**นับเป็นเรื่องน่าเศร้าของประเทศไทย พ.ศ.2556 ที่เวลาจะพูดถึงคนดีมีความซื่อสัตย์ แทบจะยกตัวอย่างผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองไม่ได้ต้องย้อนยุคกันไปถึงการใช้โอกาสงานรำลึก 100 ปีชาตกาล “อ.ป๋วย อึ๊งภากรณ์”ที่ได้รับความเชื่อถือยกย่องว่าเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์สุจริตและต่อต้านการคอร์รัปชัน
โดยใช้โอกาสนี้ “ฉีกโครงการจำนำข้าว”เน่าเฟะของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ยิ่งลักษณ์มั่ว” อย่างชนิดที่เรียกว่าฉีกเป็นริ้วๆ เย็บต่อกันไม่ติดเลยทีเดียว
แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับความล้มเหลวในโครงการจำนำข้าวรวมถึงความเสียหายและยอดเงินที่ใช้อย่างมหาศาลจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง แต่การตอกย้ำปักหมุดซ้ำๆ ไปที่แผลสดของรัฐบาล ก็ทำให้เลือดยังไหลออกไม่หยุดมาจนถึงวันนี้
แม้ว่า กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง จะปากกล้าขาสั่นออกมาใช้ความล้มละลายทางความน่าเชื่อถือของตัวเอง ตอบโต้ “หม่อมอุ๋ย”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุลฯ เกี่ยวกับการคำนวณตัวเลขขาดทุนที่ยืนกระต่ายขาเดียวว่า 2 ปีไม่ได้ขาดทุน 4.2แสนล้านบาท ตามปากของหม่อมอุ๋ย
แถมยังกล้าใช้หนังหน้าตัวเองการันตีว่า หม่อมอุ๋ย เข้าใจคลาดเคลื่อน ว่าไปถึงขั้นนักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้เรียนบัญชีจึงไม่รู้เรื่องการหักกลบลบหนี้กันเลยทีเดียว
แต่ที่ตลกก็คือ คนมีตัวเลขในมืออย่าง กิตติรัตน์ ที่ถนัดแต่โกหกหน้าด้านๆ กลับไม่สามารถชี้แจงตัวเลขที่แท้จริงของการขาดทุนจำนำข้าวได้ แม้แต่การใช้เงินในโครงการนี้ซึ่งมีตัวเลขจากธ.ก.ส.โผล่มายืนยันว่าใช้ไปแล้วถึง 7.6 แสนล้านบาทไม่รวมค่าบริหารจัดการราว 9 หมื่นล้านบาท
**เท่ากับแค่ 2 ปี ผลาญภาษีประชาชนบนข้ออ้างว่า “ให้ชาวนาเถอะค่า”ถึงกว่า 8 แสนล้านบาท และกำลังจะถลุงต่อจากการเปิดรับจำนำรอบปัจจุบันอีก 2.7 แสนล้าน ทำให้โครงการนี้โครงการเดียวใช้เงินแผ่นดินกว่าล้านล้านบาท โดยเงินไปถึงชาวนาประมาณ 30-40 % ของเงินที่ใช้ไปทั้งหมดเท่านั้น
เห็นได้ว่าเงินรั่วไหลไปกับการโกงจนเพลิน ที่มีนักวิชาการให้ฉายาโครงการจำนำข้าวว่า“เป็นนวัตกรรมการโกงรูปแบบใหม่”ถึงอย่างน้อย 69% แต่รัฐบาลยังดันทุรังทำต่อ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ากำลังเดินเข้าสู่ทางตัน และยังมีบ่วงคอยรัดคอแน่นขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
**จำนำข้าวจึงไม่มีอนาคต มีแต่นับถอยหลัง รอวันที่จะถึงจุดจบว่าจะเอวังลงเมื่อไร
เพราะในฤดูกาลนี้ยังหาเงิน 2.7 แสนล้านบาทมาทำโครงการต่อไม่ได้ แต่รัฐบาลยังย่ามใจ คิดว่ามีสื่อหลักในมือพูดกำหนดทิศทางประเทศได้ คนไทยจะเชื่อหมด ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดพลาดเพราะโลกยุคปัจจุบันไม่เหมือนในอดีตที่คนชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ แต่มันเป็นโลกแห่งความเป็นจริง ที่ต้องอ้างอิงกันด้วยหลักฐานและสามารถค้นหาข้อมูลกันได้แค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัส
ยิ่งไปกว่านั้น คือ“อาการถังแตก”ที่รัฐบาลไม่ยอมรับนั้นชาวนาคือผู้ที่รู้ดีที่สุด เพราะได้ใบประทวนมาตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วป่านนี้ยังไม่ได้เงิน ไม่เรียกว่ารัฐบาลหมดตูดแล้วจะเรียกว่าอะไร
**ดังนั้นที่รัฐบาลคิดว่าจะเดินหน้าต่อเพื่อซื้อใจชาวนานั้น สุดท้ายจะเป็นการประจานตัวเองว่าหลอกลวงและใช้ชาวนาเป็นใบเบิกทางในการทุจริตอย่างมโหฬารมากขึ้น
ถึงขนาด ประเสริฐ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทยออกโรงฟันธงว่า ตอนนี้ชาวนารู้แล้วว่ารัฐบาลหมดเงินรับจำนำข้าวพร้อมเรียกร้องว่าชาวนาต้องการให้รัฐบาลเปลี่ยนนโยบายจาก “จำนำ”จนเจ๊งมาเป็น “ประกันรายได้”โอนเงินส่วนต่างเข้าบัญชีชาวนาโดยตรงเหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์แทน
งานนี้ จึงต้องเรียกว่าบูมเมอแรงยิ่งขว้างแรงก็ยิ่งกลับย้อนมาหาตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะโครงการนี้เขาเตือนกันจนปากจะฉีกไปถึงก้นว่ามันจะเจ๊งมหาศาลจนฉุดสถานะการคลัง แต่คนอัจฉริยะ อย่างนักโทษหนีคดี หาได้นำพาไม่ ยังคงยืนยันอย่างภาคภูมิว่า “โครงการนี้ผมคิดเองคนเดียวให้คิดใหม่กี่ครั้งก็เลิกไม่ได้”
แน่ล่ะจะมีโครงการไหนกินอิ่มได้เท่ากับโครงการจำนำข้าว ที่รัฐเป็นผู้ซื้อรายใหญ่มาขายขาดทุนโดยขาดความโปร่งใสตรวจสอบไม่ได้ ของแบบนี้จะไม่ให้นักโทษหนีคดีชอบได้อย่างไร แต่ความมูมมามที่มาพร้อมความโลภมากเกินไปมักจะย้อนกลับมาทำลายตัวเองเสมอ
เฉกเช่นเดียวกับโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้ว่าจะรู้อยู่ว่าไปไม่รอด และเตรียมทางถอยเอาไว้ว่าจะเลิกทำเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแต่ปากก็ยังไม่อยากหุบ เพราะท้องไม่เคยรู้จักคำว่า “อิ่ม” เลยคิดทำจำนำทิ้งทวน หวังได้ทั้งเงินและเสียงจากชาวนา อย่างไรก็ตามจากรูปการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะแห้วทั้งสองอย่างมากกว่า
เพราะในฤดูกาลนี้เอาแค่เงินที่จะใช้จ่ายยังหาไม่ได้ จะไปบีบคอธ.ก.ส. ก็ดูเหมือนว่าผู้บริหารยังมีความเข้มแข็งมากพอที่จะโอนอ่อนตามการเมืองจนกระทบกับสถานะทางการเงินของธนาคาร การจะให้ ธ.ก.ส.สำรองจ่ายไปก่อนเหมือนสามฤดูกาลที่แล้ว จึงเป็นเรื่องยาก
งานเลยเข้ากระทรวงการคลังกับกระทรวงพาณิชย์ที่ยังเถียงกันไม่เลิกว่าใครจะหาเงินมาทำโครงการต่อ ระหว่างเร่งระบายข้าวกับก่อหนี้เพิ่มเพื่อมาโปะจำนำ
**และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ ยิ่งลักษณ์ต้องออกมาโกหกหน้าตาย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นว่า การระบายข้าวไม่มีปัญหาไทยกำลังจะขายข้าวให้จีนได้ถึง 5 ล้านตัน ภายใน 5 ปี ทั้งๆที่ความจริงไทยขายให้จีนจริงเพียงแค่ 1 ล้านตันภายใน 5 ปีเท่านั้น
ที่สำคัญคือข้าวที่จีนซื้อ ไม่ได้ซื้อจากรัฐบาล แต่ซื้อจากเอกชน ส่วนที่มีการลงนามระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล 6 ฉบับในวันที่นายกรัฐมนตรีจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทยนั้น ไม่มีแม้แต่ฉบับเดียวที่เกี่ยวกับข้าว นอกจากสัญญาที่เอกชนไทยกับจีนเท่านั้น
โดยมีการเผยแพร่ข้อตกลงไทย-จีน 6 ฉบับ ที่ลงนามในระหว่างนายกรัฐมนตรีหลีเค่อเฉียง เยือนไทยโดยสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีนไว้ตามลำดับการลงนามแบ่งเป็นสองส่วนคือ ระหว่างรัฐบาลจีนกับรัฐบาลไทย 6 ฉบับนั้น
**ไม่มีแม้แต่ฉบับเดียวที่จะเป็นการลงนามว่ารัฐบาลจีนจะซื้อข้าวจากรัฐบาลไทยในลักษณะรัฐต่อรัฐ อย่างที่ยิ่งลักษณ์ นำมาอ้าง
แถมยังโม้ลับหลังนายกจีนฯไปถึงขั้นว่า จีนจะซื้อปีละ 1 ล้านตัน 5 ปี 5 ล้านตัน แต่พอนักข่าวซักรายละเอียดก็กลายเป็น “หนูไม่รู้”ท่องแค่สองคำคือ ลงนามแล้ว ทำจีทูจี ส่วนรายละเอียดอื่นไปถามกระทรวงพาณิชย์นะค๊า
จากการตรวจสอบการลงนามความตกลงระหว่าง 2 ประเทศ ณ ห้องสีฟ้า ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล เวลา 18 นาฬิกา วันที่ 11 ตุลาคม 2556 พบว่าเป็นความร่วมมือกว้างๆ เกี่ยวกับด้านคมนาคม หุ้นส่วนทางวิทยาศาสตร์ ความร่วมมือทางทะเลความร่วมมือด้านการศึกษา ด้านพลังงาน และการส่งเสริมการลงทุน เท่านั้นไม่มีการลงนามระหว่างรัฐต่อรัฐ เรื่องข้าวเลยแม้แต่น้อย
แล้วยิ่งลักษณ์ไปเอาเรื่องการลงนาม MOU ข้าวมาจากไหน ก็ต้องบอกว่างานนี้ปล้นเอกชนกันซึ่งหน้า เพราะไอ้ที่ลงนามซื้อข้าว 1 ล้านตันภายใน 5 ปีนั้น ทางฝ่ายรัฐวิสาหกิจของจีนเขาซื้อกับสมาคมส่งออกข้าวไทยต่างหาก
หากพิจารณารายละเอียดที่นายกฯจีน พูดถึงการซื้อข้าวก็จะเห็นชัดเจนว่า ไม่มีคำพูดว่าเป็นการซื้อระหว่างรัฐต่อรัฐ ออกมาแม้แต่คำเดียว นอกจากว่าจีนจะซื้อข้าว 1 ล้านตันภายใน 5 ปีเท่านั้น จึงยิ่งชัดเจนว่า สิ่งที่ หลีเค่อเฉียง พูดนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ แต่เป็นการซื้อข้าวจากเอกชนไทย
แต่ยิ่งลักษณ์ก็ยังหน้าด้านมากพอที่จะนำมาอ้างว่า เป็นการซื้อข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐ ถ้าหากเธอไม่จงใจปล้นผลงานเอกชนไปเป็นของตัวเองแล้วเธอคงมีปัญหาเรื่องสมองอย่างรุนแรงจึงได้เข้าใจผิดไปถึงขนาดว่าเอ็มโอยู ที่ลงนามระหว่างรัฐต่อรัฐมีเรื่อง “ข้าว” ทั้งๆ ที่ไม่มีเหมือนที่เคยหลุดปากบอกนักข่าวว่า “เรือดำน้ำ”ผ่านครม.แล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีการพิจารณาวาระดังกล่าว
คำโกหกอาจจะกลบเกลื่อนความจริงได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้ สุดท้ายหางก็จะโผล่ และยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ที่คิดว่าจะต่อทายาทกันถึงรุ่นสี่ รุ่นห้า ให้คนโกงข้อสอบได้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น คงจะเป็นได้แค่ “ฝันเปียก”ของนักโทษหนีคดี
**แต่ของจริงคือ จุดจบจำนำข้าวจะเป็นจุดจบของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพรรคการเมืองของทักษิณ
โดยใช้โอกาสนี้ “ฉีกโครงการจำนำข้าว”เน่าเฟะของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ยิ่งลักษณ์มั่ว” อย่างชนิดที่เรียกว่าฉีกเป็นริ้วๆ เย็บต่อกันไม่ติดเลยทีเดียว
แม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับความล้มเหลวในโครงการจำนำข้าวรวมถึงความเสียหายและยอดเงินที่ใช้อย่างมหาศาลจะไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมือง แต่การตอกย้ำปักหมุดซ้ำๆ ไปที่แผลสดของรัฐบาล ก็ทำให้เลือดยังไหลออกไม่หยุดมาจนถึงวันนี้
แม้ว่า กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง จะปากกล้าขาสั่นออกมาใช้ความล้มละลายทางความน่าเชื่อถือของตัวเอง ตอบโต้ “หม่อมอุ๋ย”ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุลฯ เกี่ยวกับการคำนวณตัวเลขขาดทุนที่ยืนกระต่ายขาเดียวว่า 2 ปีไม่ได้ขาดทุน 4.2แสนล้านบาท ตามปากของหม่อมอุ๋ย
แถมยังกล้าใช้หนังหน้าตัวเองการันตีว่า หม่อมอุ๋ย เข้าใจคลาดเคลื่อน ว่าไปถึงขั้นนักเศรษฐศาสตร์ไม่ได้เรียนบัญชีจึงไม่รู้เรื่องการหักกลบลบหนี้กันเลยทีเดียว
แต่ที่ตลกก็คือ คนมีตัวเลขในมืออย่าง กิตติรัตน์ ที่ถนัดแต่โกหกหน้าด้านๆ กลับไม่สามารถชี้แจงตัวเลขที่แท้จริงของการขาดทุนจำนำข้าวได้ แม้แต่การใช้เงินในโครงการนี้ซึ่งมีตัวเลขจากธ.ก.ส.โผล่มายืนยันว่าใช้ไปแล้วถึง 7.6 แสนล้านบาทไม่รวมค่าบริหารจัดการราว 9 หมื่นล้านบาท
**เท่ากับแค่ 2 ปี ผลาญภาษีประชาชนบนข้ออ้างว่า “ให้ชาวนาเถอะค่า”ถึงกว่า 8 แสนล้านบาท และกำลังจะถลุงต่อจากการเปิดรับจำนำรอบปัจจุบันอีก 2.7 แสนล้าน ทำให้โครงการนี้โครงการเดียวใช้เงินแผ่นดินกว่าล้านล้านบาท โดยเงินไปถึงชาวนาประมาณ 30-40 % ของเงินที่ใช้ไปทั้งหมดเท่านั้น
เห็นได้ว่าเงินรั่วไหลไปกับการโกงจนเพลิน ที่มีนักวิชาการให้ฉายาโครงการจำนำข้าวว่า“เป็นนวัตกรรมการโกงรูปแบบใหม่”ถึงอย่างน้อย 69% แต่รัฐบาลยังดันทุรังทำต่อ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่ากำลังเดินเข้าสู่ทางตัน และยังมีบ่วงคอยรัดคอแน่นขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
**จำนำข้าวจึงไม่มีอนาคต มีแต่นับถอยหลัง รอวันที่จะถึงจุดจบว่าจะเอวังลงเมื่อไร
เพราะในฤดูกาลนี้ยังหาเงิน 2.7 แสนล้านบาทมาทำโครงการต่อไม่ได้ แต่รัฐบาลยังย่ามใจ คิดว่ามีสื่อหลักในมือพูดกำหนดทิศทางประเทศได้ คนไทยจะเชื่อหมด ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดพลาดเพราะโลกยุคปัจจุบันไม่เหมือนในอดีตที่คนชนะคือผู้เขียนประวัติศาสตร์ แต่มันเป็นโลกแห่งความเป็นจริง ที่ต้องอ้างอิงกันด้วยหลักฐานและสามารถค้นหาข้อมูลกันได้แค่ใช้ปลายนิ้วสัมผัส
