาใช้ โดยเฉพาะเครื่องบิน ER2 ซึ่งพัฒนาจากเครื่องบินจารกรรม u2 ในยุคสงครามเย็นอันเป็นการสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะให้เครื่องบินดังกล่าวบินอยู่เหนือน่านฟ้าของไทยในขณะที่หลายประเทศก็มิได้อนุญาตให้นาซาบินได้อย่างอิสระเสรีเหมือนที่ไทยทำ

อีกทั้งสื่อจีนซึ่งเป็นกระบอกเสียงของรัฐก็แสดงความกังวลผ่านการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับกรณีนี้ด้วยประกอบกับกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่สามารถให้ความมั่นใจได้ว่าข้อมูลที่ได้จากการทดลองของนาซ่าจะไม่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ทางการทหาร

จนกระทั่งรัฐบาลตัดสินใจยกเลิกโครงการนี้ไปในที่สุด

นอกจากนี้ยังมีความพยายามจากสหรัฐอเมริกาที่ติดต่อมายังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่จะใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานทัพของสหรัฐอเมริกาโดยอ้างว่าจะทำโครงการศูนย์ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและบรรเทาภัยพิบัติโดยมีการเสนอโครงการมายังรัฐบาลไทยขอใช้สนามบินอู่ตะเภาในโครงการนี้ยาวนานถึง 5 ปีตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2555 แต่รัฐบาลไทยไม่เคยให้รายละเอียดใดๆ กับคนไทยเกี่ยวกับความคืบหน้าของโครงการนี้ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่รัฐบาลชุดนี้ปกปิดความจริงต่อประชาชนมาโดยตลอด

นี่คืออีกหนึ่งใบเสร็จจากพฤติกรรมฉ้อฉลของรัฐบาลซ้ำซากที่ทำให้คนไทยมิอาจให้ความไว้วางใจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ให้อยู่ในอำนาจได้อีกต่อไป

เพราะรัฐบาลมีแต่จ้องจะปล้นประชาชน ขโมยทรัพยากรของชาติไปเป็นของตัวเอง จึงถึงเวลาที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องออกไป
กำลังโหลดความคิดเห็น