xs
xsm
sm
md
lg

จับตาเพดานหนี้US

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วงการตลาดทุนเชื่อ ท้ายสุดสหรัฐฯขยายเพดานหนี้ได้ เพื่อหลบเลี่ยงวิกฤตร้ายแรง จนทำให้เศรษฐกิจโลกกลับเข้าสู่ภาวะชะลอตัว และมีความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตประเทศรอบที่2 โบรกเกอร์แนะนำหลีกเลี่ยงลงทุน ส่วนหุ้นไทยหากไม่ขยายเพดานหนี้ไม่ได้ เชื่อปรับตัวลดลงหนัก จากP/E ที่กลับมาอยู่ในระดับสูง 15 เท่า เข้ามาช่วยกดดัน แต่หากขยายเพดานหนี้ได้ ก็ไม่มีผลบวกต่อตลาดหุ้นมากนัก ล่าสุดปิดบวก13 จุด ขานรับความคาดหวังแผนเพดานหนี้ฉลุย
**ท้ายที่สุดหากไม่มีเงื่อนไขพิเศษเพิ่มเติมอะไรออกมา ปัญหาคาราคาซังของสหรัฐอเมริกาต่อข้อสรุปการขยายเพดานหนี้สาธารณะที่ชนระดับเพดานที่กฎหมายกำหนดอยู่ที่ 16.7 ล้านล้านเหรียญ จะต้องได้ทิศทางที่ชัดเจนในวันที่ 17ตุลาคมนี้ โดยหากสหรัฐฯมีการผิดนัดชำระหนี้ หลายฝ่ายเชื่อว่าจะสร้างความเสียหายต่อภาคธุรกิจและครัวเรือนอย่างรุนแรงกว่าซัพไพร์มที่เกิดขึ้นในปี 2551 และหลังวันที่17ต.ค.รัฐบาลสหรัฐฯจะไม่มีงบประมาณพอที่จะชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ โดยประเมินว่ากระทรวงการคลังจะมีเงินคงเหลือประมาณ 30,000 ล้านเหรียญ ขณะที่ค่าใช้จ่ายนั้นอยู่ที่ระดับ 100,000 ล้านเหรียญ/เดือน อีกทั้งมีความเสี่ยงสูงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิต จนมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม และค่าเงินดอลลาร์ของประเทศ**
สำหรับภาพรวมที่จะเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นไทยนั้น หลายฝ่ายมองว่า เมื่อ**ภาพทางการคลังและเศรษฐกิจเช่นนี้ จะกดดันธนาคารกลางหสรัฐ (เฟด) ตัดสินใจได้ลำบากในเรื่องมาตรการผ่อนปรนเชิงปริมาณ (QE) จึงมีความเป็นไปได้ว่า การลดQE อาจจะต้องถูกเลื่อนออกไปอีก หรืออาจจะต้องอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มเข้าสู่ระบบด้วยซ้ำ หากเศรษฐกิจกลับมาตกอยู่ในภาวะถดถอย** ทำให้ในภาพรวมเห็นได้ชัดเลยว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯมีแนวโน้มที่จะตกอยู่ในภาวะอ่อนแรง
**ขณะที่ประเทศไทย จากแนวโน้มที่เศรษฐกิจของสหรัฐในปี2557 อาจจะขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม กลายเป็นโจทย์ที่ท้าทายของผู้ประกอบการไทยที่จะต้องเตรียมตัวรับมือต่อความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในทุกตลาด ไม่ว่าจะเป็นตลาดเงิน ตลาดทุน และค่าเงิน**
**เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผอ.ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน)** ให้ความเห็นต่อเรื่องนี้ว่า หากสหรัฐฯไม่สามารถขยายเพดานหนี้ได้ ผลเสียที่จะตามมามีเยอะมาก เพราะงบประมาณรายจ่ายที่ทำไว้จะมีปัญหา เพราะเป็นงบประมาณแบบขาดดุล ถ้าไม่สามารถก่อหนี้ได้ การที่จะทำตามงบประมาณนั้น ก็ไม่สามารถที่จะทำได้
ประการที่สองขีดความสามารถในการชำระหนี้คืน รอบวาระจ่ายคืนพันธบัตรในรอบที่ 1 ถ้าไม่สามารถจ่ายคืนได้ ผลที่จะตามมาคืออันดับความน่าเชื่อถือ จะยังคงรักษาระดับความน่าเชื่อถือในระดับนี้ต่อไปได้อีกนานแค่ไหน จากก่อนหน้านี้ ได้ถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงมาแล้วครั้งหนึ่งแล้วโดยสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ หรือ S&P เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2554 จากระดับ AAA ลดลงมาเหลือเพียง AA+ ซึ่งครั้งก็สุ่มเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอีกครั้ง
นอกจากนี้การปรับเพดานหนี้ครั้งนี้ มีข้อที่แตกต่างจากครั้งที่ผ่านๆมา คือ ในอดีตการปรับเพดานหนี้จะไม่สูงกว่า GDP จนกระทั่งการปรับเพิ่มเพดานหนี้2ครั้งล่าสุด ในรัฐบาลนายบารัค โอบาม่า ซึ่งตัวเลขเพดานหนี้เริ่มมีอัตราที่สูงขึ้นกว่า GDP เพราะฉะนั้นจึงกลายเป็นสถานการณ์ที่ตึงเครียด อีกทั้งการปรับขึ้นแบบเฉลี่ยนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก
**“ถือเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องระวังและจับตา อีกประการหนึ่งคือ การปรับทิศทางของเม็ดเงินลงทุน ที่จะต้องหลีกเลี่ยงในเรื่องของ Dollar Asset เป็นการชั่วคราว เพราะจะสร้างความผันผวนในตลาดโลกพอสมควร ลองดูภาพง่ายๆจากการปรับลดความน่าเชื่อถือ จากการรวบรวมสถิติตัวเลขล่าสุด พบว่า ในการปรับลดลงครั้งที่แล้ว ซึ่ง10วันก่อนที่จะมีการปรับลดอันดับเครดิต กระแสเงินบาทอ่อนตัวอย่างต่อเนื่อง และดัชนีดาวโจนส์ลดลงถึง 10% และต่อมาในวันที่ประกาศจริงส่งผลให้ดัชนีในตลาดหุ้นดาวโจนส์ลดลงอีก 5.5% ต่อมาหลังจากนั้นอีก 2 เดือนเศษดัชนีแกว่งตัวผันผวนโดยรวมแล้ว ดาวโจนส์ลดลงสุทธิกว่า 7% และหากนับตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงสิ้นสุดการปรับเพดานหนี้ ประมาณ 3 เดือน ลดลงไม่ต่ำกว่า 22.5% ส่วนตลาดหุ้นไทยก็ได้รับผลกระทบปรับตัวลดลงตามไปด้วยกว่า 20% เช่นกัน”**
**กลยุทธ์การลงทุนหลังวันที่ 17 ตุลาคม**
ผอ.ฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวถึงสถานการณ์ลงทุนหลัง17ตุลาคมว่า เป็นเรื่องที่พยากรณ์ลำบาก เนื่องจากต้องรอดูผลก่อน เพราะถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ **แต่ถ้าหากมองการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ค่า P/E ของไทยสูงเกิน 15 เท่าขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ทำให้นักลงทุนต้องระมัดระวัง ซึ่งหากพิจารณาภาพความเสี่ยงเป็นกรอบ P/E ที่สูง และกรอบการปรับตัวอยู่ในสัดส่วนที่จำกัด ทำให้มองราคาหุ้น ณ ขณะนี้ พอร์ตหลักคงยังไม่แนะนำให้เพิ่มน้ำหนัก เพียงแต่ว่าถ้าจะเข้าลงทุน ต้องเป็นในลักษณะการเก็งกำไรไป**
**ในทางกลับกันถ้าหากขยายเพดานหนี้ได้ เชื่อว่าถึงจะไม่ส่งผลบวกต่อภาพรวมตลาดหุ้นมากนัก เพราะการขยายเพดานหนี้หมายความว่าเปิดโอกาสให้สหรัฐฯสามารถเปิดทางกู้หนี้ต่อขึ้นไปได้อีก และถ้ายังทำงบประมาณขาดดุลแบบนี้ไปเรื่อยๆ อาจจะต้องขยายเพดานหนี้ต่อไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าหากเลื่อนปัญหาครั้งนี้ไป ก็จะไปสร้างปัญหาให้ในครั้งหน้าแทน**
**หุ้นบวก13จุดรับสหรัฐฯเคลียร์ปัญหาจบ
ตลาดหุ้นไทย วานนี้ (15 ต.ค.) ปิดที่ระดับ 1,472.90 จุด เพิ่มขึ้น 13.06 จุด หรือ 0.89% มูลค่าการซื้อขาย 46,351.94 ล้านบาท นักวิเคราะห์ฯเผยตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นตามตลาดต่างประเทศ ทั้งตลาดในภูมิภาค-ตลาดในยุโรปต่างอยู่ในแดนบวกทั่วหน้า หลังเก็งสหรัฐฯประชุมคืนที่ผ่านมาจะได้ข้อสรุปเรื่องเพดานหนี้ หลังพรรคเดโมแครตเห็นว่าน่าจะตกลงเงื่อนไขกันได้ จึงคาดจะเจรจากันได้ก่อนครบกำหนด ทำให้ แนวโน้มการลงทุนในวันนี้(16 ต.ค.) ผลจากการเจรจาดังกล่าวจะเป็นตัวกำหนด แนวรับ 1,460 จุด แนวต้าน 1,480-1,490 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น