ยิ่งไปกว่านั้น คือ“อาการถังแตก”ที่รัฐบาลไม่ยอมรับนั้นชาวนาคือผู้ที่รู้ดีที่สุด เพราะได้ใบประทวนมาตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วป่านนี้ยังไม่ได้เงิน ไม่เรียกว่ารัฐบาลหมดตูดแล้วจะเรียกว่าอะไร
**ดังนั้นที่รัฐบาลคิดว่าจะเดินหน้าต่อเพื่อซื้อใจชาวนานั้น สุดท้ายจะเป็นการประจานตัวเองว่าหลอกลวงและใช้ชาวนาเป็นใบเบิกทางในการทุจริตอย่างมโหฬารมากขึ้น
ถึงขนาด ประเสริฐ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทยออกโรงฟันธงว่า ตอนนี้ชาวนารู้แล้วว่ารัฐบาลหมดเงินรับจำนำข้าวพร้อมเรียกร้องว่าชาวนาต้องการให้รัฐบาลเปลี่ยนนโยบายจาก “จำนำ”จนเจ๊งมาเป็น “ประกันรายได้”โอนเงินส่วนต่างเข้าบัญชีชาวนาโดยตรงเหมือนรัฐบาลอภิสิทธิ์แทน
งานนี้ จึงต้องเรียกว่าบูมเมอแรงยิ่งขว้างแรงก็ยิ่งกลับย้อนมาหาตัวเองอย่างรวดเร็ว เพราะโครงการนี้เขาเตือนกันจนปากจะฉีกไปถึงก้นว่ามันจะเจ๊งมหาศาลจนฉุดสถานะการคลัง แต่คนอัจฉริยะ อย่างนักโทษหนีคดี หาได้นำพาไม่ ยังคงยืนยันอย่างภาคภูมิว่า “โครงการนี้ผมคิดเองคนเดียวให้คิดใหม่กี่ครั้งก็เลิกไม่ได้”
แน่ล่ะจะมีโครงการไหนกินอิ่มได้เท่ากับโครงการจำนำข้าว ที่รัฐเป็นผู้ซื้อรายใหญ่มาขายขาดทุนโดยขาดความโปร่งใสตรวจสอบไม่ได้ ของแบบนี้จะไม่ให้นักโทษหนีคดีชอบได้อย่างไร แต่ความมูมมามที่มาพร้อมความโลภมากเกินไปมักจะย้อนกลับมาทำลายตัวเองเสมอ
เฉกเช่นเดียวกับโครงการจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้ว่าจะรู้อยู่ว่าไปไม่รอด และเตรียมทางถอยเอาไว้ว่าจะเลิกทำเมื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนแต่ปากก็ยังไม่อยากหุบ เพราะท้องไม่เคยรู้จักคำว่า “อิ่ม” เลยคิดทำจำนำทิ้งทวน หวังได้ทั้งเงินและเสียงจากชาวนา อย่างไรก็ตามจากรูปการณ์ที่เกิดขึ้น น่าจะแห้วทั้งสองอย่างมากกว่า
เพราะในฤดูกาลนี้เอาแค่เงินที่จะใช้จ่ายยังหาไม่ได้ จะไปบีบคอธ.ก.ส. ก็ดูเหมือนว่าผู้บริหารยังมีความเข้มแข็งมากพอที่จะโอนอ่อนตามการเมืองจนกระทบกับสถานะทางการเงินของธนาคาร การจะให้ ธ.ก.ส.สำรองจ่ายไปก่อนเหมือนสามฤดูกาลที่แล้ว จึงเป็นเรื่องยาก
งานเลยเข้ากระทรวงการคลังกับกระทรวงพาณิชย์ที่ยังเถียงกันไม่เลิกว่าใครจะหาเงินมาทำโครงการต่อ ระหว่างเร่งระบายข้าวกับก่อหนี้เพิ่มเพื่อมาโปะจำนำ
**และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ ยิ่งลักษณ์ต้องออกมาโกหกหน้าตาย เพื่อเรียกความเชื่อมั่นว่า การระบายข้าวไม่มีปัญหาไทยกำลังจะขายข้าวให้จีนได้ถึง 5 ล้านตัน ภายใน 5 ปี ทั้งๆที่ความจริงไทยขายให้จีนจริงเพียงแค่ 1 ล้านตันภายใน 5 ปีเท่านั้น
ที่สำคัญคือข้าวที่จีนซื้อ ไม่ได้ซื้อจากรัฐบาล แต่ซื้อจากเอกชน ส่วนที่มีการลงนามระหว่างรัฐบาลต่อรัฐบาล 6 ฉบับในวันที่นายกรัฐมนตรีจีนเดินทางมาเยือนประเทศไทยนั้น ไม่มีแม้แต่ฉบับเดียวที่เกี่ยวกับข้าว นอกจากสัญญาที่เอกชนไทยกับจีนเท่านั้น
