ก่อนอื่นต้องถือว่าการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ในการจัดการชุมนุมต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่สามเสนในตอนแรกนั้นสร้างความสั่นสะเทือนให้กับรัฐบาลและสังคมไทยได้ไม่น้อย ถนนทุกสายที่ไม่เห็นด้วยกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมหลั่งไหลมารวมกันเป็นถนนสายใหญ่ที่สถานีรถไฟสามเสน
ทุกคนมาด้วยความหวังว่าด้วยศักยภาพของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีคะแนนเสียงกว่า 10 ล้านเสียงจะเป็นศูนย์กลางในการหยุดยั้ง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้ถ้าพรรคประชาธิปัตย์คิดจะสู้ให้สุดซอยย้อนรอยที่ทักษิณ ชินวัตรต้องการที่จะล้างผิดตัวเองให้สุดซอย ชั่วโมงนี้ต้องยอมรับว่าไม่มีใครมีความพร้อมที่จะเป็นหัวหอกในการหยุดระบอบทักษิณเท่ากับพรรคประชาธิปัตย์อีกแล้ว
นี่ยังไม่นับปัจจัยที่กลุ่มคนเสื้อแดงหลายกลุ่มที่เริ่มเสียงแตก สื่อหัวใจสีแดงหลายสื่อก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับทักษิณในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นปรากฏการณ์สหบาทาทักษิณที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่ายในรอบเกือบสิบปีที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ได้ปล่อยโอกาสทองในการยับยั้ง พ.ร.บ.นิรโทษฯให้หลุดมือไปด้วยแนวคิดอนุรักษ์นิยมของตัวเอง โดยไม่ยอมทุบหม้อข้าวยกพรรคลาออกจาก ส.ส. มานำมวลชนสู้ตั้งแต่แรก ทำให้สภาไม่สามารถไปต่อได้ ไม่ต้องมารอจนผ่านถึงวาระ 3 เหมือนเมื่อครั้งที่เคยบอยคอตการเลือกตั้งจนทักษิณไปไม่เป็นมาแล้วต้องจ้างพรรคเล็กมาลงเลือกตั้งกระทั่งส่งผลให้พรรคไทยรักไทยในครั้งนั้นโดนยุบพรรคไปในที่สุด
กลับกลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบรัฐสภาในการผ่าน พ.ร.บ.ฉบับนี้ ถึงแม้จะเป็นฝ่ายคัดค้านก็ตาม ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงเสียงก็ไม่มีทางสู้ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจปักหลัก ประชาชนในภาคส่วนต่างๆที่นอกเหนือจากมวลชนของพรรคก็พร้อมใจทยอยกันเข้ามาสมทบ ทุกคนต่างมุ่งหวังในจุดเดียวกันอย่างน้อยก็จุดหนึ่งนั่นก็คือการหยุด พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหอกในการยับยั้งให้ได้
ยิ่งพรรคเพื่อไทยหักดิบผ่านวาระสามในคืนเดียวกับที่การชุมนุมที่สถานีรถไฟสามเสนลงหลักปักฐาน ปฏิกิริยาของมวลชนจึงยิ่งมาถึงจุดที่ต้องการยุทธวิธีที่เด็ดขาดในการยับยั้ง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้ได้ ทุกคนฝากความหวังไว้กับแกนนำจากพรรคประชาธิปัตย์ ทีวีทุกช่องถ่ายทอดเวทีสามเสนเพื่อกระจายข่าวสารให้ประชาชนทั่วประเทศเตรียมพร้อม
ทุกคนรอคอยว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมีไม้เด็ดอะไรออกมา ยกระดับการชุมนุม? ลาออกจาก ส.ส.แล้วระดมมวลชนถึงที่สุด? สิ่งที่ผ่านสายตาคนทั้งประเทศที่รอคอยผู้นำด้วยความหวังกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง มีแต่กล่าวถึงโทษของ พ.ร.บ.ฉบับนี้เหมือนกับที่อภิปรายในสภา ปราศัยให้ประชาชนไปฝากความหวังกับสภาสูงที่วุฒิสมาชิกที่ไม่เห็นด้วยมีเสียงข้างน้อยให้สู้ต่อ และพูดไปถึงการเลือกตั้งว่าให้เลือกพรรคเลือกคนที่ดีกว่าซึ่งก็คงจะหมายถึงพรรคตัวเอง
