xs
xsm
sm
md
lg

8เดือนเงินไหลออกแสนล. จับตาเก็งกำไรค่าเงิน-ทอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ภากร"ชี้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในรอบ 8 เดือนเม็ดเงินใหลออกแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท จากความตึงเครียดของ QE ส่วน "อุสราคาดหากยกเลิกก่อนกำหนด อาจสร้างแรงเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยนและทองคำ "เชาวลิต" แนะนักลงทุนเลือกกลุ่ม Real Sector ด้าน "วิน" แนะแบ่งพอร์ตกระจายความเสี่ยงลงทุนหลากหลาย

ดร.ภากร ปีตธวัชชัย รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและการเงิน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยหรือ ตลท. กล่าวในงานสัมนา "มุมมองการลงทุน ภายใต้ภาวะวิกฤติรอบบ้าน" ว่า จากสถานการณ์วิกฤติการเงินที่ผันผวนรุนแรงในตลาดทุนของประเทศไทย และตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเซีย ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ตั้งแต่เดือนมกราคมจนถึงสิงหาคมที่ผ่านมา มีเงินทุนใหลออกจากตลาดหุ้นไทยเฉลี่ยแล้วกว่า 1 แสนล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลอย่างมากต่อวิกฤติการเงินนี้คือ การกำหนดมาตรการผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณหรือ QE ของธนาคารกลางสหรัฐหรือ เฟด ที่ส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลในหลายๆประเทศ โดยเฉพาะตลาดทุนในทวีปเอเซีย ที่มีปัญหาขาดเสถียรภาพทางค่าเงินจนผันผวนขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา และขาดดุลการค้าและบัญชีเดินสะพัดที่ไม่เท่ากัน

นางอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากสถานการณ์เงินโลกที่เกิดภาวะชะงักงัน และวิกฤติการเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้นักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ สูญเสียความเชื่อมั่นในการลงทุน เพราะไม่มั่นในนโยบายการบริหารเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนของเฟด ที่จะยกเลิกมาตร QE ออกไปเมื่อไหร่ ซึ่งจากผลการประชุมเฟดในสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบอยู่ ไม่ต่ำกว่า 8.5 หมื่นล้านเหรียญ/เดือน ซึ่งแสดงถึงภาพรวมของประเทศที่เป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกว่ายังไม่มีฟื้นตัวอย่างชัดเจน และถ้าหากสหรัฐลดเม็ดเงินอัดฉีดเพื่อจัดซื้อพันธบัตรลงหรือยกเลิกมาตรการ QE ก่อนกำหนด ก็จะเกิดสภาพคล่องมากขึ้นต่อภาวะการลงทุนต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม แต่อย่างไรก็ดี การยกเลิกมาตรการ QE ก่อนกำหนด แม้ว่าจะเกิดสภาพคล่องต่อการเงินและการลงทุนจริง แต่อาจเป็นไปแบบมีนัยยะซ่อนเร้น ซึ่งที่ให้เกิดการเก็งกำไรค่าอัตราแลกเปลี่ยนหรือทองคำ ที่จะสร้างแรงกดดันได้

นายเชาวลิต เอกบุตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ การเงินและการลงทุน เอสซีจี กล่าวเพิ่มเติมว่า จากภาวะวิกฤติทางการเงินและการลงทุนตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายต่อภาคเศรษฐกิจในแทบทุกประเทศ และนักลงทุนเองก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปลงทุนในการลงทุนประเภทต่างๆ ซึ่งตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นไปนักลงทุนควรเลือกการลงทุนที่เป็น ภาคการผลิตที่แท้จริง (Real Sector) ซึ่งมีความเสี่ยงที่น้อยกว่าหากเทียบกับการลงทุนประเภทอื่นๆ โดยพิจารณาความต้องการต่อตลาดโลกที่มีต่อการลงทุนประเภทนั้นๆ เช่นภาคการผลิตรถยนต์ ภาคขนส่งและภาคบริการ ซึ่งมีขนาดที่ใหญ่และมีความต้องการของตลาดอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่ ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม วรรณ จำกัด กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหุ้นของทั้งในและต่างประเทศ หลังจากไตรมาสที่ 4 นี้ จะเป็นช่วงขาขึ้น แต่อาจจะยังไม่เต็มที่นัก ซึ่งอาจจะใช้เวลาประมาณอย่างน้อย 4-5 ปี โดยเศรษฐกิจของประเทศไทยและภูมิภาคเอเซียจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวจะมีเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนในภูมิภาคเอเซียเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมองว่า บริษัทจดทะเบียนในเอเซียมีผลประกอบการกำไรที่ดี สามารถลดต้นทุนรายจ่ายส่วนต่างของค่าเงินแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นบวกกับแนวโน้มผลกำไรของบริษัท และดอกเบี้ยที่จะทยอยปรับเพิ่มขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น