ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ไม่ผิดจากความคาดหมาย เมื่อนายอรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด(อสส.)คนใหม่ แถลงเมื่อวันที่ 10 ตุลาฯ ว่า อสส.มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องทักษิณ ชินวัตร ในข้อหาก่อการร้าย ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เสนอไว้ ตั้งแต่ปี 2553
โดยนายอรรถพลอ้างว่า เป็นผลงานที่นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อสส.คนเก่า ได้มีความเห็นเอาไว้ก่อนที่จะพ้นจากตำแหน่ง
นี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ตอกย้ำภาพลักษณ์การเป็นหน่วยงานขี้ข้านักการเมือง ของอัยการ ชนิดที่ยากจะลบล้างออกไปได้
ข่าวการสั่งไม่ฟ้อง นช.ทักษิณในคดีก่อการร้ายถูกปูดออกมาตั้งแต่ราว 2 สัปดาห์ก่อน โดยนายถาวร เสนเนียม ส.ส.และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากมีการร้องขอจากทนายของทักษิณให้ อสส.ทบทวนการใช้ดุลพินิจของอัยการที่เคยมีความเห็นสั่งฟ้องคดีก่อการร้ายในปี 2553 จึงได้มีการหยิบยกมาพิจารณาใหม่ และมีคำสั่งไม่ฟ้อง นช.ทักษิณไปในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ตามคำแถลงของนายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการสำนักงานคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดคนใหม่ เมื่อวันที่ 10 ต.ค. ระบุว่า สำนวนคดีที่ นช.ทักษิณ ตกเป็นผู้ต้องหาที่ 1 ร่วมกับแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อีก 24 คน กระทำผิดก่อการร้ายโดยการกระทำนั้นเกิดขึ้นภายนอกราชอาณาจักร ในการชุนนุมของ นปช.เมื่อปี 2553 นั้น นายจุลสิงห์ วสันต์สิงห์ อดีตอัยการสูงสุดได้พิจารณาพฤติการณ์แล้วมีคำสั่งไม่ฟ้อง นช.ทักษิณตามที่ดีเอสไอเสนอมา
นายนันทศักดิ์ อ้างถึงเหตุผลการสั่งไม่ฟ้อง นช.ทักษิณว่า ขณะเกิดเหตุ ทักษิณพำนักอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งการวิดีลิงก์ โฟนอิน และทวิตเตอร์ทั้งภาพและเสียงเข้ามาที่เวทีปราศรัยของ นปช.ที่มีผู้ชุมนุมประท้วงตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในพื้นที่ กทม.และต่างจังหวัด เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นการเรียกร้องประชาธิปไตยให้มีการยุบสภาตามวิถีทางระบอบประชาธิปไตย รวมทั้งโจมตีการรัฐประหาร การบริหารงานของรัฐบาลยุค พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
“โดยคำกล่าวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้เรียกร้องให้ผู้ชุมนุมทำผิดกฎหมายในการเผาศาลากลางจังหวัด สถานทูต สถานกงสุล หรือยุยุงให้ล้มล้างรัฐธรรมนูญด้วยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การเกิดเหตุรุนแรงที่แยกราชประสงค์ ก็เนื่องจากรัฐบาลใช้กำลังทหารเข้ากดดันกระชับพื้นที่ และปิดล้อมโดยใช้รถยานเกราะและอาวุธสงครามขับไล่สลายการชุมนุมกลุ่ม นปช.จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก การที่กลุ่มประท้วงได้กระจายไปตามต่างจังหวัด และมีการวางเพลิงเผาสถานที่ราชการ ศาลากลางจังหวัด 4 แห่ง หรือมีผู้ก่อความไม่สงบวางระเบิดหรือยิงอาวุธปืนร้ายแรงเข้าไปในพื้นที่ธนาคารหรือสถานที่ราชการต่างๆ นั้น ไม่มีข้อเท็จจริงเชื่อมโยงว่าเกิดจากการยุยุงสนับสนุนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ต้องหาที่ 1 ดังนั้นพยานหลักฐานจึงยังไม่พอรับฟังได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ร่วมกัน หรือใช้ให้ผู้อื่นกระทำผิด หรือสนับสนุนให้มีการกระทำผิดฐานก่อการร้าย”ความเห็นอัยการสูงสุดระบุ
อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนกลับยังเหตุการณ์“เผาบ้านเผาเมือง” ในปี 2553 ก็จะเห็นได้ชัดว่า ทักษิณเข้าไปเกี่ยวข้องทั้งในฐานะผู้อยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการให้ท่อน้ำเลี้ยง การสั่ง ส.ส.พรรคเพื่อไทยขนคนไปร่วมชุมนุม การวิดีโอลิงก์มายังเวทีปราศรัยปลุกเร้าผู้ชุมนุม และที่สำคัญแกนนำคนเสื้อแดงที่ถูกส่งฟ้องในข้อหาก่อการร้ายทั้ง 24 คน ไปตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2553 ก็ล้วนแต่เป็นคนรับใช้ใกล้ชิดของ นช.ทักษิณทั้งนั้น การทำการใหญ่ถึงขั้นระดมคนออกมาเป็นแสน ตั้งกองกำลังชุดดำถืออาวุธสงครามออกมายิงต่อสู้กับทหาร มีหรือจะทำโดยพลการโดยไม่ได้รับคำสั่งจากคนที่มีอิทธิพลสูงระดับ “นายใหญ่”
วันที่ 11 สิงหาคม 2553 ที่อัยการได้ยื่นฟ้องต่อศาลอาญานั้น นช.ทักษิณเป็นจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการสำคัญ แต่ตามหลักกฎหมายทางอัยการต้องนำตัวจำเลยมายื่นฟ้อง เมื่อ นช.ทักษิณยังหนีคดีอยู่ต่างประเทศ จึงทำให้ นช.ทักษิณยังไม่ถูกฟ้องต่อศาล และอัยการก็แช่เรื่องเอาไว้ จนกระทั่งทนายของทักษิณยื่นหนังสือร้องขอให้อัยการใช้ดุลพินิจในคดีนี้ใหม่ และนำมาสู่การสั่งไม่ฟ้องในที่สุด
นายถาวร เสนเนียม ได้ตั้งคำถามไปยัง อสส.หลังจากมีการแถลงสั่งไม่ฟ้อง นช.ทักษิณ เมื่อ 10 ต.ค.ที่ผ่านมาว่า พยานหลักฐานที่ปรากฏไม่ว่าจะเป็นวิดีโอลิงก์ การโฟนอิน ซึ่งมีทั้งเห็นภาพและได้ยินเสียง ถือเป็นพยานในลักษณะคดีชุดเดียวกันกับการกระทำของจำเลยทั้ง 24 คน ที่ถูกฟ้องอยู่ที่ศาลแล้ว อสส.ใช้เหตุผลอะไรจึงสั่งไม่ฟ้อง และคดีนี้ได้มีการตั้งคณะทำงานหรือไม่ และใครบ้างที่เป็นคณะทำงานเบื้องต้น โดยก่อนหน้านี้สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณา โดยมีนายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เป็นประธาน และสรุปความเห็นให้สั่งฟ้องทักษิณ จึงอยากถามว่าเหตุผลและข้อสรุปคณะทำงานชุดนี้คืออะไร และเหตุใดที่สั่งไม่ฟ้อง
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปตอนที่ดีเอสไอได้ตั้งข้อหาก่อการร้ายฯ แก่ นช.ทักษิณ และขอหมายจับจากศาลเมื่อปี 2553 นั้น จะเห็นว่า ศาลได้พิจารณาด้วยความรอบคอบ โดยหลังจากศาลอนุมัติหมายจับ นช.ทักษิณครั้งแรกในวันที่ 19 พ.ค.2553 แล้ว ก็ได้สั่งให้ชะลอหมายจับไว้ก่อน และพิจารณาไต่สวนใหม่ในวันที่ 24 พ.ค.2553 แล้วจึงมีคำสั่งอนุมัติหมายจับในวันถัดมา โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของดีเอสไอ ผู้ร้อง
ซึ่งประกอบด้วยพยานบุคคล 3 ปาก คือ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ รองอธิบดีดีเอสไอ และ พ.ต.ท.ถวัลย์ มั่งคั่ง พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และพยานเอกสาร รวมทั้งพยานวัตถุแล้วเห็นว่า กรณีมีหลักฐานตามสมควรว่า ผู้ต้องหาน่าจะได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 , 135/2 และ 135/3 ประกอบมาตรา 83 , 84 , 85 และ 86 จึงให้ออกหมายจับผู้ต้องหาตามขอ
วันที่ 26 พ.ค.2553 นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เมื่อครั้งที่ยังไม่เปลี่ยนสี ได้ให้สัมภาษณ์ย้ำอีกครั้งว่า การขอหมายจับคดีก่อการร้ายของทักษิณนั้น ดีเอสไอมีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ดีเอสไอเป็นหน่วยงานของรัฐไม่สามารถทำหลักฐานอันเป็นเท็จได้ ที่สำคัญตามกฎหมายของดีเอสไอ หากเจ้าหน้าที่ทำผิดเองจะต้องได้รับโทษเป็น 2 เท่า และข้อมูลหลักฐานต่างๆ ที่ได้ขอออกหมายจับ ดีเอสไอได้รับมาจากหน่วยงานด้านความมั่นคงที่มีการส่งมอบให้เป็นหลักฐานในสำนวนอย่างเป็นทางการ จึงถือว่าเป็นการได้มาโดยชอบ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดให้เป็นเท็จ
นั่นแสดงว่า ในขั้นตอนการขอออกหมายจับ นช.ทักษิณในคดีก่อการร้ายนั้น ศาลได้ไต่สวนระดับหนึ่งแล้ว จนเห็นว่าผู้ต้องหาน่าจะกระทำความผิดจริง จึงได้อนุมัติหมายจับ
ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวสารที่ปรากฏมากมาย ที่ทำให้สาธารณชนสงสัยว่า นช.ทักษิณเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์อัปยศในปี 2553
จึงควรที่อัยการจะส่งเรื่องต่อให้ศาลเป็นผู้ชี้ขาดว่า นช.ทักษิณมีความผิดจริงหรือไม่ ซึ่งหาก นช.ทักษิณเป็นผู้บริสุทธิ์ ก็สามารถพิสูจน์ตัวเองได้ในชั้นศาล
แต่หากย้อนกลับไปอ่านเหตุผลที่ อสส.สั่งไม่ฟ้อง นช.ทักษิณตามที่แถลงเมื่อวันที่ 10 ต.ค.แล้วก็จะเห็นว่า อัยการได้ทำตัวเป็นพิพากษาตัดสินให้ นช.ทักษิณพ้นจากความผิดด้วยตัวเองเสร็จสรรพ สรุปรวบรัดว่า การปราศรัยผ่านวิดีโอลิงก์ของทักษิณเป็นเพียงการเรียกร้องประชาธิปไตยและวิพากษ์วิจารณ์การทำงานรัฐบาลขณะนั้น ไม่เกี่ยวกับการสั่งการให้ก่อเหตุรุนแรงต่างๆ แถมยังโยนความผิดให้รัฐบาลขณะนั้นว่าได้ใช้รถเกราะและอาวุธเข้าไปสลายการชุมนุม จึงทำให้เกิดความรุนแรงที่แยกราชประสงค์ โดยไม่พูดถึงข้อเท็จจริงว่า ก่อนมีการสลายการชุมนุมนั้น ฝ่ายผู้ชุมนุมเป็นผู้จุดชนวนความรุนแรงมาอย่างต่อเนื่องนับแต่ต้นเดือนเมษายน 2553
การใช้ดุลพินิจของ อสส.ในการสั่งไม่ฟ้อง นช.ทักษิณครั้งนี้ จึงมีข้อสงสัยอย่างยิ่งว่าเป็นเจตนาที่จะตัดตอนให้ นช.ทักษิณพ้นจากความผิดเสียตั้งแต่ในชั้นอัยการ โดยไม่ต้องให้คดีขึ้นไปถึงชั้นศาล
และเป็นการกระทำที่หวังรางวัลชิ้นใหญ่ตอบแทน เหมือนอดีตบิ๊กอัยการคนก่อนๆ หรือไม่
นายนันทศักดิ์ พูลสุข อธิบดีอัยการสำนักงานคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุดคนใหม่ แถลงกรณีอัยการสูงสุด สั่งไม่ฟ้องทักษิณ ชินวัตร ในคดีก่อการร้าย เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา