วานนี้ ( 31 ต.ค.) ศาลปกครองสูงสุด มีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองกลาง ที่ไม่รับคำฟ้องของ นายอนุภาพ ถิรลาภ นักวิชาการด้านโทรคมนาคม ยื่นฟ้องคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กรณีละเลยการปฎิบัติหน้าที่ ไม่ดำเนินการออกใบอนุญาตการใช้ความถี่วิทยุในย่าน 800 และ 900 เมกะเฮิร์ท ให้แก่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ เพื่อการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบ 3 จี อีกทั้งยังมีการยินยอมให้มีการบริการในเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้กำกับดูแลให้ เป็นไปตามกฎหมาย จึงขอให้ศาลปกครอง มีคำพิพากษาให้ กสทช. ดำเนินการตามหน้าที่ที่กฎหมาย กำหนดและชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่
โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ตามพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 และ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 กำหนดให้ กสทช.มีหน้าที่ในการออกใบอนุญาตใช้ความถี่ การประมูลใช้ความถี่วิทยุ การเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาต การกำหนดเงื่อนไขในใบอนุญาตที่กำหนดสิทธิและความรับผิดชอบโดยเฉพาะของผู้ให้บริการ รวมทั้งแผนงาน คุณภาพ อัตราค่าบริการ การเชื่อมต่อเครือข่าย การแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม ผู้ขอรับใบอนุญาต และผู้รับใบอนุญาตโดยตรง ซึ่งนายอนุภาพ เป็นผู้ใช้บริการ ที่ต้องมีนิติสัมพันธ์โดยตรงกับผู้รับใบอนุญาต จึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายโดยตรงจากการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวของ กสทช.
“หากนายอนุภาพ ไม่พอใจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ให้บริการโทรคมนาคม ย่อมเป็นข้อพิพาทระหว่างนายอนุภาพ กับผู้ให้บริการ ที่ต้องฟ้องผู้ให้บริการต่อศาล ไม่ใช่ฟ้อง กสทช. ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง ที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย"
ด้านนายอนุภาพ กล่าวว่า ส่วนตัวยังติดตามการควบคุมดูแลการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ของกสทช.อยู่ ว่าทั้งในเรื่องของคุณภาพ อัตราค่าบริการ การครอบคลุมพื้นที่ ว่าเป็นไปตามที่มีการยื่นขอใบอนุญาตและเป็นธรรมกับผู้บริโภคหรือไม่ และกำลังพิจารณาว่า จะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง
โดยศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า ตามพ.ร.บ.การประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2544 และ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 กำหนดให้ กสทช.มีหน้าที่ในการออกใบอนุญาตใช้ความถี่ การประมูลใช้ความถี่วิทยุ การเก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาต การกำหนดเงื่อนไขในใบอนุญาตที่กำหนดสิทธิและความรับผิดชอบโดยเฉพาะของผู้ให้บริการ รวมทั้งแผนงาน คุณภาพ อัตราค่าบริการ การเชื่อมต่อเครือข่าย การแข่งขันที่เป็นธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคม ผู้ขอรับใบอนุญาต และผู้รับใบอนุญาตโดยตรง ซึ่งนายอนุภาพ เป็นผู้ใช้บริการ ที่ต้องมีนิติสัมพันธ์โดยตรงกับผู้รับใบอนุญาต จึงไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหายโดยตรงจากการละเลยการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวของ กสทช.
“หากนายอนุภาพ ไม่พอใจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ให้บริการโทรคมนาคม ย่อมเป็นข้อพิพาทระหว่างนายอนุภาพ กับผู้ให้บริการ ที่ต้องฟ้องผู้ให้บริการต่อศาล ไม่ใช่ฟ้อง กสทช. ดังนั้นจึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องคดีนี้ต่อศาลปกครอง ที่ศาลปกครองกลางมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย"
ด้านนายอนุภาพ กล่าวว่า ส่วนตัวยังติดตามการควบคุมดูแลการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3 จี ของกสทช.อยู่ ว่าทั้งในเรื่องของคุณภาพ อัตราค่าบริการ การครอบคลุมพื้นที่ ว่าเป็นไปตามที่มีการยื่นขอใบอนุญาตและเป็นธรรมกับผู้บริโภคหรือไม่ และกำลังพิจารณาว่า จะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง
