ตลอดระยะเวลา 2 ปีเศษที่ผ่านมา สังคมไทยได้ให้ทั้งโอกาส และเกียรติแก่หญิงไทยคนหนึ่งนาม ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก่อนหน้านี้ผู้ที่ลงคะแนนให้เธอไม่เคยได้ยินชื่อเธอแม้แต่น้อย เธอมีประสบการณ์เพียงแค่การลงสนามหาเสียงเลือกตั้ง 49 วัน และได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยปราศจากอุปสรรคกีดขวางใดๆ กระทั่งต่อมายังควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อย่างสะดวกโยธิน
ช่วงที่ (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในหมู่คนเสื้อแดงจนสามารถคุมอำนาจนิติบัญญัติได้ ไม่ว่าทักษิณจะส่งใครเป็นนายกรัฐมนตรี สภาทาสรับสนองความต้องการของทักษิณอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จึงไม่แปลกประหลาดแต่อย่างใดที่นายกรัฐมนตรีหญิงไทยคนแรกนี้ได้สร้างความผิดหวังอย่างแรงแก่บรรดาพวกแฟมินิสต์ ทั้งนี้เพราะยิ่งลักษณ์มิใช่ผู้ได้ตำแหน่งมาด้วยความสามารถและประสบการณ์ทางการเมืองของตนเองดังเช่นผู้นำหญิงของประเทศอื่นๆ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเพียง “ของเล่น” ที่พี่ชายหยิบยื่นให้น้องสาวนอกไส้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือการยินยอมเป็น “ร่างทรง” ของ “ผู้ประทับทรง” ที่หยิบยื่นตำแหน่งนี้ให้เธอ น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า เธอเป็นผู้อ่อนด้อยทางสติปัญญาเกินกว่าที่จะตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ได้มา เปรียบดังเช่นเธอเป็น “ไก่” ที่ “ได้พลอย” ในนิทานอีสป
ดังนั้น สิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยึดถือปฏิบัติตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ “พี่ชายคิด น้องสาวว่าตาม” การบริหารงานในนามนายกรัฐมนตรีนั้น แท้จริงแล้วทักษิณเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ตั้งแต่การวางตัวบุคคลในตำแหน่งต่างๆ ในรัฐสภา ในคณะรัฐมนตรี และในหน่วยงานหลักต่างๆ อีกทั้งเป็นผู้สั่งการเกี่ยวกับการนำตนเองกลับสู่ประเทศโดยปราศจากชนักติดหลังตามที่ฝันไว้ ส่วนยิ่งลักษณ์ในฐานะร่างทรงของ (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นเจ้าลัทธิแห่งการหลอกลวง ทักษิณได้วางแนวปฏิบัติ 3 ประการให้ยิ่งลักษณ์ยึดถือปฏิบัติ มีดังนี้
1. โกหกหน้าตายหล่อเลี้ยงประชาชนให้หลงเชื่อไปเรื่อยๆ ว่า พรรคเพื่อไทยจะมีมาตรการ “ประชาสินบน” ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาล และจะต้องยืนกรานดำเนินนโยบายประชาสินบนต่อไปเพื่อรักษาคะแนนนิยมเอาไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยไม่ต้องสนใจกับความเสียหายทางงบประมาณแผ่นดินและความฉิบหายอื่นๆ ตัวอย่างเช่นโกหกว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นการแก้ปัญหาความยากจนของชาวนา แต่เธอไม่เคยแยแสที่จะออกกฎหมายแก้ปัญหาความยากจนแบบยั่งยืนแม้แต่ฉบับเดียว
2. โกหกประชาชนให้หลงเชื่อซ้ำซากว่า การใช้อำนาจทางรัฐสภาเพื่อบรรลุความต้องการของ (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นเรื่องของ ส.ส.ของรัฐสภา ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เธอในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่รู้เรื่องด้วย แต่ไม่พูดความจริงว่า เธอในฐานะ “ร่างทรง” ต้องรู้อย่างแน่นอน ทั้งนี้เพื่อให้ตนเอง “ลอยตัว” จากความรับผิดชอบทั้งมวล แต่เธอลืมคิดไปว่าถึงแม้จะโกหกคนเขลาได้ แต่ไม่มีใครโกหกตุลาการศาลได้ เพราะความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้น
3. สมุนและ ส.ส.พรรคเพื่อไทยท่องใส่หูคนเสื้อแดงเสมอว่าพรรคเพื่อไทยเป็นประชาธิปไตยเพราะมาจากการเลือกตั้ง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาพฤติกรรมของพรรคเพื่อไทยสวนทางกับความเป็นประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง นั่นคือการใช้กำลังตำรวจกีดกันการชุมนุมคัดค้านของประชาชนผู้ชุมนุมโดยสันติและปราศจากอาวุธ นอกจากนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สนใจที่จะทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีตามระบอบประชาธิปไตย นั่นคือการตอบกระทู้และการชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้เพราะ “ผู้ประทับทรง” รู้ดีถึงความด้อยสติปัญญาของ “ร่างทรง” ผู้นี้ ไม่ต้องการประจานความด้อยสติปัญญาของเธอกลางที่ประชุมสภาฯ จึงให้เธอหาทางหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมประชุมสภาฯ ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ อ้างการปฏิบัติภารกิจในต่างจังหวัดบ้าง หรืออ้างการเดินทางไปต่างประเทศบ้าง ซึ่งไปบ่อยผิดปกติ ส่วนมากหาสาระไม่ได้ แต่ผลาญงบประมาณแผ่นดินไปมากมาย
ปรากฏการณ์การบริหารประเทศโดยมีผู้ประทับทรง หรือผู้บริหารตัวจริงอยู่ในต่างประเทศ กับร่างทรงหรือผู้ทำการแทนอยู่ในประเทศ นับเป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่กรณีแรกและกรณีเดียวของโลกที่อุบัติขึ้น การบริหารประเทศแบบนี้เป็นแบบที่ทักษิณมีความเชี่ยวชาญ คือ การบริหารทางไกลด้วยสื่อโทรคมนาคม ผนวกกับการสั่งการตัวต่อตัวด้วยตัวทักษิณเองเป็นครั้งคราวที่ดูไบ ฮ่องกง พนมเปน และมอนเตเนโกร
สำหรับการรู้เห็นเป็นใจกับสภาผู้แทนราษฎรในการผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระ 2 และ 3 ด้วยวิธีการแบบสภาทรราช เมื่อเวลา 4.00 น. วันที่ 1 พ.ย. 2556 นั้น แสดงถึงการเหลิงอำนาจอย่างหนักของพรรคเพื่อไทยกับ 4 พรรคร่วมรัฐบาล ถึงขั้นก้าวก่ายและลบล้างอำนาจตุลาการ ซึ่งขัดกับหลักนิติรัฐในระบอบประชาธิปไตยของไทย สุดที่ประชาชนจะทนนิ่งเฉยต่อไปได้
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงมิอาจปฏิเสธการสมรู้ร่วมคิดและความรับผิดชอบการออกกฎหมายล้างผิดครั้งนี้ ประกอบกับการบริหารประเทศที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ซ้ำซากหลายกรณี อาทิ การกู้เงินป้องกันน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท การกู้เงินพัฒนาระบบคมนาคมและการขนส่ง 2.2 ล้านล้านบาท การขาดทุนโครงการรับจำนำข้าว 3.7 แสนล้านบาท (ชาวนายากจนและฐานะปานกลางได้ประโยชน์เพียง 1 แสนล้านบาท ส่วนอีกเกือบ 3 แสนล้านบาทตกอยู่กับชาวนารวยและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ) การสมรู้ร่วมคิดเบียดบังผลประโยชน์ด้านทรัพยากรพลังงานมูลค่ามหาศาล การจงใจเพิกเฉยจนทำให้ประเทศไทยพลาดเป็นเจ้าภาพงาน World EXPO และการปล่อยปละให้ศาลโลกพิจารณาคดีเขาพระวิหาร ทั้งๆ ที่ประเทศไทยได้ลาออกจากสมาชิกภาพตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ฯลฯ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมามากมายมหาศาล จึงไม่สมควรที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกต่อไป
ส่วนพรรคการเมืองทุกพรรคและนักการเมืองทุกคนที่มีส่วนร่วม ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนทำให้บ้านเมืองไทยมาถึงจุดเสื่อมโทรมและบัดนี้กลายเป็น “คนป่วยของอาเซียน” สมควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบอย่างมิอาจปฏิเสธ โดยหยุดพักสักระยะหนึ่งจนกว่าการปฏิรูปประเทศไทยจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
ช่วงที่ (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร ได้รับคะแนนนิยมสูงสุดในหมู่คนเสื้อแดงจนสามารถคุมอำนาจนิติบัญญัติได้ ไม่ว่าทักษิณจะส่งใครเป็นนายกรัฐมนตรี สภาทาสรับสนองความต้องการของทักษิณอย่างเต็มที่ ตั้งแต่ นายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
จึงไม่แปลกประหลาดแต่อย่างใดที่นายกรัฐมนตรีหญิงไทยคนแรกนี้ได้สร้างความผิดหวังอย่างแรงแก่บรรดาพวกแฟมินิสต์ ทั้งนี้เพราะยิ่งลักษณ์มิใช่ผู้ได้ตำแหน่งมาด้วยความสามารถและประสบการณ์ทางการเมืองของตนเองดังเช่นผู้นำหญิงของประเทศอื่นๆ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเพียง “ของเล่น” ที่พี่ชายหยิบยื่นให้น้องสาวนอกไส้ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนคือการยินยอมเป็น “ร่างทรง” ของ “ผู้ประทับทรง” ที่หยิบยื่นตำแหน่งนี้ให้เธอ น่าเสียดายอย่างยิ่งว่า เธอเป็นผู้อ่อนด้อยทางสติปัญญาเกินกว่าที่จะตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ได้มา เปรียบดังเช่นเธอเป็น “ไก่” ที่ “ได้พลอย” ในนิทานอีสป
ดังนั้น สิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ยึดถือปฏิบัติตลอดช่วงเวลาที่อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือ “พี่ชายคิด น้องสาวว่าตาม” การบริหารงานในนามนายกรัฐมนตรีนั้น แท้จริงแล้วทักษิณเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ตั้งแต่การวางตัวบุคคลในตำแหน่งต่างๆ ในรัฐสภา ในคณะรัฐมนตรี และในหน่วยงานหลักต่างๆ อีกทั้งเป็นผู้สั่งการเกี่ยวกับการนำตนเองกลับสู่ประเทศโดยปราศจากชนักติดหลังตามที่ฝันไว้ ส่วนยิ่งลักษณ์ในฐานะร่างทรงของ (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นเจ้าลัทธิแห่งการหลอกลวง ทักษิณได้วางแนวปฏิบัติ 3 ประการให้ยิ่งลักษณ์ยึดถือปฏิบัติ มีดังนี้
1. โกหกหน้าตายหล่อเลี้ยงประชาชนให้หลงเชื่อไปเรื่อยๆ ว่า พรรคเพื่อไทยจะมีมาตรการ “ประชาสินบน” ไปเรื่อยๆ ตราบใดที่ยังได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาล และจะต้องยืนกรานดำเนินนโยบายประชาสินบนต่อไปเพื่อรักษาคะแนนนิยมเอาไว้สำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป โดยไม่ต้องสนใจกับความเสียหายทางงบประมาณแผ่นดินและความฉิบหายอื่นๆ ตัวอย่างเช่นโกหกว่าโครงการรับจำนำข้าวเป็นการแก้ปัญหาความยากจนของชาวนา แต่เธอไม่เคยแยแสที่จะออกกฎหมายแก้ปัญหาความยากจนแบบยั่งยืนแม้แต่ฉบับเดียว
2. โกหกประชาชนให้หลงเชื่อซ้ำซากว่า การใช้อำนาจทางรัฐสภาเพื่อบรรลุความต้องการของ (พ.ต.ท.) ทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นเรื่องของ ส.ส.ของรัฐสภา ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล เธอในฐานะนายกรัฐมนตรีไม่รู้เรื่องด้วย แต่ไม่พูดความจริงว่า เธอในฐานะ “ร่างทรง” ต้องรู้อย่างแน่นอน ทั้งนี้เพื่อให้ตนเอง “ลอยตัว” จากความรับผิดชอบทั้งมวล แต่เธอลืมคิดไปว่าถึงแม้จะโกหกคนเขลาได้ แต่ไม่มีใครโกหกตุลาการศาลได้ เพราะความจริงย่อมหนีความจริงไม่พ้น
