ศาลโลกพิพากษาระบุเขตอธิปไตยของกัมพูชาครอบคลุมถึงชะง่อนผา แต่ไม่คลุมถึงภูมะเขือ ยันไทยต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมระบุบทปฏิบัติการ "ปานเทพ" ชี้ไทยเสียดินแดนมากกว่าเดิม ต้องถอยกำลังไปยังใกล้แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน หวั่นปมกัมพูชาสร้างถนนรุกล้ำฝั่งไทยบริเวณบ้านโกมุย หวั่นอ้างความชอบธรรมรุกล้ำมากกว่าเดิม สื่อนอกตีข่าว พื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร เป็นของกัมพูชา ขณะที่ชาวเขมรต่างดีใจ
วานนี้ (11 พ.ย.) เมื่อเวลา 16.00น. ตามเวลาในประเทศไทย ศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้มีการอ่านคำพิพากษาการตีความประสาทพระวิหาร ซึ่งมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และโมเดิร์นไนน์ทีวี
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลา 09.00 น. กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ภาคีเครือข่ายภาคประชาชน 77 จังหวัด และกองทัพธรรม นำโดย พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ เสนาธิการร่วม กปท. นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ประธานเครือข่ายภาคประชาชน 77 จังหวัด และ ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์ ผู้ประสานงานกองทัพธรรมมูลนิธิ ได้นำมวลชนเดินเท้าออกจากพื้นที่ชุมนุมบริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศฯ มุ่งหน้ากระทรวงกลาโหม เพื่อยื่นหนังสือต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เรียกร้องให้รัฐบาล ไม่รับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ศาลโลก) ที่จะอ่านคำพิพากษา กรณีปราสาทพระวิหาร และขอให้กระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่ปกป้องแผ่นดิน
โดยทางพล.อ.ปรีชา เป็นตัวแทนการอ่านแถลงการณ์ ทางกปท.ขอประกาศจะไม่ยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะมีคำวินิจฉัยออกมาเช่นไร และขอให้กระทรวงกลาโหม ทำหน้าที่รักษาอธิปไตย และปกป้องดินแดนอธิปไตยของไทย โดยไม่ให้เสียพื้นที่แม้แต่ตารางนิ้วเดียว
ภายหลัง พล.อ.ปรีชา อ่านแถลงการณ์เสร็จสิ้นได้นำตัวแทนกลุ่มผู้ชุมนุม 10 คน เข้ายื่นหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะ รมว.กลาโหม โดยมี พล.ต.สิทธิพล นิ่มนวล หัวหน้าสำนักงาน รมว.กลาโหม เป็นตัวแทนรับหนังสือ ก่อนที่จะเดินทางไปสมทบกับเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) เรียกร้องให้ผู้บัญชาการทหารบก ออกมารับหนังสือ ให้ปกป้องอธิปไตยและดินแดนของไทย
ศาลโลกตีความเขมรมีอธิปไตยในดินแดน
วานนี้ (11 พ.ย.) เมื่อเวลา 16.00น. ตามเวลาในประเทศไทย มีการอ่านคำพิพากษาการตีความคดีปราสาทพระวิหาร โดยศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที และโมเดิร์นไนน์ทีวี
ทั้งนี้ ในช่วงแรกผู้พิพากษาระบุถึงข้อพิพาทใน 3 แง่ อันเป็นเหตุผลให้ศาลต้องตีความคำพิพากษาในปี 2505 คือ
1.คำพิพากษาในปี 2505 (ค.ศ.1962) มีผลผูกพันถึงเขตแดนของสองประเทศหรือไม่
2.ความหมายหรือขอบเขตของบทปฏิบัติการในคำพิพากษาปี 2505 ที่ระบุให้ปราสาทเป็นของกัมพูชา
3.พันธะผูกพันในการถอนกำลังของฝ่ายไทย
ทั้งนี้ เมื่อคำนึงถึงข้อพิพาทดังกล่าวแล้ว ศาลจึงเห็นว่ามีความจำเป็นต้องตีความบทปฏิบัติการ ศาลจึงมีเขตอำนาจในการพิจารณาคำพิพากษาปี 2505 ทั้งปฏิเสธการที่ประเทศไทยกล่าวอ้างว่าศาลไม่มีอำนาจในการตีความคำพิพากษาเพิ่มเติม
ศาลโลกระบุด้วยว่า การยอมรับแผนที่ในภาคผนวกหนึ่งของทั้งสองประเทศ ทำให้แผนที่เป็นส่วนหนึ่งของสนธิสัญญา การตีความจึงต้องเป็นไปตามนั้น ทั้งนี้ความเข้าใจเกี่ยวกับบริเวณใกล้เคียงของปราสาทพระวิหาร ศาลเห็นว่า เขตแดนของกัมพูชาในทางเหนือนั้น ไม่เกินเส้นแบ่งของภาคผนวก 1 ดังนั้น ศาลจึงพิจารณาพื้นที่เห็นว่า พื้นที่ตามข้อบทปฏิบัติที่สองจึงครอบคลุมถึงชะง่อนผา แทนที่จะจำกัดเพียงพื้นที่ตามมติคณะรัฐมนตรีของไทยในปี 2505 แต่ไม่รวมถึงภูมะเขือ
ศาลอ้างว่าปราสาทพระวิหารได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแล้ว โดยทั้งสองชาติมีพันธะกรณีที่จะต้องพูดคุยเพื่อปกป้องมรดกโลกชิ้นนี้ภายใต้การดูแลของยูเนสโก เนื่องจากถูกขึ้นทะเบียนแล้ว และจะต้องสามารถเข้าถึงได้ผ่านทางประเทศกัมพูชา และประเทศไทยมีพันธะที่จะต้องถอนกำลังทหารที่อยู่ในบริเวณปราสาทพระวิหาร ศาลจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า การขอตีความนั้นศาลมีอำนาจ
ขณะที่ก็มติเอกฉันท์ว่ากัมพูชามีอธิปไตยในดินแดนทั้งหมด ตามที่กำหนดไว้ในวรรค 98 ของคำพิพากษานี้ และไทยมีพันธะต้องถอนกำลังทั้งหมดทั้งทหาร ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทั้งหมด พร้อมทั้งอ่านถึงบทปฏิบัติการของคำพิพากษาเป็นภาษาฝรั่งเศส
ต่อมา นายวีรชัย พลาศัย เอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงเฮก กล่าวว่า จากคำพิพากษาดังกล่าว ถือว่าศาลมีอำนาจตีความคำพิพากษาปี 2505 อย่างไรก็ตาม จากคำพิพากษานี้ ไทยไม่ได้เสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. และไม่ได้เสียพื้นที่ภูมะเขือ แต่เสียพื้นที่เล็กๆ บริเวณรอบปราสาทซึ่งจะต้องมีการวัดพิกัดกันต่อไป และไม่ได้มีการรับรองแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ตามภาคผนวก 1 นอกจากนี้ศาลได้แนะนำให้ทั้งสองฝ่ายดูแลพื้นที่ร่วมกัน
"ศาลไม่ได้ตัดสินเรื่องเขตแดน เว้นแต่ในบริเวณที่แคบมากๆ ศาลเน้นคำว่าพื้นที่เล็กอยู่มากนะครับ ขณะนี้พื้นที่นี้กำลังคำนวณอยู่และที่สำคัญคือ ศาลไม่ได้ระบุว่าแผนที่ 1 ต่อ 200,000 นั้นเป็นส่วนหนึ่งของคำตัดสินปี 2505 ที่ผูกพัน ผมคิดว่านี่สำคัญมากๆ ในชั้นนี้ขอเท่านี้ก่อนนะครับ เดี๋ยวผมขอไปดูในรายละเอียดแล้วจะมาพบกับประชาชนต่อไปครับ อีกหนึ่งประเด็นครับ ศาลแนะนำให้ทั้งสองฝ่ายร่วมมือกันในการดูแลปราสาทในฐานะที่เป็นมรดกโลกครับ ศาลแนะนำให้ร่วมมือกัน ขอบคุณครับ" นายวีรชัยกล่าว
