xs
xsm
sm
md
lg

ดับไฟผลาญชาติ...ต้องกวาดคนสุมไฟ!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

นักการเมืองฮึกเหิมลำพองในอำนาจ และมั่นใจในกำลังตำรวจที่เคยใช้ปราบปรามประชาชนอย่างโหดเหี้ยมอำมหิตอย่างได้ผลชะงัดมาทุกครั้ง โดยเฉพาะการปราบปรามการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม ของคณะเสนาธิการร่วม รวมทั้งกลุ่มผู้ชุมนุมเรื่องยางพาราในพื้นที่ภาคใต้

เอะอะอะไรก็จะใช้เครื่องมือสองอย่าง คือ ใช้อำนาจที่ผิดกฎหมายประกาศใช้กฎหมายความมั่นคง ทั้งๆ ที่ประชาชนชุมนุมโดยสันติ และระดมกำลังตำรวจมากมายมหาศาลประมาณ 5-10 เท่าของจำนวนที่คาดว่าจะมีผู้เข้าชุมนุม พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการสงคราม

และทุกครั้งก็จะหยามหน้าบรรดาเหล่าทหารด้วยการปิดกั้นพื้นที่หรือกีดขวางพื้นที่ที่จะเป็นทางเข้า-ออกของกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ของกองทัพภาคที่ 1 และบางครั้งก็ล้ำก้ำเกินไปถึงกองบัญชาการกองทัพบกด้วย

ไม่มีใครทำอะไรได้ และทำการอย่างได้ผล จึงฮึกเหิมลำพองหลงผิดคิดว่าสามารถปราบดาภิเษกยึดประเทศไทยไว้ในอุ้งตีนเรียบร้อยแล้ว! ดังนั้นจึงเดินหน้าเพื่อกระชับอำนาจด้วยหลากหลายประการ

โกงบ้านผลาญชาติอย่างไม่เกรงฟ้า ไม่กลัวดิน หมดสิ้นความละอายต่อบาป ดำเนินการเพื่อแก้รัฐธรรมนูญ ยึดอำนาจของรัฐสภามาเป็นของรัฐบาลที่จะผลาญชาติ ขายชาติได้ตามอำเภอใจ จากนั้นก็ดันกฎหมายล้างผิด ล้างโกง ล้างทุจริตทั้งหลายที่เคยทำไว้ในบ้านเมือง

แม้พวกเดียวกันที่พลีเลือดเนื้อและชีวิตอุทิศร่างกายให้เหยียบขึ้นสู่อำนาจก็ไม่ไว้หน้า ประกาศท้าทายกึกก้องไปทั่วทั้งประเทศว่าแน่จริงก็ให้โหวตสวนหรือมาสู้กัน ก่อความเจ็บช้ำน้ำใจให้กับคนทั้งปวง

การลุกขึ้นสู้ของประชาชนที่ก่อตั้งครั้งใหม่จากการชุมนุมครั้งล่าสุดของคณะเสนาธิการร่วมและแยกออกมาตั้งกลุ่มชุมนุมที่สี่แยกอุรุพงษ์ เพื่อเดินหน้าล้างบ้านล้างเมืองและปฏิรูปประเทศไทย แม้เริ่มต้นด้วยผู้คนไม่มาก แต่มาบัดนี้มวลมหาประชาชนทั่วสารทิศ ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสี ทุกหมู่ ทุกเหล่า พากันหลั่งไหลมาเข้าร่วมชุมนุม กำลังจะเป็นเหตุการณ์ “มหา 14 ตุลา” ที่กระแสน้ำทุกสายจะไหลหลั่งถั่งโถมชำระล้างความสกปรกทั้งหลายของบ้านเมือง

คลื่นมหาประชาชนจำนวนมากมายมหาศาลที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ได้ปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาชนชาวไทยทั้งประเทศ และเป็นเหตุตื่นเต้นตะลึงไปทั่วโลกในขณะนี้ และมีทีท่าว่ายังจะเพิ่มมากขึ้นและมากขึ้นอีกมากมาย

ได้สร้างความประหวั่นพรั่นพรึงและความขัดแย้งในระหว่างนักการเมืองที่มีอำนาจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อนเช่นเดียวกัน เพราะบรรดาคนชั่วช้าสารเลวทั้งหลายนั้นยิ่งก่อกรรมทำเข็ญไว้กับประเทศชาติและราษฎรมากเท่าใด ก็ยิ่งเกรงกลัวทั้งราชภัยและราษฎร์ภัยมากเท่านั้น กลัวไปหมดทุกสิ่งทุกอย่าง กระทั่งนอนตาไม่หลับ ต้องถกเถียงแย่งกันเอาตัวรอดและฝันร้ายทุกวันคืน

ดังนั้น หลังจากความคิดปรามาสมวลมหาประชาชนและยืนหยัดประกาศเดินหน้าสุดซอยไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก็ต้องงัดแผนสกปรกถอนฟืนจากเตาไฟมาใช้ เพื่อรักษาอำนาจที่สุมไฟเผาเมืองมาหลายปีแล้วให้ดำรงชีวิตและอำนาจไว้ต่อไป

ใช้เล่ห์ร้ายโยนภาระไปให้วุฒิสภา ซึ่งขณะนี้วุฒิสมาชิกผู้รักชาติจำนวน 40 คนได้เป็นแกนหลักคัดค้านในวุฒิสภาและขยายเพิ่มจำนวนต่อต้านระบอบทรราชเป็น 70 คนแล้ว จึงหวังที่จะใช้ผีโม่แป้งอีกแค่ 30 กว่าคนหรือมากกว่านั้นเพื่อคว่ำร่างกฎหมายนิรโทษกรรมที่ได้สมญาว่าเป็นกฎหมายตัดต่อพันธุกรรมจระเข้เป็นเหี้ยนั้นเสีย

ที่ว่าเป็นเล่ห์ร้ายก็เพราะเมื่อร่างกฎหมายนี้ถูกวุฒิสภาคว่ำไปแล้ว ก็จะกลับไปสู่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเขาเรียกกันว่าสภาขี้ข้า จากนั้นอีก 180 วันก็สามารถยกขึ้นมาว่ากันใหม่ดันสุดซอยได้เหมือนเดิมอีก! โดยคิดว่าประชาชนจะยินยอมและสลายการชุมนุมไปก่อน

นี่คือเล่ห์ร้ายที่เรียกว่า “แผนชักฟืนออกจากเตาไฟ” เพราะเดิมทีนั้นเมื่อปรามาสมวลมหาประชาชนชาวไทยแล้วก็เร่งรัดเวลาเพื่อยึดครองประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จ ใช้ความคิดต้มให้สุกเร็วๆ จึงใส่ฟืนโหมไฟด้วยคาดว่าคนต่อต้านมีไม่กี่คนดังที่ได้ประกาศไว้ทางโทรทัศน์

แผน “ชักฟืนออกจากเตาไฟ” โดยที่คนสุมไฟเผาบ้านเผาเมืองยังอยู่ก็คือแผนการเปลี่ยนจากการ “ต้ม” เป็น “ตุ๋น” ซึ่งเปื่อยเละยิ่งกว่าต้มเสียอีก

แต่ทว่าประชาชนชาวไทยในวันนี้รู้เท่าทัน พี่น้องประชาชนในชนบท รวมทั้งพี่น้องประชาชนทุกสีซึ่งก็คือพี่น้องไทยด้วยกันก็ได้สัมผัสอย่างชัดเจนแล้วถึงอาชญากรรมและความพังพินาศของชาติบ้านเมืองจากระบอบการเมืองสามานย์ และกระจ่างแจ้งถึงเล่ห์ร้ายที่ใช้แผนนางลวงมาบังหน้า

ดังนั้นในพลันที่แผน “ชักฟืนออกจากเตาไฟ” ถูกใช้ผสมกับน้ำตาที่วอนขอความกรุณา จึงถูกประชาชนและเวทีการชุมนุมเปิดโปงดังลั่นสนั่นว่า จะดำรงเป้าหมายการต่อสู้ของภาคประชาชนอย่างเด็ดเดี่ยว คือการชำระล้างบ้านเมืองให้พ้นจากระบอบการเมืองสามานย์

เพื่อสถาปนารัฐบาลของประชาชนขึ้นทำการปฏิรูปประเทศไทย หรือนัยหนึ่งก็คือการปฏิวัติประเทศไทย ให้เป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้รัฐสภาและรัฐบาลเป็นของประชาชน ทำการทั้งปวงเพื่อประเทศชาติและประชาชน โดยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขอย่างสมบูรณ์แท้จริง

จะไม่ยอมให้หวนกลับคืนเป็นสภาพที่มีการลิดรอนพระราชอำนาจ และปล่อยให้นักการเมืองก่อกรรมทำเข็ญให้กับบ้านเมืองตามอำเภอใจ กระทั่งก่อตั้งวงและวางแผนสืบสันตติวงศ์ให้กับคนหมู่เดียวคณะเดียวเพียงไม่กี่ตระกูลดังที่เป็นอยู่เป็นอันขาด

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นที่แน่ชัดว่า “แผนชักฟืนออกจากเตาไฟ” เปลี่ยนจากต้มเป็นตุ๋นนั้น ทางภาคประชาชนรู้เท่าทันและไม่ยินยอมเป็นอันขาด! เพราะมวลมหาประชาชนทราบเล่ห์กลอุบายแจ่มแจ้งแล้วว่าต้นเหตุเภทภัยที่เผาผลาญบ้านเมืองอยู่ในขณะนี้ไม่ใช่ฟืนและไม่ใช่ไฟ แต่เป็นคนสุมไฟต่างหาก

คนสุมไฟนี่แหละคือเป้าหมายร่วมกันของประชาชาติไทยทั้งมวลที่จะให้อยู่ในอำนาจและสร้างกรรมทำเข็ญต่อไปไม่ได้เป็นอันขาด

กรรมทั้งหลายย่อมมีวิบาก ทำกรรมอันใดไว้ต้องได้รับผลแห่งกรรมนั้น ดังพระพุทธวจนที่ว่า “กัมมุนา วัตตติโลโก” ซึ่งแปลว่าสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม

โบราณว่า “ทำการใดอย่างสับสน ไม่สอดคล้องกับวิถีแห่งฟ้า ย่อมเกิดอัปมงคล การเกิดวิบัติก็เพราะครองตัวแปลกแยกกับกฎเกณฑ์ของฟ้า อย่าได้โทษว่าฟ้าบันดาลเลย”

บัดนี้น้ำทุกหยดกำลังรวมตัวเป็นสายน้ำ และสายน้ำทุกสายกำลังไหลหลั่งถั่งโถมไปยังพระมหาสมุทร เพื่อชำระล้างความโสโครกทั้งปวงบนแผ่นดินนี้ “จากหยดน้ำหยาดน้อยหลายร้อยหยด รวมปรากฏเป็นมหาชลาศัย”

ประเทศไทยกำลังจะพ้นออกจากเงื้อมมือมาร ประชาชาติไทยกำลังทวงเอาประเทศไทยคืนมาแล้ว การไม่เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์หน้านี้ หรือแค่โบกมืออยู่ริมทาง ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้เสียชาติเกิด! จริงไหมท่านหัวแถวคนมีปืน?
กำลังโหลดความคิดเห็น