**ซัดกันนัวจนประชาชนหลายคนเคลิ้มไปตามๆ กัน กับบทแข็งข้อของบรรดาแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) โดยเฉพาะพวกมียศถาบรรดาศักดิ์ในรัฐบาล
ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี และส.ส.ที่ออกมาตีโพยตีพาย รับไม่ได้กับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับทะลุซอยที่ “หัวเขียง”นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการฯ รับงาน“นายใหญ่”พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาปรับแก้ถ้อยคำ
เล่นบทดราม่าพากันแสดงจุดยืนไม่ยินยอมให้ นายใหญ่ และพรรคเพื่อไทย ดันทะลุซอย เพื่อล้างผิดแถมให้กับ“มาร์ค”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และ “เทือก”สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในฐานะผอ.ศอฉ.
พร้อมตีบทหล่อไม่ขอรับการนิรโทษกรรมในฐานะแกนนำ นปช. ด้วย
แต่พอโดนซักไซ้ว่า จะยกมือโหวตสวนในวาระ 3 หรือไม่ “อำมาตย์เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมว.พาณิชย์ และแกนนำนปช. น้ำท่วมปาก เอาสีข้างแถอ้อมโลก อ้อมทะเล พูดจาไม่เต็มคำไม่ผิดกับในรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เหวง โตจิราการ - เชิดชัย ตันติศิรินทร์ - ก่อแก้ว พิกุลทอง เรื่อยไปกระทั่ง “เดอะเงาะ” วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ ที่เป็นเจ้าของร่างฉบับเดิม ช่วงแรกปากกล้าขาสั่นกันทุกคน แต่ระยะหลังเสียงอ่อยกันไปเอง ในระยะเวลาไม่กี่วัน
**เข้าอีหรอบพวกดีแต่ปาก !!
จนล่าสุดจากอวดดี บอกจะโหวตสวนกลายมาเหลือเพียงแค่ “งดออกเสียง”โดยอ้างอย่างสวยหรูว่า สาเหตุเพราะไม่เห็นด้วยกับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับทะลุซอย แต่จะให้ยกมือสวนกับพรรคเพื่อไทยเลย บรรดา ส.ส.เสื้อแดง อาจถูกมองได้ว่า เข้าข้างพรรคประชาธิปัตย์
**เป็นทางลงแบบวิน–วิน
ทั้งที่ความเป็นจริง หากสาวไส้ให้ลึกๆ การงดออกเสียงของบรรดาไพร่ในร่างอำมาตย์เหล่านี้ จะพบว่า เป็นการทำเพื่อตัวเองล้วนๆ ไม่ได้กล้ำกลืนฝืนทนจำใจแต่อย่างใด หากแต่เป็นความเต็มใจอย่างยิ่ง เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงที่จะทำให้ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญใน มาตรา 122 ที่ห้าม ส.ส. และ ส.ว. ทำหน้าที่โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์
เพราะต้องไม่ลืมว่า การยกมือสนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับทะลุซอย ที่มีเนื้อหาให้ล้างผิดทุกคดีความ ล้วนมีผลเกี่ยวข้องกับ ส.ส.เสื้อแดงโดยตรง เนื่องจากได้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ เพราะแต่ละคนต่างมีคดีความติดตัวกันเป็นหางว่าว โดยเฉพาะ “คดีก่อการร้าย”
ฉะนั้น หากทะเล่อทะล่า ไปยกมือให้อาจทำให้กฎหมายล้างโกง ตกม้าตายกันเอาง่ายๆ ด้วยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาทางแกนนำคนเสื้อแดงเองได้ไปปรึกษาทีมงานของคณะกรรมการกฤษฎีกาในวิปรัฐบาล ได้รับคำแนะนำว่า ให้ป้องกันตัวเองด้วยวิธีงดออกเสียง จึงเคาะวิธีนี้เป็นทางลง
**จึงเป็นอีกหนึ่งฉากที่แกนนำคนเสื้อสายใกล้ชิดอำนาจตีบทแตกกระจาย !!
อย่างไรก็ตาม ว่าด้วยบทแสดงละครน้ำเน่าของ ส.ส.เสื้อแดง ที่บรรดาแฟนคลับหลงเคลิ้มตามกันว่า ยึดมั่นในอุดมการณ์ ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและประชาธิปไตย วันนี้ไส้พุงในท้อง หากไม่หลับหูหลับตาเชียร์แบบไร้สติจะได้เห็นกันล่อนจ้อนว่า มีกี่เส้นกี่ขด เนื้อในแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
โดยเฉพาะเรื่อง“อุดมการณ์”ที่น่าจะเฉลยได้ชัดแล้วว่า เป็นเพียงภาพเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยเบื้องหลังแห่งผลประโยชน์ เพราะหากจะยึดมั่นเหมือนคำที่พ่นออกมาจริงๆ เหตุใดจึงไม่ลาออกจากส.ส. เพื่อแสดงให้พรรคเห็นว่า ไม่เห็นด้วยกับการล้างผิดให้ “คนสั่งฆ่า”ประชาชน
ส่วนเรื่องการคัดค้านที่อ้างว่า ส.ส.เสื้อแดงสู้หัวชนฝา ในพรรคเพื่อไทย ก็มีเพียงแต่ข่าวที่จงใจปล่อยออกมา เต็มไปด้วยนามธรรม ไม่เคยมีรูปธรรมหลักฐานออกมาให้แตะต้องได้
ปฏิกิริยาของแกนนำคนเสื้อแดง กับพรรคเพื่อไทย จึงไม่ต่างจากการซักซ้อมกันมาเพื่อเล่นให้แนบเนียน
เรื่องของเรื่องวันนี้ วัดกันตามสถานะของแกนนำคนเสื้อแดง ที่บรรดามิตรรักแฟนคลับคิดว่า มีพลังอำนาจมากภายในพรรคเพื่อไทย เป็นแค่เพียงการเข้าใจผิดกันทั้งเพ เพราะเอาเข้าจริงคนเหล่านี้ไม่ได้มีพาวเวอร์ไปต่อรองอะไรกับคนในพรรคได้เลยด้วยซ้ำ นอกจากรับการสั่งการจากนายใหญ่ เท่านั้น
ที่ทำกร่างๆ ว่ามีกำลังมวลชนคนเสื้อแดงในฐานะขวัญใจมหาชน แต่สุดท้ายหากต้องเลือกระหว่าง “นายใหญ่”กับ “แกนนำ นปช.”มวลชนย่อมวิ่งไปซุกใต้ปีกนักโทษชายมากกว่า
เห็นกันได้ชัดๆ ว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในปัจจุบันที่ยังผูกติดอยู่กับนายใหญ่ล้วนๆ
และหากขุดรากเหง้าที่มาของเสื้อแดง ล้วนแล้วเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนายใหญ่ เนื่องจากคิดว่าถูกรังแก แต่แกนนำคนเสื้อแดงเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อมีมวลชนเกิดขึ้นแล้ว
ที่สำคัญสมัยเป็นพรรคไทยรักไทย แกนนำคนเสื้อแดงแต่ละคนยังไม่มีบทบาทอะไรเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นที่มาของ “แกนนำ นปช.”จึงไม่ต่างอะไรจากการปฏิสนธิของนายใหญ่
นอกจากนี้ระยะหลังหลายคนในพรรคยังออกอาการหมั่นไส้เสียด้วยซ้ำว่า แกนนำเหล่านี้เป็นพวกหลงตัวเอง ทำกร่างทำกร้าว แต่เวลาประชุมพรรคนั่งกันเงียบกริบ ดีแต่ปล่อยข่าวโชว์หล่อกันอยู่ข้างนอก ทั้งที่เอาเข้าจริงมีเพียงหยิบมือในพรรค
เมื่อเป็นเช่นนี้การจะก้าวเท้าออกจากร่มเงานายใหญ่ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ การจะไปตั้งพรรคใหม่ขึ้นมายิ่งไม่ต้องจินตนาการ เพราะไม่มีทั้งอำนาจ ไม่มีทั้งทุน และต่อให้ขายได้ได้จำนวนเสียงมาส่วนหนึ่งก็ไม่มีใครเอา จะไปร่วมกับพรรคเพื่อไทยอีกมิวายจะถูกถีบส่ง หรือจะไปซบฝ่ายค้านยิ่งเป็นไปไม่ได้
**ทะลึ่งเดินออกไปนอกพรรคเงินทองลาภยศได้หายหมดแน่ !!
สภาวะแกนนำคนเสื้อแดงเหล่านี้ในพรรค จึงยึดโยงอยู่กับผลประโยชน์ภายในพรรค และคำบัญชาของนายใหญ่ เท่านั้น
ประเภทออกมาดิ้นๆ จะเป็นจะตายให้ได้กับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับทะลุซอย มององค์ประกอบทั้งหมดจะรู้ไส้รู้พุงว่า เป็นเพียงแค่ “ละครปาหี่”ที่สมยอมเล่นแบบเต็มใจ ทั้งนายใหญ่ และ ลูกน้อง จนน่าจะปาตุ๊กตาทองให้เป็นรางวัล
จำนนกันด้วยพยานหลักฐาน และพฤติกรรมกันล่อนจ้อน คนเสื้อแดงที่กินข้าวเป็นอาหารน่าจะตาสว่างพอมองเห็นได้ว่า ทั้ง นายใหญ่ และ แกนนำ นปช. มองพี่น้องเป็นแค่อะไรในเกมการเมือง
** ส่วนพวกกินหญ้า จะชูธงเชียร์ต่อไป ก็ไม่ว่ากระไร
ไม่ว่าจะเป็นรัฐมนตรี และส.ส.ที่ออกมาตีโพยตีพาย รับไม่ได้กับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับทะลุซอยที่ “หัวเขียง”นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ อดีต ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการฯ รับงาน“นายใหญ่”พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาปรับแก้ถ้อยคำ
เล่นบทดราม่าพากันแสดงจุดยืนไม่ยินยอมให้ นายใหญ่ และพรรคเพื่อไทย ดันทะลุซอย เพื่อล้างผิดแถมให้กับ“มาร์ค”อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และ “เทือก”สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ ในฐานะผอ.ศอฉ.
พร้อมตีบทหล่อไม่ขอรับการนิรโทษกรรมในฐานะแกนนำ นปช. ด้วย
แต่พอโดนซักไซ้ว่า จะยกมือโหวตสวนในวาระ 3 หรือไม่ “อำมาตย์เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมว.พาณิชย์ และแกนนำนปช. น้ำท่วมปาก เอาสีข้างแถอ้อมโลก อ้อมทะเล พูดจาไม่เต็มคำไม่ผิดกับในรายอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น เหวง โตจิราการ - เชิดชัย ตันติศิรินทร์ - ก่อแก้ว พิกุลทอง เรื่อยไปกระทั่ง “เดอะเงาะ” วรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ ที่เป็นเจ้าของร่างฉบับเดิม ช่วงแรกปากกล้าขาสั่นกันทุกคน แต่ระยะหลังเสียงอ่อยกันไปเอง ในระยะเวลาไม่กี่วัน
**เข้าอีหรอบพวกดีแต่ปาก !!
จนล่าสุดจากอวดดี บอกจะโหวตสวนกลายมาเหลือเพียงแค่ “งดออกเสียง”โดยอ้างอย่างสวยหรูว่า สาเหตุเพราะไม่เห็นด้วยกับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับทะลุซอย แต่จะให้ยกมือสวนกับพรรคเพื่อไทยเลย บรรดา ส.ส.เสื้อแดง อาจถูกมองได้ว่า เข้าข้างพรรคประชาธิปัตย์
**เป็นทางลงแบบวิน–วิน
ทั้งที่ความเป็นจริง หากสาวไส้ให้ลึกๆ การงดออกเสียงของบรรดาไพร่ในร่างอำมาตย์เหล่านี้ จะพบว่า เป็นการทำเพื่อตัวเองล้วนๆ ไม่ได้กล้ำกลืนฝืนทนจำใจแต่อย่างใด หากแต่เป็นความเต็มใจอย่างยิ่ง เนื่องจากต้องการหลีกเลี่ยงที่จะทำให้ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนี้ขัดต่อรัฐธรรมนูญใน มาตรา 122 ที่ห้าม ส.ส. และ ส.ว. ทำหน้าที่โดยปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์
เพราะต้องไม่ลืมว่า การยกมือสนับสนุน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับทะลุซอย ที่มีเนื้อหาให้ล้างผิดทุกคดีความ ล้วนมีผลเกี่ยวข้องกับ ส.ส.เสื้อแดงโดยตรง เนื่องจากได้ประโยชน์จากกฎหมายฉบับนี้ เพราะแต่ละคนต่างมีคดีความติดตัวกันเป็นหางว่าว โดยเฉพาะ “คดีก่อการร้าย”
ฉะนั้น หากทะเล่อทะล่า ไปยกมือให้อาจทำให้กฎหมายล้างโกง ตกม้าตายกันเอาง่ายๆ ด้วยเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน
ขณะเดียวกัน ที่ผ่านมาทางแกนนำคนเสื้อแดงเองได้ไปปรึกษาทีมงานของคณะกรรมการกฤษฎีกาในวิปรัฐบาล ได้รับคำแนะนำว่า ให้ป้องกันตัวเองด้วยวิธีงดออกเสียง จึงเคาะวิธีนี้เป็นทางลง
**จึงเป็นอีกหนึ่งฉากที่แกนนำคนเสื้อสายใกล้ชิดอำนาจตีบทแตกกระจาย !!
อย่างไรก็ตาม ว่าด้วยบทแสดงละครน้ำเน่าของ ส.ส.เสื้อแดง ที่บรรดาแฟนคลับหลงเคลิ้มตามกันว่า ยึดมั่นในอุดมการณ์ ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและประชาธิปไตย วันนี้ไส้พุงในท้อง หากไม่หลับหูหลับตาเชียร์แบบไร้สติจะได้เห็นกันล่อนจ้อนว่า มีกี่เส้นกี่ขด เนื้อในแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร
โดยเฉพาะเรื่อง“อุดมการณ์”ที่น่าจะเฉลยได้ชัดแล้วว่า เป็นเพียงภาพเบื้องหน้าที่เต็มไปด้วยเบื้องหลังแห่งผลประโยชน์ เพราะหากจะยึดมั่นเหมือนคำที่พ่นออกมาจริงๆ เหตุใดจึงไม่ลาออกจากส.ส. เพื่อแสดงให้พรรคเห็นว่า ไม่เห็นด้วยกับการล้างผิดให้ “คนสั่งฆ่า”ประชาชน
ส่วนเรื่องการคัดค้านที่อ้างว่า ส.ส.เสื้อแดงสู้หัวชนฝา ในพรรคเพื่อไทย ก็มีเพียงแต่ข่าวที่จงใจปล่อยออกมา เต็มไปด้วยนามธรรม ไม่เคยมีรูปธรรมหลักฐานออกมาให้แตะต้องได้
ปฏิกิริยาของแกนนำคนเสื้อแดง กับพรรคเพื่อไทย จึงไม่ต่างจากการซักซ้อมกันมาเพื่อเล่นให้แนบเนียน
เรื่องของเรื่องวันนี้ วัดกันตามสถานะของแกนนำคนเสื้อแดง ที่บรรดามิตรรักแฟนคลับคิดว่า มีพลังอำนาจมากภายในพรรคเพื่อไทย เป็นแค่เพียงการเข้าใจผิดกันทั้งเพ เพราะเอาเข้าจริงคนเหล่านี้ไม่ได้มีพาวเวอร์ไปต่อรองอะไรกับคนในพรรคได้เลยด้วยซ้ำ นอกจากรับการสั่งการจากนายใหญ่ เท่านั้น
ที่ทำกร่างๆ ว่ามีกำลังมวลชนคนเสื้อแดงในฐานะขวัญใจมหาชน แต่สุดท้ายหากต้องเลือกระหว่าง “นายใหญ่”กับ “แกนนำ นปช.”มวลชนย่อมวิ่งไปซุกใต้ปีกนักโทษชายมากกว่า
เห็นกันได้ชัดๆ ว่า การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงในปัจจุบันที่ยังผูกติดอยู่กับนายใหญ่ล้วนๆ
และหากขุดรากเหง้าที่มาของเสื้อแดง ล้วนแล้วเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่เรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนายใหญ่ เนื่องจากคิดว่าถูกรังแก แต่แกนนำคนเสื้อแดงเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อมีมวลชนเกิดขึ้นแล้ว
ที่สำคัญสมัยเป็นพรรคไทยรักไทย แกนนำคนเสื้อแดงแต่ละคนยังไม่มีบทบาทอะไรเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นที่มาของ “แกนนำ นปช.”จึงไม่ต่างอะไรจากการปฏิสนธิของนายใหญ่
นอกจากนี้ระยะหลังหลายคนในพรรคยังออกอาการหมั่นไส้เสียด้วยซ้ำว่า แกนนำเหล่านี้เป็นพวกหลงตัวเอง ทำกร่างทำกร้าว แต่เวลาประชุมพรรคนั่งกันเงียบกริบ ดีแต่ปล่อยข่าวโชว์หล่อกันอยู่ข้างนอก ทั้งที่เอาเข้าจริงมีเพียงหยิบมือในพรรค
เมื่อเป็นเช่นนี้การจะก้าวเท้าออกจากร่มเงานายใหญ่ ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ การจะไปตั้งพรรคใหม่ขึ้นมายิ่งไม่ต้องจินตนาการ เพราะไม่มีทั้งอำนาจ ไม่มีทั้งทุน และต่อให้ขายได้ได้จำนวนเสียงมาส่วนหนึ่งก็ไม่มีใครเอา จะไปร่วมกับพรรคเพื่อไทยอีกมิวายจะถูกถีบส่ง หรือจะไปซบฝ่ายค้านยิ่งเป็นไปไม่ได้
**ทะลึ่งเดินออกไปนอกพรรคเงินทองลาภยศได้หายหมดแน่ !!
สภาวะแกนนำคนเสื้อแดงเหล่านี้ในพรรค จึงยึดโยงอยู่กับผลประโยชน์ภายในพรรค และคำบัญชาของนายใหญ่ เท่านั้น
ประเภทออกมาดิ้นๆ จะเป็นจะตายให้ได้กับ ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับทะลุซอย มององค์ประกอบทั้งหมดจะรู้ไส้รู้พุงว่า เป็นเพียงแค่ “ละครปาหี่”ที่สมยอมเล่นแบบเต็มใจ ทั้งนายใหญ่ และ ลูกน้อง จนน่าจะปาตุ๊กตาทองให้เป็นรางวัล
จำนนกันด้วยพยานหลักฐาน และพฤติกรรมกันล่อนจ้อน คนเสื้อแดงที่กินข้าวเป็นอาหารน่าจะตาสว่างพอมองเห็นได้ว่า ทั้ง นายใหญ่ และ แกนนำ นปช. มองพี่น้องเป็นแค่อะไรในเกมการเมือง
** ส่วนพวกกินหญ้า จะชูธงเชียร์ต่อไป ก็ไม่ว่ากระไร