กล่าวคือม็อบสามเสนนั้นไม่ต่างอะไรกับ “เวทีผ่าความจริง” ที่เอามาตั้งใหม่ที่สถานีรถไฟสามเสนก็เท่านั้น
คนที่เป็นสาวกพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้แต่รู้สึกฮึกเหิมปลาบปลื้มว่าม๊อบจุดติดแล้ว มองกันอยู่แค่นี้จริงๆ แต่คนที่เขาเข้ามาร่วมด้วยโดยหวังพึ่งพลังจากพรรคประชาธิปัตย์ยังหาคำตอบจากแกนนำที่ปราศรัยบนเวทีไม่ได้เลยว่าแล้วยังไงต่อ? นึกว่ามาฟังเวทีหาเสียง หลายคนคิดว่ามาดูท่าทีก็รู้แล้วว่าเสียเวลาสู้กลับไปม็อบอุรุพงษ์ต่อดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่มีนักการเมืองปราศรัย
ส่วนคนที่รู้ทางพรรคประชาธิปัตย์ดีอยู่แล้วก็ได้แต่บ่นว่าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์ยังคงเล่นการเมืองแบบเดิม ทั้งๆที่มีโอกาสในการเป็นหัวหอกที่จะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองและเข้าถึงใจของประชาชนที่เขาพร้อมจะมาร่วมสู้ได้
หลายคนคิดว่า พรรคประชาธิปัตย์กลัวตกขบวนและกลัวว่าจะโดนหาว่าพูดแล้วไม่ทำ ก็เลยทำแบบครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้แทน
แม้แต่คอลัมนิสต์ชื่อดังอย่างเปลวสีเงิน ที่เชียร์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูขนาดที่ตราหน้าคนที่รู้ทันพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นขี้ข้าทักษิณ ก็คงจะได้เสียสุนัขอีกครั้ง(หลังจากที่เสียมาแล้วหลายครั้งจนเผลอไปเลียขานายสุวัฒน์ ลิปตพัลลภผ่านทางคอลัมน์บ่อยๆ) จากการที่เชียร์แบบไม่ลืมหูลืมตาจนแม้แต่ตัวเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้เช่นกันว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรจะทำอย่างไร
อันที่จริงถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่คิดเอาแต่ได้จะให้คนอื่นเหนื่อยแทนแล้วตัวเองรอเปลี่ยนขั้วหรือหวังจะเลือกตั้งใหม่แล้วให้ประชาชนเทคะแนนให้เป็นที่ตั้ง จะว่าไปพรรคประชาธิปัตย์นั้นยังมีของดีอยู่เยอะ อยู่ที่ว่าจะกล้าเอามาเปื้อนฝุ่นหรือเปล่า?
ยังไม่สายหากพรรคประชาธิปัตย์อย่างน้อยจะทิ้งไพ่ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากหัวหน้าพรรคและ ส.ส. มานำม็อบและยกระดับการชุมนุมให้เข้มข้น ให้พร้อมจะสู้ตายในทุกกรณีถ้าสถานการณ์พาไป พร้อมจะเป็นการยกระดับสู่การล้มรัฐบาลเพราะความชอบธรรมไม่เหลือแล้ว แค่นายอภิสิทธิ์คนเดียวก็พอไม่ถึงกับต้อง ส.ส.ทั้งพรรคก็ได้ เพราะนายอภิสิทธิ์คือสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ในยุคปัจจุบัน
ถ้านายอภิสิทธิ์ นำม็อบด้วยตัวเอง ภาพความขี้ขลาดผู้ดีตีนแดงดีแต่พูดของนายอภิสิทธิ์ก็จะหายไป กลายเป็นภาพผู้นำมวลชนคนใหม่ที่พร้อมจะนำประชาชนลุกขึ้นสู้กับความไม่ถูกต้อง ยังไม่ต้องถึงขั้นปฏิรูปการเมืองก็ได้อย่างน้อยก็ในจุด พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้ ส่วนนายสุเทพ เทือกสุบรรณก็เก็บไว้เป็นผู้ทรงอิทธิพลของพรรค เอาไว้ประสานกับทหารต่อไป นายหัวชวน หรือนายกรณ์ก็เก็บไว้เป็นนายกสำรองหากมีเหตุเปลี่ยนแปลง
หรือหากอยากจะได้ใจคนทั้งประเทศทุกกลุ่มก็ต้องชูธงปฏิรูปประเทศไทย ประกาศเอา ปตท.คืนมาเป็นของรัฐเพื่อประชาชน ประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกและเรียกร้องให้ทหารรักษาอธิปไตยกรณีเขาพระวิหารที่จะตัดสินอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ข้อสังเกตุ และข้อเสนอแนะที่กล่าวมานี้ มาจากหลากความเห็นของผู้ที่ไปร่วมชุมนุมกับพรรคประชาธิปัตย์ที่สามเสน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มองเห็นจุดบกพร่องของตัวเอง คิดได้ และพร้อมจะปรับปรุงก็ยังไม่สายที่สามเสนจะเป็นสถานีแรกที่พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นหัวรถจักรนำขบวนของประชาชนที่รักชาติในการต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและกำจัดระบอบทักษิณ
แต่หากพรรคประชาธิปัตย์ยังคงยึดมั่นในแนวทางเดิมๆ ปลุกให้คนมาม็อบเยอะๆ ให้ความหวังนู่นนี่นั่นแต่ไม่คิดจะทำอะไร สามเสนคงจะเป็นสถานีสุดท้ายของพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคนี้ เพราะเมื่อมวลชนเห็นแล้วว่าไม่อาจพึ่งพาหาความหวังอะไรกับประชาธิปัตย์ได้ในยามวิกฤติ ในที่สุดก็จะก้าวข้ามผ่านสถานีสามเสนไปสู่ชุมทางประชาชนปล่อยให้ประชาธิปัตย์ตกขบวนไปด้วยตัวเองในที่สุด
ทุกคนมาด้วยความหวังว่าด้วยศักยภาพของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีคะแนนเสียงกว่า 10 ล้านเสียงจะเป็นศูนย์กลางในการหยุดยั้ง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้ถ้าพรรคประชาธิปัตย์คิดจะสู้ให้สุดซอยย้อนรอยที่ทักษิณ ชินวัตรต้องการที่จะล้างผิดตัวเองให้สุดซอย ชั่วโมงนี้ต้องยอมรับว่าไม่มีใครมีความพร้อมที่จะเป็นหัวหอกในการหยุดระบอบทักษิณเท่ากับพรรคประชาธิปัตย์อีกแล้ว
นี่ยังไม่นับปัจจัยที่กลุ่มคนเสื้อแดงหลายกลุ่มที่เริ่มเสียงแตก สื่อหัวใจสีแดงหลายสื่อก็แสดงความไม่เห็นด้วยกับทักษิณในเรื่องนี้ ถือว่าเป็นปรากฏการณ์สหบาทาทักษิณที่เกิดขึ้นกับทุกฝ่ายในรอบเกือบสิบปีที่ระบอบทักษิณเรืองอำนาจอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วพรรคประชาธิปัตย์ได้ปล่อยโอกาสทองในการยับยั้ง พ.ร.บ.นิรโทษฯให้หลุดมือไปด้วยแนวคิดอนุรักษ์นิยมของตัวเอง โดยไม่ยอมทุบหม้อข้าวยกพรรคลาออกจาก ส.ส. มานำมวลชนสู้ตั้งแต่แรก ทำให้สภาไม่สามารถไปต่อได้ ไม่ต้องมารอจนผ่านถึงวาระ 3 เหมือนเมื่อครั้งที่เคยบอยคอตการเลือกตั้งจนทักษิณไปไม่เป็นมาแล้วต้องจ้างพรรคเล็กมาลงเลือกตั้งกระทั่งส่งผลให้พรรคไทยรักไทยในครั้งนั้นโดนยุบพรรคไปในที่สุด
กลับกลายเป็นว่าพรรคประชาธิปัตย์เองก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบรัฐสภาในการผ่าน พ.ร.บ.ฉบับนี้ ถึงแม้จะเป็นฝ่ายคัดค้านก็ตาม ซึ่งก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงเสียงก็ไม่มีทางสู้ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อพรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจปักหลัก ประชาชนในภาคส่วนต่างๆที่นอกเหนือจากมวลชนของพรรคก็พร้อมใจทยอยกันเข้ามาสมทบ ทุกคนต่างมุ่งหวังในจุดเดียวกันอย่างน้อยก็จุดหนึ่งนั่นก็คือการหยุด พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นหัวหอกในการยับยั้งให้ได้
ยิ่งพรรคเพื่อไทยหักดิบผ่านวาระสามในคืนเดียวกับที่การชุมนุมที่สถานีรถไฟสามเสนลงหลักปักฐาน ปฏิกิริยาของมวลชนจึงยิ่งมาถึงจุดที่ต้องการยุทธวิธีที่เด็ดขาดในการยับยั้ง พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้ได้ ทุกคนฝากความหวังไว้กับแกนนำจากพรรคประชาธิปัตย์ ทีวีทุกช่องถ่ายทอดเวทีสามเสนเพื่อกระจายข่าวสารให้ประชาชนทั่วประเทศเตรียมพร้อม
ทุกคนรอคอยว่าพรรคประชาธิปัตย์จะมีไม้เด็ดอะไรออกมา ยกระดับการชุมนุม? ลาออกจาก ส.ส.แล้วระดมมวลชนถึงที่สุด? สิ่งที่ผ่านสายตาคนทั้งประเทศที่รอคอยผู้นำด้วยความหวังกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่าง มีแต่กล่าวถึงโทษของ พ.ร.บ.ฉบับนี้เหมือนกับที่อภิปรายในสภา ปราศัยให้ประชาชนไปฝากความหวังกับสภาสูงที่วุฒิสมาชิกที่ไม่เห็นด้วยมีเสียงข้างน้อยให้สู้ต่อ และพูดไปถึงการเลือกตั้งว่าให้เลือกพรรคเลือกคนที่ดีกว่าซึ่งก็คงจะหมายถึงพรรคตัวเอง
กล่าวคือม็อบสามเสนนั้นไม่ต่างอะไรกับ “เวทีผ่าความจริง” ที่เอามาตั้งใหม่ที่สถานีรถไฟสามเสนก็เท่านั้น
คนที่เป็นสาวกพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้แต่รู้สึกฮึกเหิมปลาบปลื้มว่าม๊อบจุดติดแล้ว มองกันอยู่แค่นี้จริงๆ แต่คนที่เขาเข้ามาร่วมด้วยโดยหวังพึ่งพลังจากพรรคประชาธิปัตย์ยังหาคำตอบจากแกนนำที่ปราศรัยบนเวทีไม่ได้เลยว่าแล้วยังไงต่อ? นึกว่ามาฟังเวทีหาเสียง หลายคนคิดว่ามาดูท่าทีก็รู้แล้วว่าเสียเวลาสู้กลับไปม็อบอุรุพงษ์ต่อดีกว่า อย่างน้อยก็ไม่มีนักการเมืองปราศรัย
ส่วนคนที่รู้ทางพรรคประชาธิปัตย์ดีอยู่แล้วก็ได้แต่บ่นว่าเสียดายที่พรรคประชาธิปัตย์ยังคงเล่นการเมืองแบบเดิม ทั้งๆที่มีโอกาสในการเป็นหัวหอกที่จะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองและเข้าถึงใจของประชาชนที่เขาพร้อมจะมาร่วมสู้ได้
หลายคนคิดว่า พรรคประชาธิปัตย์กลัวตกขบวนและกลัวว่าจะโดนหาว่าพูดแล้วไม่ทำ ก็เลยทำแบบครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้แทน
แม้แต่คอลัมนิสต์ชื่อดังอย่างเปลวสีเงิน ที่เชียร์อย่างสุดลิ่มทิ่มประตูขนาดที่ตราหน้าคนที่รู้ทันพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นขี้ข้าทักษิณ ก็คงจะได้เสียสุนัขอีกครั้ง(หลังจากที่เสียมาแล้วหลายครั้งจนเผลอไปเลียขานายสุวัฒน์ ลิปตพัลลภผ่านทางคอลัมน์บ่อยๆ) จากการที่เชียร์แบบไม่ลืมหูลืมตาจนแม้แต่ตัวเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้เช่นกันว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรจะทำอย่างไร
อันที่จริงถ้าพรรคประชาธิปัตย์ไม่คิดเอาแต่ได้จะให้คนอื่นเหนื่อยแทนแล้วตัวเองรอเปลี่ยนขั้วหรือหวังจะเลือกตั้งใหม่แล้วให้ประชาชนเทคะแนนให้เป็นที่ตั้ง จะว่าไปพรรคประชาธิปัตย์นั้นยังมีของดีอยู่เยอะ อยู่ที่ว่าจะกล้าเอามาเปื้อนฝุ่นหรือเปล่า?
