วานนี้(23 ต.ค.56) ที่โรงแรมสุโกศล ถนนศรีอยุธยา ได้มีการแถลงข่าวแถลงข่าวการลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ภาคีเครือข่ายเสริมสร้างพลังคุณธรรมจริยธรรมของแผ่นดิน ระหว่าง 7 องค์กร ได้แก่ สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานสภาพัฒนาการเมือง สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ และสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
โดยมีผู้แทนองค์กรต่างๆเข้าร่วม อาทิ นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. นายธีรภัทร เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง นายสีมา สีมานันท์ กรรมการ ก.พ. นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความฯ นายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
นางผานิต ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ความร่วมมือครั้งนี้ว่า เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินการขับเคลื่อนพลังคุณธรรมจริยธรรมของแผ่นดินอย่างเข้มแข็งเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืน ส่งเสริมการปฎิบัติหน้าที่ของแต่ละองค์กรภาคีเครือข่ายในการเสริมสร้างพลังคุณธรรมจริยธรรมของแผ่นดินให้เป็นไปอย่างเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพและเกิดเป็นสังคมธรรมภิบาล รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในการกำกับดูแลด้านคุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนระบบเฝ้าระวังด้านคุณธรรมจริยธรรมในทุกภาคส่วนของสังคมไทย ทั้งนี้ภาคีเครือข่ายจะมีการประชุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 7 พ.ย.นี้
ขณะที่ นายวิชา กล่าวช่วงหนึ่งว่า ปัญหาของประเทศทุกวันนี้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ขาดคุณธรรมจริยธรรม และมีแนวโน้มที่ร้ายแรงขึ้นทุกขณะ หากองค์กรที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบดูแลเรื่องคุณธรรมจริยธรรมไม่ร่วมมือกัน บ้านเมืองอาจไปไม่รอด และอาจถึงยุคที่บ้านเมืองแตกสลาย ทำให้องค์กรภาคีเครือข่ายต้องร่วมกัน ปลุกจิตสำนึกของเด็ก เยาวชน และประชาชนให้ตระหนักในเรื่องนี้
นายเดชอุดม กล่าวว่า ประเทศไทยต้องการระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีรากฐานจากความยุติธรรม หากไม่มีก็ไม่ต่างจากระบอบเผด็จการ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีปัญหาที่สุดคือเรื่องของการทุจริตคอรัปชั่น อีกทั้งเยาวชนมองว่าเป็นเรื่องปกติ และกำลังขยายออกเป็นวงกว้างมากขึ้น ดังนั้นต้องสร้างหลักนิติธรรมให้เกิดขึ้น วันนี้นักการเมืองคือ นักกดขี่กฎหมาย เพราะออกกฎหมายเพื่อคนใดคนหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนกังขาไม่น้อยไปกว่าปัญหาการทุจริต ถือเป็นลางร้ายของประเทศ ซึ่งการใช้เสียงข้างมากออกกฎหมายเพื่อคนใดคนหนึ่งนั้นไม่ถูกต้องแน่ ในต่างประเทศเวลาศาลตัดสินถือว่าสิ้นสุด แต่ในประเทศไทยเมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน อาจถึงขั้นอยู่ไม่ได้ นั่นคือความแตกต่างของประเทศไทย หากทำไม่ได้ประเทศจะอยู่อันดับสุดท้ายของอาเซียนแน่นอน ทั้งนี้ทางสภาทนาย ความพยายามต่อต้านการคอรัปชั่นทุกรูปแบบ โดยจะปูพื้นฐานให้ประชาชนหวงแผ่นดิน
ด้าน นายธีรภัทร์ กล่าวเสริมว่า ในอนาคตอาจมีการขยายความร่วมมือไปยังองค์กรอื่นๆเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนพลังคุณธรรม จริยธรรมต่อไป เพราะวิกฤติปัญหาบ้านเมืองที่ผ่านมา เกิดจากการทุจริต ขาดคุณธรรมจริยธรรม บั่นทอนการพัฒนาประเทศ เชื่อความร่วมมือนี้จะช่วยปกป้องคนดีและขยายให้เกิดคนดีและองค์กรที่ดีมากขึ้น พลังขับเคลื่อนของ 7 องค์กรสำคัญนำไปสู่การเป็นประชาธิปไตยเข้มแข็งมั่นคงต่อไป เพื่อให้ได้พลเมืองที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีต่อไป
โดยมีผู้แทนองค์กรต่างๆเข้าร่วม อาทิ นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. นายธีรภัทร เสรีรังสรรค์ ประธานสภาพัฒนาการเมือง นายสีมา สีมานันท์ กรรมการ ก.พ. นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความฯ นายปริญญา ศิริสารการ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนายจักร์กฤษ เพิ่มพูล ประธานสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
นางผานิต ได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ความร่วมมือครั้งนี้ว่า เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการดำเนินการขับเคลื่อนพลังคุณธรรมจริยธรรมของแผ่นดินอย่างเข้มแข็งเป็นรูปธรรมและมีความยั่งยืน ส่งเสริมการปฎิบัติหน้าที่ของแต่ละองค์กรภาคีเครือข่ายในการเสริมสร้างพลังคุณธรรมจริยธรรมของแผ่นดินให้เป็นไปอย่างเข้มแข็ง มีประสิทธิภาพและเกิดเป็นสังคมธรรมภิบาล รวมทั้งเสริมสร้างความเข้มแข็งในการกำกับดูแลด้านคุณธรรมจริยธรรม ตลอดจนระบบเฝ้าระวังด้านคุณธรรมจริยธรรมในทุกภาคส่วนของสังคมไทย ทั้งนี้ภาคีเครือข่ายจะมีการประชุมใหญ่อีกครั้งในวันที่ 7 พ.ย.นี้
ขณะที่ นายวิชา กล่าวช่วงหนึ่งว่า ปัญหาของประเทศทุกวันนี้มีการทุจริตคอร์รัปชั่น ขาดคุณธรรมจริยธรรม และมีแนวโน้มที่ร้ายแรงขึ้นทุกขณะ หากองค์กรที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบดูแลเรื่องคุณธรรมจริยธรรมไม่ร่วมมือกัน บ้านเมืองอาจไปไม่รอด และอาจถึงยุคที่บ้านเมืองแตกสลาย ทำให้องค์กรภาคีเครือข่ายต้องร่วมกัน ปลุกจิตสำนึกของเด็ก เยาวชน และประชาชนให้ตระหนักในเรื่องนี้
นายเดชอุดม กล่าวว่า ประเทศไทยต้องการระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์โดยมีรากฐานจากความยุติธรรม หากไม่มีก็ไม่ต่างจากระบอบเผด็จการ ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยมีปัญหาที่สุดคือเรื่องของการทุจริตคอรัปชั่น อีกทั้งเยาวชนมองว่าเป็นเรื่องปกติ และกำลังขยายออกเป็นวงกว้างมากขึ้น ดังนั้นต้องสร้างหลักนิติธรรมให้เกิดขึ้น วันนี้นักการเมืองคือ นักกดขี่กฎหมาย เพราะออกกฎหมายเพื่อคนใดคนหนึ่งซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนกังขาไม่น้อยไปกว่าปัญหาการทุจริต ถือเป็นลางร้ายของประเทศ ซึ่งการใช้เสียงข้างมากออกกฎหมายเพื่อคนใดคนหนึ่งนั้นไม่ถูกต้องแน่ ในต่างประเทศเวลาศาลตัดสินถือว่าสิ้นสุด แต่ในประเทศไทยเมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน อาจถึงขั้นอยู่ไม่ได้ นั่นคือความแตกต่างของประเทศไทย หากทำไม่ได้ประเทศจะอยู่อันดับสุดท้ายของอาเซียนแน่นอน ทั้งนี้ทางสภาทนาย ความพยายามต่อต้านการคอรัปชั่นทุกรูปแบบ โดยจะปูพื้นฐานให้ประชาชนหวงแผ่นดิน
ด้าน นายธีรภัทร์ กล่าวเสริมว่า ในอนาคตอาจมีการขยายความร่วมมือไปยังองค์กรอื่นๆเพื่อร่วมกันขับเคลื่อนพลังคุณธรรม จริยธรรมต่อไป เพราะวิกฤติปัญหาบ้านเมืองที่ผ่านมา เกิดจากการทุจริต ขาดคุณธรรมจริยธรรม บั่นทอนการพัฒนาประเทศ เชื่อความร่วมมือนี้จะช่วยปกป้องคนดีและขยายให้เกิดคนดีและองค์กรที่ดีมากขึ้น พลังขับเคลื่อนของ 7 องค์กรสำคัญนำไปสู่การเป็นประชาธิปไตยเข้มแข็งมั่นคงต่อไป เพื่อให้ได้พลเมืองที่มีคุณธรรมจริยธรรมที่ดีต่อไป