โดยมีการเผยแพร่ข้อตกลงไทย-จีน 6 ฉบับ ที่ลงนามในระหว่างนายกรัฐมนตรีหลีเค่อเฉียง เยือนไทยโดยสมาคมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจไทย-จีนไว้ตามลำดับการลงนามแบ่งเป็นสองส่วนคือ ระหว่างรัฐบาลจีนกับรัฐบาลไทย 6 ฉบับนั้น
**ไม่มีแม้แต่ฉบับเดียวที่จะเป็นการลงนามว่ารัฐบาลจีนจะซื้อข้าวจากรัฐบาลไทยในลักษณะรัฐต่อรัฐ อย่างที่ยิ่งลักษณ์ นำมาอ้าง
แถมยังโม้ลับหลังนายกจีนฯไปถึงขั้นว่า จีนจะซื้อปีละ 1 ล้านตัน 5 ปี 5 ล้านตัน แต่พอนักข่าวซักรายละเอียดก็กลายเป็น “หนูไม่รู้”ท่องแค่สองคำคือ ลงนามแล้ว ทำจีทูจี ส่วนรายละเอียดอื่นไปถามกระทรวงพาณิชย์นะค๊า
จากการตรวจสอบการลงนามความตกลงระหว่าง 2 ประเทศ ณ ห้องสีฟ้า ตึกไทยคู่ฟ้าทำเนียบรัฐบาล เวลา 18 นาฬิกา วันที่ 11 ตุลาคม 2556 พบว่าเป็นความร่วมมือกว้างๆ เกี่ยวกับด้านคมนาคม หุ้นส่วนทางวิทยาศาสตร์ ความร่วมมือทางทะเลความร่วมมือด้านการศึกษา ด้านพลังงาน และการส่งเสริมการลงทุน เท่านั้นไม่มีการลงนามระหว่างรัฐต่อรัฐ เรื่องข้าวเลยแม้แต่น้อย
แล้วยิ่งลักษณ์ไปเอาเรื่องการลงนาม MOU ข้าวมาจากไหน ก็ต้องบอกว่างานนี้ปล้นเอกชนกันซึ่งหน้า เพราะไอ้ที่ลงนามซื้อข้าว 1 ล้านตันภายใน 5 ปีนั้น ทางฝ่ายรัฐวิสาหกิจของจีนเขาซื้อกับสมาคมส่งออกข้าวไทยต่างหาก
หากพิจารณารายละเอียดที่นายกฯจีน พูดถึงการซื้อข้าวก็จะเห็นชัดเจนว่า ไม่มีคำพูดว่าเป็นการซื้อระหว่างรัฐต่อรัฐ ออกมาแม้แต่คำเดียว นอกจากว่าจีนจะซื้อข้าว 1 ล้านตันภายใน 5 ปีเท่านั้น จึงยิ่งชัดเจนว่า สิ่งที่ หลีเค่อเฉียง พูดนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความตกลงระหว่างรัฐต่อรัฐ แต่เป็นการซื้อข้าวจากเอกชนไทย
แต่ยิ่งลักษณ์ก็ยังหน้าด้านมากพอที่จะนำมาอ้างว่า เป็นการซื้อข้าวระหว่างรัฐต่อรัฐ ถ้าหากเธอไม่จงใจปล้นผลงานเอกชนไปเป็นของตัวเองแล้วเธอคงมีปัญหาเรื่องสมองอย่างรุนแรงจึงได้เข้าใจผิดไปถึงขนาดว่าเอ็มโอยู ที่ลงนามระหว่างรัฐต่อรัฐมีเรื่อง “ข้าว” ทั้งๆ ที่ไม่มีเหมือนที่เคยหลุดปากบอกนักข่าวว่า “เรือดำน้ำ”ผ่านครม.แล้ว ทั้งๆ ที่ไม่มีการพิจารณาวาระดังกล่าว
คำโกหกอาจจะกลบเกลื่อนความจริงได้ชั่วคราว แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงได้ สุดท้ายหางก็จะโผล่ และยิ่งทำให้ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ติดลบมากขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ที่คิดว่าจะต่อทายาทกันถึงรุ่นสี่ รุ่นห้า ให้คนโกงข้อสอบได้เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น คงจะเป็นได้แค่ “ฝันเปียก”ของนักโทษหนีคดี
**แต่ของจริงคือ จุดจบจำนำข้าวจะเป็นจุดจบของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ และพรรคการเมืองของทักษิณ