“ปานเทพ”ยันไทยเสียดินแดนมากกว่าเดิม
นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2 กล่าวในรายการพิเศษ เกาะติดคำพิพากษาคดีเขาพระวิหาร ทางเอเอสทีวี หลังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศอ่านคำพิพากษาการตีความคดีปราสาทพระวิหารเสร็จสิ้นลง โดยกล่าวว่า บทสรุปของคำพิพากษาศาลโลก ศาลมีอำนาจในการรับตีความ เนื่องจากมีข้อพิพาทจริงในเรื่องของการตีความว่าพื้นที่รอบปราสาทพระวิหารอยู่ที่ไหน
ประการต่อมา ศาลไม่สามารถจะตีความไปไกลเกินกว่าคำพิพากษาของศาลเดิม อะไรที่เกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำพิพากษาแล้วศาลไม่รับรู้ เพราะฉะนั้นให้ยึดเฉพาะการตีความในคดีปราสาทพระวิหารในคดีนี้ ซึ่งศาลก็ระบุชัดเจนว่า พื้นที่ที่ฝ่ายไทยล้อมรั้วปราสาทพระวิหารโดยมติ ครม. นั้น ไม่ได้อยู่ในคำพิพากษาของศาลโลก และต้องถอยไปถึงในบริเวณที่ตำรวจจะถอน หมายถึงกองกำลังอยู่ ดังนั้นจะต้องถอยไปไกลเกินกว่าล้อมรั้วมากกว่านั้นอีก หมายความว่าเสียดินแดนเพิ่มเติมในทางตอนเหนือของปราสาทพระวิหาร ในปี 2505 เราไม่รู้ว่าสถานีตำรวจอยู่ที่ไหน แต่คำพิพากษาระบุว่าอยู่ใกล้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งต้องถอยทหาร ยามรักษาการณ์ ตำรวจออกจากพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทพระวิหาร ไม่มีเสมอทั้งสองฝั่ง ถอยฝ่ายไทยฝ่ายเดียว ถอยมากกว่าเดิมแน่นอนแล้ว
ประการต่อมา ศาลระบุว่าไม่ก้าวล้ำไปถึงภูมะเขือ เพราะไม่ได้อยู่ในกรณีพิพาท ศาลจึงไม่พิพากษาตามที่กัมพูชาร้องขอ ให้เป็นไปตามแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ตร.กม.ในส่วนของกัมพูชา อีกประการหนึ่ง สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ศาลโลกกล่าวว่าในกรณีแบบนี้จะต้องให้มีทางขึ้นได้จากฝั่งกัมพูชา ตรงนี้น่าเป็นห่วงที่สุด เส้นเดิมกัมพูชาได้พยายามสร้างถนนและทางขึ้นที่มาจากบ้านโกมุย อ้อมเข้ามา ล้ำเข้ามาเพื่อให้มีทางขึ้น ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วจะต้องมีทางขึ้นให้ได้ด้วย จากฝั่งกัมพูชาจะขึ้นได้จริง จึงให้ฝ่ายไทยถอยออกทั้งหมด หมายถึงว่าประเทศไทยต้องถอยมากกว่าปี 2505 แน่นอนแล้วทั้งอาณาบริเวณ ตนเรียกว่าเป็นการสูญเสียอธิปไตยมากขึ้นกว่าเดิม จากที่เราขึ้นศาลโลกครั้งนี้
ด้าน พล.ร.ท.ประทีป ชื่นอารมณ์ กล่าวว่า ถ้ามองในภาพรวมเราย้อนกลับมาประเด็นที่เราตั้งไว้ว่าศาลน่าจะมีคำพิพากษาออกมา 4 หนทาง คือ ไม่รับพิจารณา หรือรับพิจารณาแต่ออกมาเป็น 3 แนวทาง คือ รับพิจารณาแล้วตีความว่าเส้นเขตแดนจะเป็นไปตามมติ ครม.ของไทย กับตีความแล้วเส้นเขตแดนจะเป็นไปตามแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ตร.กม.ที่กัมพูชาต้องการ หรือสาม รับตีความแล้วตีความว่าเส้นเขตแดนเป็นไปตามที่ศาลโลกจะกำหนด ทั้งนี้ ในภาพรวมของคำพิพากษาซึ่งอ่านเสร็จ มองภาพรวมแล้วก็จะเห็นว่า ข้อหนึ่ง รับตีความ ข้อสอง ไม่ใช่ เพราะไม่ได้เป็นไปตามเส้นเขตแดน มติ ครม.ข้อสาม ใช่แล้วอาจจะมากกว่าที่ใช่ คือพื้นที่อาจจะมากกว่าที่เราคาดว่าจะสูญเสีย คือ 4.6 ตร.กม. หรืออาจจะมากกว่า 4.6 ตร.กม.แต่เรายังไม่เห็นที่ตั้งของสถานีตำรวจ
เปิดทางเขมรสร้างถนนล้ำเข้าแดนไทย
อีกประการหนึ่ง คือ ไทยจะต้องถอนทหารออกไป เพื่อเปิดเส้นทางให้กัมพูชาสามารถเดินหรือเข้าสู่ตัวปราสาทได้ เพราะฉะนั้นเส้นทางที่ว่านั้นขณะนี้ได้ทำแล้ว ก่อสร้างแล้วตั้งแต่บ้านโกมุย ที่ฝ่ายไทยประท้วงว่าไม่ได้ เป็นการสร้างทางรุกล้ำเขตแดน อธิปไตยของไทย เพราะฉะนั้นแล้วเราก็ไม่ทราบว่าพื้นที่ตรงนี้มันแค่ไหน เพราะเส้นทางเปิดมาแล้ว แล้วทหารไทยจะต้องถอนออกไปจากขอบทางถนนนั้นไปเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ คือมากกว่าเดิม เพราะว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ที่เรากำหนดไว้นั้น ไม่ถึงบ้านโกมุย ซึ่งไทยถือว่าเป็นของเรา ตรงนี้ยังไม่แน่นอนว่าจะมากหรือจะน้อยกว่า 4.6 ตร.กม. ขณะเดียวกันที่ภูมะเขือที่ศาลไม่ตัดสิน ขณะนี้บริเวณสันเขาครึ่งหนึ่งทหารกัมพูชาได้ตั้งกองกำลังไว้ แต่เดิมอีกครึ่งหนึ่งไทยไปตั้งกำลังไว้ แต่ปัจจุบันไทยได้ถอนทหารลงมาจากยอดภูมะเขือแล้วทั้งหมด เพราะฉะนั้นคำพิพากษานี้จะทำให้ไทยสามารถเอาทหารขึ้นไปวางได้
" คำตัดสินที่เกิดขึ้นไม่มีอะไรบวก มีแต่เสียเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมใน แง่ของคำพิพากษาครั้งนี้ ซึ่งจะต้องคำนวณอีกครั้งหนึ่ง"
นายปานเทพ กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ของนายวีรชัย พลาศรัย หัวหน้าทีมทนายความสู้คดี ว่า ตนฟังจากคำแปลฝั่งไทยยังไม่เห็นต้นฉบับ อาจมีความคลาดเคลื่อน เพราะเราฟังจากคำแปลที่ถ่ายทอดจากช่อง 11 นายวีรชัย กล่าวว่า ศาลมีอำนาจตัดสินซึ่งเราเห็นตรงกัน ซึ่งรู้ว่าเป็นผลร้ายอย่างไร นายวีรชัย จึงกล่าวว่ากัมพูชาไม่ได้ตามที่ร้องขอทั้งหมด เพื่อจะบอกว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่กัมพูชาจะได้ ซึ่งการพูดอย่างนี้ไม่ผิด แต่ลึกๆ ก็คงเสียดินแดนมากกว่าเดิม กัมพูชาได้มากกว่าเดิม แต่นายวีรชัยกลับวกมาที่ภูมะเขือเลย ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน ดังนั้นจึงย้ำไปว่าที่ภูมะเขือกัมพูชาไม่ได้ตามที่ร้องขอ และย้ำว่าพื้นที่เล็กมากๆ ซึ่งอันนี้ตนก็ย้ำว่า ศาลโลกก็พยายามย้ำบ่อยๆ เรื่องของพื้นที่ที่เล็กมากๆ เพียงแต่เราไม่สบายใจในสองประเด็น คือ เล็กมากๆ ที่ศาลโลกพูดถึงมันเป็นความที่พื้นที่เล็กมากๆ เหมือนที่ไทยคิดหรือเปล่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมี 2 ประโยคสำคัญก็คือ เราถอยไปมากกว่าเดิม แต่พื้นที่ที่สองที่เรากังวลกว่าก็คือ การที่บอกว่าจะต้องมีทางขึ้นได้ทั้งสองฝั่งจะต้องไปคุยกัน อันนี้ก็จริง เพียงแต่ว่าการที่ปล่อยให้มีพื้นที่กัมพูชาเข้าได้ มันจะแปลความหมายอะไรได้ ในเมื่อเราประท้วงมาโดยตลอดว่าถนนที่ทำทางเข้านั้นเป็นพื้นที่เพียงใดของฝั่งไทย ตนก็ไม่คิดว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับฝั่งเมืองไทย
“ผมยังเห็นว่าคุณสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ไม่ควรใช้คำว่าเป็นที่น่าพอใจ ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าพอใจอย่างยิ่ง สำหรับคนไทยทั้งหมด และควรจะประ กาศว่าศาลโลกเราไม่ควรจะยอมรับอำนาจ เพราะเราเสียมากขึ้นกว่าเดิม ” นายปานเทพ
“สื่อนอก”ระบุ“กัมพูชา”เป็นเจ้าของรอบปราสาท
สื่อระหว่างประเทศเหล่านี้รายงานว่า คำพิพากษาคราวนี้ของศาลโลกซึ่งเป็นการตีความคำพิพากษาในปี 1962 นั้น ทางคณะผู้พิพากษาได้ตัดสินด้วยมติเป็นเอกฉันท์ว่า “กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือพื้นที่ทั้งหมดของชะโงกผาของพระวิหาร” ผู้พิพากษา ปีเตอร์ ทอมกา ประธานศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ระบุในการอ่านคำตัดสิน
คำตัดสินกล่าวด้วยว่า “ด้วยเหตุนี้ไทยจึงอยู่ภายใต้พันธกรณีที่จะต้องถอนกำลังทหาร ตำรวจ ยามรักษาการณ์ หรือเจ้าหน้าที่พิทักษ์ชายแดนอื่นๆ ของไทยออกจากอาณาเขตดังกล่าว”
ชาวภูมิซรอลยังผวาสงคราม
เมื่อเวลา 17.30 น. ที่ศาลากลางบ้านหมู่ 12 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ นายโชคชัย สายแก้ว นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.)เสาธงชัย จัดให้เป็นสถานชมการถ่ายทอดสดการพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร มีนายสุริยะ อมรโรจน์วรวุฒิ รองผู้ว่าราชการจังหวัด นายวิชิต ไตรสรณกุล นายกองค์การลริหารส่วนจังหวัด นายวีรยุทธ ดวงแก้ว กำนันตำบลเสาธงชัยและชาวบ้านภูมิซรอล เฝ้าชมกันอย่างคึกคัก และเมื่อศาลอ่านคำพิพากษา ให้ไทยและกัมพูชาใช้พื้นที่บริเวณเขาพระวิหารร่วมกันเช่นเดิม ชาวบ้านต่างพากันร้องไชโยด้วยความดีใจ ที่ไทยไม่ต้องเสียดินแดนอีกต่อไป
ด้านนายสัมฤทธิ์ แก้วสง่า ชาวบ้านภูมิซรอลที่เคยถูกจรวดของฝ่ายกัมพูชายิงถล่มบ้านไฟไหม้ทั้งหลัง กล่าวว่า ตนและชาวบ้านดีใจมาก แต่ว่าก็ยังไม่สบายใจเท่าที่ควร เพราะเกรงว่าอาจทำให้ฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจ และเกิดสงครามขึ้นอีก ซึ่งตนพร้อมที่จะอพยพตลอดเวลาอยู่แล้ว
ทอดกฐิน2แผ่นดิน-นัดกินข้าวเที่ยง
ก่อนหน้านี้ เวลา 08.30 น. ชาวกัมพูชากว่า 50 คน พร้อมด้วยพระสงฆ์จากวัดเจ้าคณะจังหวัดอุดรมีชัย ข้ามแดนมาที่ด่านผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชาช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ เพื่อนำกองกฐินมาทอดถวายสมทบกฐินพระราชทาน ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่วัดบ้านกาบเชิง ต.ด่าน โดยพระมหาวิรัต นายโก พระลูกวัดบ้านกาบเชิง และนายบุญคง จงใจงามปลัดอาวุโสอำเภอกาบเชิง เดินทางมารับ ด้วยบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นมิตรไมตรี
ส่วนที่ปราสาทตาควาย ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พ.ต.สมควร ชัยนิตย์ ผบ.กรมทหารพรานที่ 2602 และพ.ท.กฤษฎา อารีรมณ์ ผบ.กรมทหารพรานที่ 2606 ได้หารือกับพ.ท.ปาง พุด รองเสนาธิการทหารประจำจ.อุดรมีชัย ซึ่งบรรยากาศเป็นกันเอง และนัดรับประทานอาหารเที่ยงร่วมกันวันที่ 12 พฤศจิกายน
สพฐ.มอบอำนาจ ผอ.สั่งปิด 12 พ.ย.
นายอภิชาติ จีระวุฒิ เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(เลขาธิการ กพฐ.) เปิดเผยว่า ตนได้แจ้งไปยังสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ที่มีโรงเรียนอยู่ใกล้กับพื้นที่กรณีพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ในจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี และศรีสะเกษ รวมประมาณ 100 กว่าแห่ง โดยได้ขอให้ผู้บริหารและครูฟังคำตัดสินของศาลโลกอย่างมีสติ และหากเห็นว่าสถานการณ์ตึงเครียดผู้อำนวยการโรงเรียนก็มีอำนาจสั่งหยุดการเรียนการสอนเป็นเวลา 1 สัปดาห์ได้ และเมื่อสถานการณ์คลี่คลายลงจึงค่อยกลับมาเปิดการเรียนการสอนตามปกติ อย่างไรก็ตามขณะนี้โรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่สุ่มเสี่ยงส่วนใหญ่ก็ได้สั่งปิดโรงเรียนแล้วจนถึงวันที่ 12 พ.ย.นี้
"ลุงปรีชา"นำกปท.ถวายฎีกาวันนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงบ่าย ระหว่างที่มีกลุ่มมวลชนต่างๆ ทยอยเดินทางมาร่วมชุมนุมต่อต้าน ร่าง พ.ร.บ.นริโทษกรรม และร่วมติดตามฟังการถ่ายทอดการอ่านคำพิพากษากรณีเขาพระวิหารของศาลโลกที่บริเวณ ถ.ราชดำเนิน นั้น พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ เสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ได้นำมวลชนจำนวนหนึ่งพร้อมรถกระจายเสียงเคลื่อนจากเวที กปท. ที่แยกผ่านฟ้า มาปักหลักที่บริเวณแยกป้อมมหากาฬ อ่านประกาศปฏิวัติโดยประชาชน โดยขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม หยุดพักงาน และให้ผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ และปลัดกระทรวงทุกกระทรวง เข้ามาพบคณะเสนาธิการร่วม กปท.โดยเร็วที่สุด โดยหากไม่มากปท. จะเคลื่อนพลประชาชนไปในแต่ละหน่วยงาน
พล.อ.ปรีชากล่าวอีกว่า กปท.มีความจำเป็นต้องยึดอำนาจรัฐโดยเร่งด่วน เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ พร้อมกันนี้ยังได้ประกาศให้ประชาชนมาร่วมปักหลักชุมนุมพักค้างที่แยกผ่านฟ้าไปจนถึง เช้าวันที่ 12 พ.ย. เพื่อร่วมกันเดินทางไปถวายฎีกา ต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพื่อสร้างสภาประชาชน และขอความเมตตาพระองค์ท่านให้คุ้มครองประเทศ
คปท. ประท้วงศาลโลกจุดไฟเผาตัวเอง
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยายในช่วงเย็นของการชุมนุม เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ว่าทางแกนนำได้มีการถ่ายทอดเสียงในระหว่างที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือศาลโลก มีคำตัดสินในคดีปราสาทเขาพระวิหาร สลับกับการปราศรัย ขณะที่มวลชนต่างก็ทยอยเดินทางมาเข้าร่วมชุมนุมและรับฟังอย่างต่อเนื่อง จนแน่นพื้นที่การชุมนุม
ทั้งนี้ภายหลังจากศาลโลกมีคำตัดสินแล้วเสร็จ แกนนำได้ขึ้นเวทีนำผลการตัดสินของศาลโลกมาปราศรัย พร้อมเชิญชวนให้มวลชนร่วมกันยืนไว้อาลัยในคำตัดสิน โดยระบุว่า จะไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก และจะไม่ยอมให้ไทยเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวให้กับประเทศกัมพูชา
ขณะเดียวกันที่บริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ กลุ่มมวลชนประมาณ 100 คน ได้รวมตัวประท้วงการทำหน้าที่ขอเจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลก และเผาธงชาติกัมพูชา นอกจากนี้ มีผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ อายุประมาณ 35-40 ปี ได้ปีนขึ้นไปบริเวณแท่นแบริเออร์ เพื่อจะนำไฟแช็กมาจุดไฟเผาตัวเองประท้วง แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะมีมวลชนห้ามไว้ได้ทัน
เมื่อเวลา 19.00น. ทีทำเนียบรัฐบาล นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย กล่าวว่าหลังศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จ นายกรัฐมนตรีได้ประชุมคณะรัฐมนตรีชุดย่อย โดยมีนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรับมนตรี และรมว.ต่างประเทศ พร้อมทีมทนาย วิดีโอคอนเฟอร์เรนท์เข้ามา โดยในวันพรุ่งนี้ จะมีการนำผลคำพิพากษาเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี และในวันพุธที่ 13 พ.ย. จะนำเสนอเข้าที่ประชุมรัฐสภาต่อไป เพื่อวางกรอบที่ไทยจะต้องเจรจากับกัมพูชาต่อ ถือว่าเป็นขั้นตอนตามกฎหมายถ้าไม่ทำก็จะขัดรัฐธรรมนูญมาตรา190 เพราะนายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.การต่างประเทศ เคยโดยมาแล้ว ส่วนสภาจะเปิดวันไหนก็ขึ้นอยู่กับสภา
นายกฯยึดแนวเจรจาตามศาลโลกสั่ง
เมื่อเวลา 19.22 น. ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม แถลงท่าทีของไทยหลังศาลโลกมีคำตัดสินคดีข้อพิพาทปราสาทพระวิหารว่า บัดนี้ ศาลโลกได้พิจารณาหลักฐานของทั้งสองฝ่าย โดยรัฐบาลเห็นว่าเป็นคำพิพากษาที่ให้ความสำคัญกับการที่ทั้งสองประเทศจะต้องเจรจากัน และมีหลายส่วนที่เป็นคุณกับประเทศไทย โดยมีประเด็นหลักๆ ดังนี้ 1.ศาลรับฟังข้อต่อสู้ของไทย และได้ตัดสินยืนยันที่จะตัดสินภายในขอบเขตของคำพิพากษาเดิม เมื่อปี 2505 2. ศาลรับฟังข้อต่อสู้ของไทย โดยยืนยันว่าคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 นั้น ไม่ได้ตัดสินเกี่ยวกับประเด็นเขตแดน ระหว่างไทยกับกัมพูชา เพราะเป็นประเด็นที่อยู่นอกเหนือจากคำพิพากษาเดิม ซึ่งหมายความว่าศาลไม่รับพิจารณาข้อเรียกร้องกัมพูชา เหนือพื้นที่ 4.6 ตร.กม. และที่สำคัญศาลไม่ได้ตัดสินว่าแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนผูกพันกับไทย โดยผลของคำพิพากษาเมื่อปี 2505 3.ศาลรับตีความเฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณใกล้เคียงปราสาทตามคำพิพากษาเดิมเมื่อปี 2505 โดยศาลอธิบายว่าเป็นพื้นที่ขนาดเล็กมาก ซึ่งกำหนดขึ้นตามสภาพภูมิศาสตร์ที่ประกอบขึ้นเป็นยอดเขาพระวิหาร โดยไม่ได้กำหนดเส้นเขตแดน ที่สำคัญไม่ร่วมภูมะเขือ ส่วนพื้นที่ใกล้เคียงปราสาททั้งสองประเทศจำเป็นต้องหารือกันในรายละเอียดต่อไป โดยกลไกทวิภาคีที่มีอยู่
4. ศาลได้แนะนำให้ความสำคัญกับการที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในการอนุรักษ์และพัฒนาปราสาทพระวิหารในฐานะที่เป็นมรดกโลก ดังนั้นรัฐบาลได้สั่งให้ทีมที่ปรึกษากฎหมายศึกษารายละเอียดและสาระสำคัญของคำพิพิพากษาเพื่อนำข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะไปประกอบพิจารณา ดำเนินการของรัฐบาลต่อไป ต่อจากนั้นไทยและกัมพูชาจะต้องเจรจาหารือภายใต้กลไกที่ที่มีอยู่ระหว่าง 2 ประเทศ เพื่อให้ได้ข้อยุติให้เป็นที่ยอมรับของทั้งสองฝ่าย และจะคำนึงถึงขั้นตอน และกระบวนการของกฎหมาย และบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยไทยจะยึดรักษาอธิปไตยเป็นที่ตั้ง เกียรติภูมิของชาติเป็นหลัก และสั่งการกำชับให้ฝ่ายทหารรักษาความสงบเรียบร้อยตามแนวชายแดน และจะนำเรื่องเข้าที่ประชุมครม.ในวันที่ 12 พ.ย.นี้
เขมรตีปีกศาลโลกยืนยันอธิปไตย
ขณะที่ประชาชนชาวกัมพูชา ต่างแสดงความดีใจและพึงพอใจต่อการวินิจฉัยของศาลโลกที่ระบุว่ากัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดน "ทั่วทั้งอาณาบริเวณพระวิหาร" โดยอ้างคำแถลงฉบับหนึ่งที่ออกโดยศาลในกรุงเฮกในวันจันทร์ 11 พ.ย.2556 นี้
"ศาลขอประกาศด้วยฉันทามติโดยผ่านการตีความว่า คำพิพากษาครั้งวันที่ 15 มิถุนายน 2505 ได้ตัดสินให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือดินแดนทั้งหมดในเขตที่พระวิหารยื่นออกไป ตามที่ระบุเอาไว้ในย่อหน้า 98 ของคำพิพากษาปัจจุบันซึ่งเป็นผลให้ประเทศไทยอยู่ภายใต้พันธกรณีที่จะต้องถอนทหารหรือกองกำลังตำรวจหรือกองกำลังรักษาหรือผู้ดูแลของฝ่ายไทยที่ตั้งอยู่ออกจากดินแดนดังกล่าว" สำนักข่าวกัมพูชรายงานในค่ำวันนี้.