เอกชนแนะผ่าทางตันปัญหาเศรษฐกิจไทยท่ามกลางม็อบส่อรุนแรงโยน”ปู”ตัดสินลาออก ยุบสภา ยอมรับแม้จะไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุดก็ตามเหตุหากยุบสภาเลือกตั้งใหม่มาถ้าซื้อเสียงคอร์รัปชั่นก็ไม่หยุดอีก กังวลเศรษฐกิจไทยยิ่งทรุดจากที่ขณะนี้ก็แย่อยู่แล้ว
นายสมมาต ขุนเศษฐ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การเมืองที่เริ่มยกระดับการขับไล่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นเรื่องที่รัฐบาลควรจะต้องพิจารณาเพราะถือเป็นการออกมาของมหาชนอย่างแท้จริงซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ ดังนั้นอยู่ที่อำนาจของนายกรัฐมนตรีว่าจะตัดสินใจอย่างไรทั้งการลาออกหรือยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน อย่างไรก็ตามสายตาเอกชนเองไม่ว่าจะเลือกทางใดหากนักการเมืองยังคงยึดประโยชน์ตนเองมากกว่าประเทศชาติปัญหาก็ยังคงมีอยู่ไม่สิ้นสุด
“ทางออกมีก็อยู่ที่อำนาจนายกฯทั้งหมด หากมีการยุบสภาฯแล้วเลือกตั้งใหม่ถามว่าการเลือกตั้งเมื่อมีการซื้อเสียงเข้ามานักการเมืองก็ต้องเข้ามาคอร์รัปชั่นถอนทุนคืน และการเมืองบ้านเราเมื่อเข้ามาก็ยึดประโยชน์ตนเองแบบนี้ประชาชนก็จะออกมาขับไล่อีกจึงอยากเห็นการเมืองได้เน้นทำประโยชน์เพื่อชาติเป็นหลักเช่นเผด็จการรัฐสภาประเทศอื่นๆเขาทำกันเขาก็อยู่ได้ ผมอยากจะบอกว่าอย่าคิดว่าประชาชนโง่ เพราะเดี๋ยวนี้ข่าวสารมันไปเร็วมาก”นายสมมาตกล่าว
ทั้งนี้มีความกังวลต่อระบบเศรษฐกิจไทยมากเนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาระบบเศรษฐกิจไทยนั้นจะแยกออกจากการเมืองค่อนข้างชัดเจนแต่ในช่วงหลังนี้การเมืองได้ทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยเข้ามาผูกติดกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากขึ้นซึ่งปัญหาดังกล่าวจะยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นต่อการค้าและการลงทุนของไทยที่ชะลอตัวอยู่แล้วยิ่งประสบปัญหามากขึ้นกว่าเดิม
นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานคณะกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หากการชุมนุมรุนแรงขึ้นทางออกของรัฐบาลก็คือการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจประชาชนเลือกตั้งใหม่ จะเป็นทางออกที่จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก แต่หากปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อ จะเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ตอนนี้วิตกเรื่องชุมนุมจะกระทบต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวไทยหรือคนไทยเดินทางไปช่วงเทศกาลปีใหม่ลดลง การท่องเที่ยวเสียหายจะกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้มาก
นางเพ็ญทิพย์ พรจะเด็ด นายกสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมไทย(เอสเอ็มอี) กล่าวว่า คงต้องขอเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาทางการเมืองให้กลับมามีความสงบเป็นปกติโดยเร็วที่สุดส่วนจะแก้ปัญหาแบบใดรัฐบาลย่อมจะรู้ดีทั้งนี้เนื่องจากฐานการผลิตของภาคอุตสาหกรรมที่มีผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจหากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นก็จะกระทบให้เศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่แล้วลำบากยิ่งขึ้น
“ที่ผ่านมาเอสเอ็มอีก็ลำบากมากตั้งแต่น้ำท่วมปลายปี 2554 ไหนจะโดนขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันจนตอนนั้นสภาพคล่องแทบไม่มีบางรายต้องกู้หนี้นอกระบบ ขอให้รัฐช่วยตั้งกองทุน 2 หมื่นล้านบาทรัฐก็บอกว่าสถาบันการเงินรัฐก็ปล่อยกู้ได้ซึ่งถึงวันนี้เอสเอ็มอีรายย่อยก็เข้าไม่ถึงแหล่งเงิน พอเราจะเริ่มดีขึ้นเศรษฐกิจรอบนี้มีปัญหาก็จะยิ่งซ้ำอีก”นางเพ็ญทิพย์กล่าว
นายสมมาต ขุนเศษฐ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า สถานการณ์การเมืองที่เริ่มยกระดับการขับไล่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นเรื่องที่รัฐบาลควรจะต้องพิจารณาเพราะถือเป็นการออกมาของมหาชนอย่างแท้จริงซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ ดังนั้นอยู่ที่อำนาจของนายกรัฐมนตรีว่าจะตัดสินใจอย่างไรทั้งการลาออกหรือยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน อย่างไรก็ตามสายตาเอกชนเองไม่ว่าจะเลือกทางใดหากนักการเมืองยังคงยึดประโยชน์ตนเองมากกว่าประเทศชาติปัญหาก็ยังคงมีอยู่ไม่สิ้นสุด
“ทางออกมีก็อยู่ที่อำนาจนายกฯทั้งหมด หากมีการยุบสภาฯแล้วเลือกตั้งใหม่ถามว่าการเลือกตั้งเมื่อมีการซื้อเสียงเข้ามานักการเมืองก็ต้องเข้ามาคอร์รัปชั่นถอนทุนคืน และการเมืองบ้านเราเมื่อเข้ามาก็ยึดประโยชน์ตนเองแบบนี้ประชาชนก็จะออกมาขับไล่อีกจึงอยากเห็นการเมืองได้เน้นทำประโยชน์เพื่อชาติเป็นหลักเช่นเผด็จการรัฐสภาประเทศอื่นๆเขาทำกันเขาก็อยู่ได้ ผมอยากจะบอกว่าอย่าคิดว่าประชาชนโง่ เพราะเดี๋ยวนี้ข่าวสารมันไปเร็วมาก”นายสมมาตกล่าว
ทั้งนี้มีความกังวลต่อระบบเศรษฐกิจไทยมากเนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาระบบเศรษฐกิจไทยนั้นจะแยกออกจากการเมืองค่อนข้างชัดเจนแต่ในช่วงหลังนี้การเมืองได้ทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยเข้ามาผูกติดกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองมากขึ้นซึ่งปัญหาดังกล่าวจะยิ่งทำให้ความเชื่อมั่นต่อการค้าและการลงทุนของไทยที่ชะลอตัวอยู่แล้วยิ่งประสบปัญหามากขึ้นกว่าเดิม
นายสมเกียรติ อนุราษฎร์ รองประธานคณะกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า หากการชุมนุมรุนแรงขึ้นทางออกของรัฐบาลก็คือการยุบสภาเพื่อคืนอำนาจประชาชนเลือกตั้งใหม่ จะเป็นทางออกที่จะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากนัก แต่หากปล่อยเวลาให้ยืดเยื้อ จะเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจมากขึ้น ตอนนี้วิตกเรื่องชุมนุมจะกระทบต่อการเดินทางมาท่องเที่ยวไทยหรือคนไทยเดินทางไปช่วงเทศกาลปีใหม่ลดลง การท่องเที่ยวเสียหายจะกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้มาก
นางเพ็ญทิพย์ พรจะเด็ด นายกสมาคมส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและย่อมไทย(เอสเอ็มอี) กล่าวว่า คงต้องขอเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาทางการเมืองให้กลับมามีความสงบเป็นปกติโดยเร็วที่สุดส่วนจะแก้ปัญหาแบบใดรัฐบาลย่อมจะรู้ดีทั้งนี้เนื่องจากฐานการผลิตของภาคอุตสาหกรรมที่มีผลต่อการเติบโตเศรษฐกิจหากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นก็จะกระทบให้เศรษฐกิจที่ชะลอตัวอยู่แล้วลำบากยิ่งขึ้น
“ที่ผ่านมาเอสเอ็มอีก็ลำบากมากตั้งแต่น้ำท่วมปลายปี 2554 ไหนจะโดนขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันจนตอนนั้นสภาพคล่องแทบไม่มีบางรายต้องกู้หนี้นอกระบบ ขอให้รัฐช่วยตั้งกองทุน 2 หมื่นล้านบาทรัฐก็บอกว่าสถาบันการเงินรัฐก็ปล่อยกู้ได้ซึ่งถึงวันนี้เอสเอ็มอีรายย่อยก็เข้าไม่ถึงแหล่งเงิน พอเราจะเริ่มดีขึ้นเศรษฐกิจรอบนี้มีปัญหาก็จะยิ่งซ้ำอีก”นางเพ็ญทิพย์กล่าว