3. สมุนและ ส.ส.พรรคเพื่อไทยท่องใส่หูคนเสื้อแดงเสมอว่าพรรคเพื่อไทยเป็นประชาธิปไตยเพราะมาจากการเลือกตั้ง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาพฤติกรรมของพรรคเพื่อไทยสวนทางกับความเป็นประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง นั่นคือการใช้กำลังตำรวจกีดกันการชุมนุมคัดค้านของประชาชนผู้ชุมนุมโดยสันติและปราศจากอาวุธ นอกจากนี้ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่สนใจที่จะทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีตามระบอบประชาธิปไตย นั่นคือการตอบกระทู้และการชี้แจงต่อสภาผู้แทนราษฎร ทั้งนี้เพราะ “ผู้ประทับทรง” รู้ดีถึงความด้อยสติปัญญาของ “ร่างทรง” ผู้นี้ ไม่ต้องการประจานความด้อยสติปัญญาของเธอกลางที่ประชุมสภาฯ จึงให้เธอหาทางหลีกเลี่ยงการเข้าร่วมประชุมสภาฯ ด้วยวิธีการง่ายๆ คือ อ้างการปฏิบัติภารกิจในต่างจังหวัดบ้าง หรืออ้างการเดินทางไปต่างประเทศบ้าง ซึ่งไปบ่อยผิดปกติ ส่วนมากหาสาระไม่ได้ แต่ผลาญงบประมาณแผ่นดินไปมากมาย
ปรากฏการณ์การบริหารประเทศโดยมีผู้ประทับทรง หรือผู้บริหารตัวจริงอยู่ในต่างประเทศ กับร่างทรงหรือผู้ทำการแทนอยู่ในประเทศ นับเป็นปรากฏการณ์แปลกใหม่กรณีแรกและกรณีเดียวของโลกที่อุบัติขึ้น การบริหารประเทศแบบนี้เป็นแบบที่ทักษิณมีความเชี่ยวชาญ คือ การบริหารทางไกลด้วยสื่อโทรคมนาคม ผนวกกับการสั่งการตัวต่อตัวด้วยตัวทักษิณเองเป็นครั้งคราวที่ดูไบ ฮ่องกง พนมเปน และมอนเตเนโกร
สำหรับการรู้เห็นเป็นใจกับสภาผู้แทนราษฎรในการผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมวาระ 2 และ 3 ด้วยวิธีการแบบสภาทรราช เมื่อเวลา 4.00 น. วันที่ 1 พ.ย. 2556 นั้น แสดงถึงการเหลิงอำนาจอย่างหนักของพรรคเพื่อไทยกับ 4 พรรคร่วมรัฐบาล ถึงขั้นก้าวก่ายและลบล้างอำนาจตุลาการ ซึ่งขัดกับหลักนิติรัฐในระบอบประชาธิปไตยของไทย สุดที่ประชาชนจะทนนิ่งเฉยต่อไปได้
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงมิอาจปฏิเสธการสมรู้ร่วมคิดและความรับผิดชอบการออกกฎหมายล้างผิดครั้งนี้ ประกอบกับการบริหารประเทศที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ซ้ำซากหลายกรณี อาทิ การกู้เงินป้องกันน้ำท่วม 3.5 แสนล้านบาท การกู้เงินพัฒนาระบบคมนาคมและการขนส่ง 2.2 ล้านล้านบาท การขาดทุนโครงการรับจำนำข้าว 3.7 แสนล้านบาท (ชาวนายากจนและฐานะปานกลางได้ประโยชน์เพียง 1 แสนล้านบาท ส่วนอีกเกือบ 3 แสนล้านบาทตกอยู่กับชาวนารวยและผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ) การสมรู้ร่วมคิดเบียดบังผลประโยชน์ด้านทรัพยากรพลังงานมูลค่ามหาศาล การจงใจเพิกเฉยจนทำให้ประเทศไทยพลาดเป็นเจ้าภาพงาน World EXPO และการปล่อยปละให้ศาลโลกพิจารณาคดีเขาพระวิหาร ทั้งๆ ที่ประเทศไทยได้ลาออกจากสมาชิกภาพตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 ฯลฯ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้สร้างความเสียหายต่อประเทศในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมามากมายมหาศาล จึงไม่สมควรที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยอีกต่อไป
ส่วนพรรคการเมืองทุกพรรคและนักการเมืองทุกคนที่มีส่วนร่วม ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนทำให้บ้านเมืองไทยมาถึงจุดเสื่อมโทรมและบัดนี้กลายเป็น “คนป่วยของอาเซียน” สมควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบอย่างมิอาจปฏิเสธ โดยหยุดพักสักระยะหนึ่งจนกว่าการปฏิรูปประเทศไทยจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา