เห็นมวลชนย่านธุรกิจถนนสีลมออกมาแสดงความรู้สึกไม่พอใจรัฐบาลวันจันทร์ เป็นภาพพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าคนไทยสิ้นสุดการอยู่เฉย และส่งสัญญาณให้รัฐบาลขี้ข้าทักษิณได้รับรู้ว่าควรเริ่มนับถอยหลัง เปิดทางให้ประชาชนคนรักชาติ มีคุณธรรมได้เดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างระบอบการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
จาก occupy สวนลุมฯ ลามไป occupy อุรุพงษ์ และ occupy สามเสน มีมวลชนคนเกลียดชังรัฐบาลกังฉินชั่วร้ายขายชาติรวมตัวกันแสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่ทนกับความผยองลำพองอำนาจ เหิมเกริมถึงขั้นอยู่เหนือกฎหมาย
ประชาชนสีลมยังประกาศว่าจะจัดมหกรรม occupy สีลมทุกวันจันทร์ เพื่อแสดงจุดยืนว่าต้องการขับไล่รัฐบาล ไม่หยุดเฉพาะเพียงยับยั้งร่างกฎหมาย เมื่อมองว่าการแก้ปัญหาต้องขุดรากถอนโคนเครือข่ายขี้ข้าบักเหลี่ยมเท่านั้น
ความยโสโอหังยังได้สร้างความไม่พอใจให้กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่ขอเป็นขี้ข้า ทาสดักดานจนไม่ยอมรับการปลดปล่อย ออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนขัดแย้งทางความคิด เกิดปะทะคารมแยกทางกันเดิน
แม้มวลชนไม่มากถึงระดับแสนคน การเริ่มต้นด้วยเพียงไม่กี่หมื่นคนและเชื้อไฟระอุเต็มที่จะเป็นพลังรุนแรงพอที่จะขยายผลไปสู่มวลชนขนาดใหญ่ถึงขั้นรัฐบาลรู้สึกไม่มั่นคงในฐานอำนาจหนุนด้วยตำรวจ กลไกรัฐต่างๆ อีกต่อไป
ช่วงสุดสัปดาห์เมื่อมวลชนสวนลุมฯ ตัดสินใจเคลื่อนขบวนมารวมกับม็อบอุรุพงษ์ พร้อมคนระดับแกนนำหน้าเก่าหน้าใหม่สร้างความสั่นสะเทือนต่อพลพรรคเพื่อเหลี่ยม เครือข่ายขี้ข้าเกิดความหวั่นไหว แม้ยังปากกล้าเล่นโวหาร
เมื่อเห็นประชาชน นักศึกษาอาชีวะ คัดค้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรม พวกอาจารย์ นักวิชาการ เริ่มกล้าคัดค้านหลังจากดูลมบนลมล่าง เห็นเส้นทางโปร่ง มองว่ารัฐบาลแม่นางโพยคางแหลม น้องสาวหน้าเหลี่ยม ใกล้เดี้ยงแล้ว
ยามขาลง รัฐบาลแม่นางโพยอยู่ในสภาพร่อแร่เต็มที หลังจากบักเหลี่ยมคนหนีคุกแสดงความกร่างเต็มบ้อง สั่งขี้ข้าให้ร่างกฎหมายทำให้คนโกงไม่ต้องติดคุกอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ไม่ใส่ใจแยแสว่าเมืองไทยจะเป็นรัฐล้มเหลว
ทั้งๆ ที่มวลชนคนต้านรัฐบาลชุมนุมบนถนนสีลม มวลชนสามเสนเดินผ่าเมืองไปสักการะวัดพระแก้ว และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขี้ข้าบักเหลี่ยมในสภาฯ ยังเดินหน้าประชุมผ่านวาระ 3 แก้ไขมาตรา 190 เปิดทางให้นักการเมืองขายชาติได้ง่ายๆ