ยังไม่สายหากพรรคประชาธิปัตย์อย่างน้อยจะทิ้งไพ่ให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ลาออกจากหัวหน้าพรรคและ ส.ส. มานำม็อบและยกระดับการชุมนุมให้เข้มข้น ให้พร้อมจะสู้ตายในทุกกรณีถ้าสถานการณ์พาไป พร้อมจะเป็นการยกระดับสู่การล้มรัฐบาลเพราะความชอบธรรมไม่เหลือแล้ว แค่นายอภิสิทธิ์คนเดียวก็พอไม่ถึงกับต้อง ส.ส.ทั้งพรรคก็ได้ เพราะนายอภิสิทธิ์คือสัญลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ในยุคปัจจุบัน
ถ้านายอภิสิทธิ์ นำม็อบด้วยตัวเอง ภาพความขี้ขลาดผู้ดีตีนแดงดีแต่พูดของนายอภิสิทธิ์ก็จะหายไป กลายเป็นภาพผู้นำมวลชนคนใหม่ที่พร้อมจะนำประชาชนลุกขึ้นสู้กับความไม่ถูกต้อง ยังไม่ต้องถึงขั้นปฏิรูปการเมืองก็ได้อย่างน้อยก็ในจุด พ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้ ส่วนนายสุเทพ เทือกสุบรรณก็เก็บไว้เป็นผู้ทรงอิทธิพลของพรรค เอาไว้ประสานกับทหารต่อไป นายหัวชวน หรือนายกรณ์ก็เก็บไว้เป็นนายกสำรองหากมีเหตุเปลี่ยนแปลง
หรือหากอยากจะได้ใจคนทั้งประเทศทุกกลุ่มก็ต้องชูธงปฏิรูปประเทศไทย ประกาศเอา ปตท.คืนมาเป็นของรัฐเพื่อประชาชน ประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลโลกและเรียกร้องให้ทหารรักษาอธิปไตยกรณีเขาพระวิหารที่จะตัดสินอีกไม่กี่วันข้างหน้า
ข้อสังเกตุ และข้อเสนอแนะที่กล่าวมานี้ มาจากหลากความเห็นของผู้ที่ไปร่วมชุมนุมกับพรรคประชาธิปัตย์ที่สามเสน ถ้าพรรคประชาธิปัตย์มองเห็นจุดบกพร่องของตัวเอง คิดได้ และพร้อมจะปรับปรุงก็ยังไม่สายที่สามเสนจะเป็นสถานีแรกที่พรรคประชาธิปัตย์จะเป็นหัวรถจักรนำขบวนของประชาชนที่รักชาติในการต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและกำจัดระบอบทักษิณ
แต่หากพรรคประชาธิปัตย์ยังคงยึดมั่นในแนวทางเดิมๆ ปลุกให้คนมาม็อบเยอะๆ ให้ความหวังนู่นนี่นั่นแต่ไม่คิดจะทำอะไร สามเสนคงจะเป็นสถานีสุดท้ายของพรรคการเมืองเก่าแก่พรรคนี้ เพราะเมื่อมวลชนเห็นแล้วว่าไม่อาจพึ่งพาหาความหวังอะไรกับประชาธิปัตย์ได้ในยามวิกฤติ ในที่สุดก็จะก้าวข้ามผ่านสถานีสามเสนไปสู่ชุมทางประชาชนปล่อยให้ประชาธิปัตย์ตกขบวนไปด้วยตัวเองในที่สุด