**เมื่อครั้งชูธงแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็เจอศาลเบรกหัวทิ่มมารอบหนึ่งแล้ว เหมือนไปถนนใหญ่แล้วเจอทางตัน “พลพรรคเพื่อแม้ว”ก็แก้เกมเลือกเข้าตรอก แก้แบบเป็นรายประเด็น ตอนแรกก็นึกว่าหนทางจะราบรื่น แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็แสดงอิทธิฤทธิ์อีกครั้ง ทำเอาสะดุ้งโหยง
ภายหลังจากที่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ รับคำร้องของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา และ วิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส. ประชาธิปัตย์ ที่ยื่นขอให้วินิจฉัยว่าการยื่นขอให้แก้รัฐธรรมนูญในประเด็นที่มา ส.ว.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 68
กลายเป็นทาง 2 แพร่งให้ “ลิ่วล้อนายใหญ่”ตัดสินใจว่า จะยังดันทุรัง ลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ในวันที่ 28 ก.ย.นี้อยู่หรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้ทำออกมาปากกล้า ขาสั่น ทั้งนายทั้งลูกน้อง แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือหน้าไหน
**ตะแบงจะยกมือโหวตลูกเดียวแบบไม่มีถอยหลัง
ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาลิ่วล้อในพรรคเพื่อไทย ต่างออกมาแสดงความมั่นอกมั่นใจในการตัดสินใจครั้งนี้ โดยเฉพาะ “อำนวย คลังผา”ประธานวิปรัฐบาล ที่ลั่นวาจาเลยว่า อย่างไรเสียการลงมติในวาระ 3 จะต้องเกิดขึ้น เพราะถือเป็นหน้าที่ของรัฐสภา ตามมาตรา 90 ที่ต้องลงมติ หลังจากผ่านวาระ 2 ไป 15 วัน ส่วนศาลรัฐธรรมนูญ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป
**ประกาศประลองกำลัง 2 ขาอำนาจระหว่าง “นิติบัญญัติ”กับ“ตุลาการ”
ถอดตามมติศาลรัฐธรรมนูญ มองเผินๆ ดูเหมือนไม่มีอะไรให้น่าหวาดเสียว เพราะศาลไม่ได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเป็นกรณีฉุกเฉิน หมายความว่า บรรดาองคาพยพของ“นายใหญ่”สามารถลงมติ วาระ 3 ได้ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ ตามกำหนดการเดิมที่คุยกันเอาไว้
แต่หากถอดมติกันแบบลึกๆ มันก็ดูทะแม่งๆ ชอบกล เพราะแม้ศาลจะไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ต้องระงับการลงมติ แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญดันรับคำร้องเอาไว้ ซึ่งไม่รู้จะมีการวินิจฉัยกันเมื่อไร ย่อมสร้างความลังเลใจให้พวกลิ่วล้อ รวมทั้งตัว“นายใหญ่”ได้เหมือนกัน
**เพราะตราบใดที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่วินิจฉัย โอกาสที่จะออกเป็น“หัว - ก้อย”ย่อมมีพอๆ กัน !!
พลิกดูกระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. ก่อนหน้านี้ก็พิลึกพิลั่นอยู่หลายจุดอยู่แล้ว ตั้งแต่ไม่ยอมให้สมาชิกรัฐสภา 57 คนแปรญัตติ โดยอ้างว่า การขอสงวนคำแปรญัตติขัดหลักการ แต่ภายหลังกลับอนุญาตให้แปรญัตติได้ เพราะเห็นว่า เหตุการณ์วุ่นวาย ถ้าไม่ยอม การพิจารณาก็เดินต่อไม่ได้
จึงโดนข้อหากลับไปกลับมา เพื่อให้ขบวนการชำเรารัฐธรรมนูญครั้งนั้นไปต่อได้ โดยไม่มั่นคงในกฎในระเบียบที่ต้องยึดมั่นปฏิบัติ ชนิดหลักไม่แน่น
ขณะที่การปฏิบัติหน้าที่ของประธานในที่ประชุม ทั้ง “ต้นฉบับค้อนปลอม - สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์”ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา และ “ค้อนปลอมดาวรุ่ง - นิคม ไวรัชยพานิช”ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ก็ปฏิบัติหน้าที่แบบเอียงกะเท่เร่ รวบรัด ไม่เป็นกลาง บางจังหวะยังขัดกันเองอีกด้วย
โดยเฉพาะ“นิคม”ที่ช่วงนี้โดนยื่นถอดถอนราวกับได้ใบสั่ง เพราะตัวเองเป็น ส.ว.เลือกตั้ง ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง หากแก้ไขเสร็จ จะทำให้สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัยได้ทันที อาจโดนเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ดันทะลึ่งไปเซ็นหนุนร่างแก้ไขที่มาส.ว.
ดังนั้น หากดึงดันลงมติในวาระ 3 ไปแล้ว แต่ภายหลังดวงซวย ศาลรัฐธรรมนูญดันวินิจฉัยว่า กระบวนการชำเรากติกาของประเทศเที่ยวนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ บรรดาท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลายที่หลับหูหลับตาตาม “ใบสั่ง”ได้มีอันเป็นไปทางการเมืองตามบรรพบุรุษอย่าง “เพื่อไทย-พลังประชาชน”เอาง่ายๆ
หากจะมองในแง่ลบตามแบบฉบับพรรคเพื่อไทย มติรับคำร้องเที่ยวนี้ของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ต่างอะไรจาก “หลุมพราง”ของฝั่งตรงข้ามที่อาจเล่น “ลับ ลวง พราง”ภาคสอง ก็เป็นได้
เพียงแต่ครั้งนี้มีเรื่อง “เงื่อนเวลา”เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะ ส.ว.เลือกตั้งชุดปัจจุบัน ใกล้หมดวาระในช่วงเดือนมี.ค.57 หากชักช้า อาจกระเทือนไปถึงแผนการที่วางไว้ ทำให้มองว่า ท้ายที่สุด 28 ก.ย.นี้ “พลพรรคเพื่อแม้ว”จะกัดฟันวัดใจด้วยการเดินหน้าโหวตวาระ 3 ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
**ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็เสี่ยงเดิมพันวัดใจศาลรัฐธรรมนูญกันอีกที
แต่จำนวนมือที่ยกหนุนอาจจะไม่เหมือนเดิม เพราะ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ว.เลือกตั้งบางส่วน ประเภท“ตาขาว”อาจจะจงใจ “ตื่นสาย - หลงทาง - ลืมนัด”มาลงคะแนนไม่ทัน เอาตัวรอดกันไป
เรื่องราวกลับไม่จบแค่นั้น เพราะล่าสุดมีอีกปัจจัยหนึ่งมาเขย่า อาจทำให้ความเชื่อมั่นในเสียงข้างมาก ลากไป ลดน้อยถอยลงไปได้อีก กับเรื่อง “สุดอัปยศ”ของท่านผู้ทรงเกียรติ หลังพรรคประชาธิปัตย์งัด “คลิปลับ”การกดบัตรแทนกันของ ส.ส. ระหว่างการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว.ในมาตรา 9 เมื่อวันที่ 10 ก.ย. เวลา 17.33 น. และ มาตรา 10 วันที่ 11 ก.ย.เวลา 11.43 น. ออกมาประจาน