เมื่อมีรุ่ง ก็ต้องมีร่วง ไม่มีผู้นำรัฐบาลคนไหนอยู่นานจนชาวบ้านไม่เบื่อหน่าย เมื่อรัฐบาลนางคางแหลมทำหน้าซื่อตาใส ท่องคาถาปรองดอง ให้คนก้าวข้ามความขัดแย้ง ให้บ้านเมืองเดินหน้า ชาวบ้านฟังแล้วรู้สึกเอียนสุดๆ
ก่อนหน้านั้นพร่ำร้อง “มีอะไรให้ไปพูดในสภาฯ” “พร้อมจัดเวทีให้” แต่นั่นเป็นเพียงการผายลมทางปาก เมื่อฝ่ายค้านโดนปิดปากตัดตอนซ้ำซาก ขี้ข้าบักเหลี่ยมใช้วิธีปิดอภิปราย อาศัยเสียงข้างมากผ่านร่างกฎหมายเมินเสียงค้าน
พวกขี้ข้าการเมือง ข้าราชการแต่สวมบทขี้ข้าทักษิณ ตำรวจ เริ่มรู้สึกสัญญาณความไม่แน่นอนของอำนาจ ฐานเริ่มคลอนแคลน เมื่อมวลชนต้านแผ่ขยายไปทั่วประเทศ กลัวว่ายุคทองของการโกงจะถึงวาระสุดท้ายในอีกไม่ช้า
ยิ่งมีสัญญาณชัดว่าเวรกรรมไล่บี้มาคิดบัญชีในอีกไม่กี่วันนี้ ขี้ข้าตัวเอ้เริ่มเก็บตัวสงบปากสงบคำ ไม่โชว์ความอหังการ พูดจาท่าทียโสเหมือนแต่ก่อน แม้แต่สื่อต่างๆ ที่เชลียร์รัฐบาลแลกผลประโยชน์ก็เริ่มเปลี่ยนแนวการนำเสนอ
หัวหน้าตำรวจระดับต่างๆ เคยกร่างในบทขี้ข้าทักษิณไม่พูดเสียงดังวางมาดอำนาจเหมือนเดิม ตัวเอ้ในดีเอสไอ อัยการ ข้าราชการ เริ่มรับรู้กระแสกดดันเพื่อความเปลี่ยนแปลง และชะตากรรมน่าอนาถที่ตัวเองต้องเผชิญแน่
แม้แต่บักเหลี่ยมเองย่อมรู้ว่าแรงต้านมากกว่าที่ประเมินไว้ นั่นเป็นเพราะการห่างเหินจากพื้นที่ เกิดความผิดพลาดในการอ่านอารมณ์ความไม่พอใจของคนในประเทศ ฟังแต่ข้อมูลป้อยอจากขบวนการเชลียร์ “นายครับ เราเอาอยู่”
กว่าบักเหลี่ยมจะรู้ก็สายเกินไป พวกโฆษก ฆ้องปากแตก เคยตอบโต้ เยาะเย้ยถากถางฝ่ายตรงข้าม เอาสีข้างเข้าถู ก็รู้เช่นกันว่าลูกเล่นไม่ลื่นไหล จะถอนร่างกฎหมายโกงไม่ผิดชาวบ้านคงไม่ยอม เมื่อเข้าสู่วาระการขับไล่แล้ว
เมื่อบักหน้าเหลี่ยมแก้เกมตัดกระแสพลังขับไล่ไม่ได้ แม่นางคางแหลมก็ต้องใช้น้ำตาผสมมารยาหญิงออดอ้อนขอโอกาส ไม่สำนึกว่าอยู่รอดนานกว่า 2 ปีโดยไม่บริหาร ไม่รับผิดชอบ อาศัยการลอยตัวหนีปัญหานั้นเป็นความอัปยศ
บักเหลี่ยมไม่เคยจดจำประวัติศาสตร์ผลของความอหังการ การดิ้นรนอยากกลับบ้านโดยที่ตัวเองก็รู้ว่าไม่มีวันจะกลับมาได้ จึงใช้วิธีล้างแค้นแผ่นดินเกิด สั่งขี้ข้าให้ปล้นบ้านเมือง ทำลายเกษตรกรรมข้าว สร้างหนี้สินมหาศาล
ถึงเวลาเวรกรรมไล่บี้เช็กบิลแล้ว ถ้ากระบวนการทวงคืนบาปยังเดินหน้า รัฐบาลนางโพยคางแหลมน่าจะเผชิญชะตากรรมน่าอนาถในอีกไม่เกินสัปดาห์จากนี้ หรือแรงกดดันจากมวลชนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนสิ้นสุดอำนาจชั่วร้าย
พลังของการเอาคืนอำนาจธรรมนั้นรุนแรงเพื่อเปิดทางไปสู่การปฏิรูปประเทศ คนดีจะทวงคืนพื้นที่และอำนาจเพื่อฟื้นฟูชาติให้คนดีอาศัยเท่านั้น
จาก occupy สวนลุมฯ ลามไป occupy อุรุพงษ์ และ occupy สามเสน มีมวลชนคนเกลียดชังรัฐบาลกังฉินชั่วร้ายขายชาติรวมตัวกันแสดงให้เห็นว่าประชาชนไม่ทนกับความผยองลำพองอำนาจ เหิมเกริมถึงขั้นอยู่เหนือกฎหมาย
ประชาชนสีลมยังประกาศว่าจะจัดมหกรรม occupy สีลมทุกวันจันทร์ เพื่อแสดงจุดยืนว่าต้องการขับไล่รัฐบาล ไม่หยุดเฉพาะเพียงยับยั้งร่างกฎหมาย เมื่อมองว่าการแก้ปัญหาต้องขุดรากถอนโคนเครือข่ายขี้ข้าบักเหลี่ยมเท่านั้น
ความยโสโอหังยังได้สร้างความไม่พอใจให้กลุ่มคนเสื้อแดงส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่ขอเป็นขี้ข้า ทาสดักดานจนไม่ยอมรับการปลดปล่อย ออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จนขัดแย้งทางความคิด เกิดปะทะคารมแยกทางกันเดิน
แม้มวลชนไม่มากถึงระดับแสนคน การเริ่มต้นด้วยเพียงไม่กี่หมื่นคนและเชื้อไฟระอุเต็มที่จะเป็นพลังรุนแรงพอที่จะขยายผลไปสู่มวลชนขนาดใหญ่ถึงขั้นรัฐบาลรู้สึกไม่มั่นคงในฐานอำนาจหนุนด้วยตำรวจ กลไกรัฐต่างๆ อีกต่อไป
ช่วงสุดสัปดาห์เมื่อมวลชนสวนลุมฯ ตัดสินใจเคลื่อนขบวนมารวมกับม็อบอุรุพงษ์ พร้อมคนระดับแกนนำหน้าเก่าหน้าใหม่สร้างความสั่นสะเทือนต่อพลพรรคเพื่อเหลี่ยม เครือข่ายขี้ข้าเกิดความหวั่นไหว แม้ยังปากกล้าเล่นโวหาร
เมื่อเห็นประชาชน นักศึกษาอาชีวะ คัดค้านร่างกฎหมายนิรโทษกรรม พวกอาจารย์ นักวิชาการ เริ่มกล้าคัดค้านหลังจากดูลมบนลมล่าง เห็นเส้นทางโปร่ง มองว่ารัฐบาลแม่นางโพยคางแหลม น้องสาวหน้าเหลี่ยม ใกล้เดี้ยงแล้ว
ยามขาลง รัฐบาลแม่นางโพยอยู่ในสภาพร่อแร่เต็มที หลังจากบักเหลี่ยมคนหนีคุกแสดงความกร่างเต็มบ้อง สั่งขี้ข้าให้ร่างกฎหมายทำให้คนโกงไม่ต้องติดคุกอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ ไม่ใส่ใจแยแสว่าเมืองไทยจะเป็นรัฐล้มเหลว
ทั้งๆ ที่มวลชนคนต้านรัฐบาลชุมนุมบนถนนสีลม มวลชนสามเสนเดินผ่าเมืองไปสักการะวัดพระแก้ว และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขี้ข้าบักเหลี่ยมในสภาฯ ยังเดินหน้าประชุมผ่านวาระ 3 แก้ไขมาตรา 190 เปิดทางให้นักการเมืองขายชาติได้ง่ายๆ
เมื่อมีรุ่ง ก็ต้องมีร่วง ไม่มีผู้นำรัฐบาลคนไหนอยู่นานจนชาวบ้านไม่เบื่อหน่าย เมื่อรัฐบาลนางคางแหลมทำหน้าซื่อตาใส ท่องคาถาปรองดอง ให้คนก้าวข้ามความขัดแย้ง ให้บ้านเมืองเดินหน้า ชาวบ้านฟังแล้วรู้สึกเอียนสุดๆ
ก่อนหน้านั้นพร่ำร้อง “มีอะไรให้ไปพูดในสภาฯ” “พร้อมจัดเวทีให้” แต่นั่นเป็นเพียงการผายลมทางปาก เมื่อฝ่ายค้านโดนปิดปากตัดตอนซ้ำซาก ขี้ข้าบักเหลี่ยมใช้วิธีปิดอภิปราย อาศัยเสียงข้างมากผ่านร่างกฎหมายเมินเสียงค้าน
พวกขี้ข้าการเมือง ข้าราชการแต่สวมบทขี้ข้าทักษิณ ตำรวจ เริ่มรู้สึกสัญญาณความไม่แน่นอนของอำนาจ ฐานเริ่มคลอนแคลน เมื่อมวลชนต้านแผ่ขยายไปทั่วประเทศ กลัวว่ายุคทองของการโกงจะถึงวาระสุดท้ายในอีกไม่ช้า
ยิ่งมีสัญญาณชัดว่าเวรกรรมไล่บี้มาคิดบัญชีในอีกไม่กี่วันนี้ ขี้ข้าตัวเอ้เริ่มเก็บตัวสงบปากสงบคำ ไม่โชว์ความอหังการ พูดจาท่าทียโสเหมือนแต่ก่อน แม้แต่สื่อต่างๆ ที่เชลียร์รัฐบาลแลกผลประโยชน์ก็เริ่มเปลี่ยนแนวการนำเสนอ
หัวหน้าตำรวจระดับต่างๆ เคยกร่างในบทขี้ข้าทักษิณไม่พูดเสียงดังวางมาดอำนาจเหมือนเดิม ตัวเอ้ในดีเอสไอ อัยการ ข้าราชการ เริ่มรับรู้กระแสกดดันเพื่อความเปลี่ยนแปลง และชะตากรรมน่าอนาถที่ตัวเองต้องเผชิญแน่
แม้แต่บักเหลี่ยมเองย่อมรู้ว่าแรงต้านมากกว่าที่ประเมินไว้ นั่นเป็นเพราะการห่างเหินจากพื้นที่ เกิดความผิดพลาดในการอ่านอารมณ์ความไม่พอใจของคนในประเทศ ฟังแต่ข้อมูลป้อยอจากขบวนการเชลียร์ “นายครับ เราเอาอยู่”
กว่าบักเหลี่ยมจะรู้ก็สายเกินไป พวกโฆษก ฆ้องปากแตก เคยตอบโต้ เยาะเย้ยถากถางฝ่ายตรงข้าม เอาสีข้างเข้าถู ก็รู้เช่นกันว่าลูกเล่นไม่ลื่นไหล จะถอนร่างกฎหมายโกงไม่ผิดชาวบ้านคงไม่ยอม เมื่อเข้าสู่วาระการขับไล่แล้ว
เมื่อบักหน้าเหลี่ยมแก้เกมตัดกระแสพลังขับไล่ไม่ได้ แม่นางคางแหลมก็ต้องใช้น้ำตาผสมมารยาหญิงออดอ้อนขอโอกาส ไม่สำนึกว่าอยู่รอดนานกว่า 2 ปีโดยไม่บริหาร ไม่รับผิดชอบ อาศัยการลอยตัวหนีปัญหานั้นเป็นความอัปยศ
บักเหลี่ยมไม่เคยจดจำประวัติศาสตร์ผลของความอหังการ การดิ้นรนอยากกลับบ้านโดยที่ตัวเองก็รู้ว่าไม่มีวันจะกลับมาได้ จึงใช้วิธีล้างแค้นแผ่นดินเกิด สั่งขี้ข้าให้ปล้นบ้านเมือง ทำลายเกษตรกรรมข้าว สร้างหนี้สินมหาศาล
ถึงเวลาเวรกรรมไล่บี้เช็กบิลแล้ว ถ้ากระบวนการทวงคืนบาปยังเดินหน้า รัฐบาลนางโพยคางแหลมน่าจะเผชิญชะตากรรมน่าอนาถในอีกไม่เกินสัปดาห์จากนี้ หรือแรงกดดันจากมวลชนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนสิ้นสุดอำนาจชั่วร้าย
พลังของการเอาคืนอำนาจธรรมนั้นรุนแรงเพื่อเปิดทางไปสู่การปฏิรูปประเทศ คนดีจะทวงคืนพื้นที่และอำนาจเพื่อฟื้นฟูชาติให้คนดีอาศัยเท่านั้น