แล้วก็ตามสูตรถนัด “ค่ายสีฟ้า”ประจานกันเสร็จ ต้องจบด้วยการหอบหิ้วหลักฐานไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างน้ำหนักให้คำร้องๆก่อนหน้านี้ดูมิชอบ ให้มากที่สุด
เบื้องต้นมันผิดแน่ในเรื่องจริยธรรมการทำหน้าที่ “ผู้แทนราษฎร”มีอย่างที่ไหน ส.ส.คนเดียว งัดบัตร 4-5 ใบ มากดๆ เสียบๆ ซึ่งเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ว่าด้วยความสุจริตในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย
** ที่สำคัญในมาตรา 126 วรรค 2 ที่ระบุว่า “สมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการออกเสียงลงคะแนน”
จับอารมณ์ “ค้อนปลอมสมศักดิ์”ประธานรัฐสภา ที่บอกเลยว่า เรื่องนี้คงไม่ตั้งกรรมการสอบ และให้รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทีเดียว เหมือนออกอาการเซ็งที่ ส.ส.ขี้เกียจตัวเป็นขน ฝากบัตร-ลงมติแทนกันจนเคยตัว จนทำท่าจะตกม้าตายง่ายๆ
**อารมณ์เหมือนทำใจ เพราะหลักฐานมันคาตา
ด้วยกระบวนการทั้งหลายทั้งปวงที่ดูทุลักทุเล ไม่สมประกอบ และมิชอบในหลายขั้นตอน มาบวกเพิ่มกับการเสียบบัตรแทนกัน ที่มีน้ำหนักสูงมาก เนื่องจากมีภาพเคลื่อนไหวเป็นหลักฐานมัดให้ดิ้นไม่หลุด งานนี้ถ้ารอดไปได้ก็เลี้ยงไม่โต
ที่ถูลู่ถูกังว่าเป็น “คลิปตัดต่อ”คนละเหตุการณ์ ต่างกรรม ต่างวาระ อาจแถเอาตัวรอดไปได้ในเชิงข่าว แต่ในชั้นศาลจะรับฟังหรือไม่ ก็น่าหนักใจแทน
โอกาสที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาแบบเหนือความคาดหมาย ที่เก็งกันไว้ งานนี้มิวายขัดหูขัดตาชาวบ้าน เพราะหลักฐานมันทนโท่ จะได้โดนเสียงโห่เสียงไล่จน“เสียรังวัด”เป็นแน่
ตามหลักฐานต้องเรียกว่า “รอดยาก”ในเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน เพราะมันทุจริตชัดเจน ส่วนจะมีความผิดสถานใด ก็ต้องลุ้นกันอีกเฮือก บ้างก็ว่าอาจจะสั่งโมฆะทั้งกระบวนการ บ้างก็ว่าอาจสั่งให้มีการลงมติใหม่ อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อหาล้มล้างการปกครองตาม มาตรา 68 ก็อาจจะรอดไปได้แบบฉิวเฉียด เพราะต้องยอมรับว่า เป็นข้อกล่าวหาที่จินตนาการสูงเกินไป
มองต่อไปอีกว่า หากเสาร์ 28 ก.ย.นี้ ที่ประชุมร่วมรัฐสภาโหวตผ่านวาระ 3 ของร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว “เผือกร้อน”ต้องกลับไปอยู่ในมือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามที่กฎหมายกำหนด เพราะหัวหน้าฝ่ายบริหารมีหน้าที่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้ต่อไป
แต่เมื่อยังมีปมข้อสงสัยค้างคาอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ กระบวนการยังไม่สะเด็ดน้ำ ก็มีคำถามตามมาว่า“ยิ่งลักษณ์”จะนำร่างกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ หรือไม่
**จนกลายเป็นว่าเรื่องร้อนๆ ต้องมาตกอยู่ในมือคนที่ลอยตัวหนีปัญหามาโดยตลอด
ภายหลังจากที่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ รับคำร้องของ พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม ส.ว.สรรหา และ วิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส. ประชาธิปัตย์ ที่ยื่นขอให้วินิจฉัยว่าการยื่นขอให้แก้รัฐธรรมนูญในประเด็นที่มา ส.ว.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 68
กลายเป็นทาง 2 แพร่งให้ “ลิ่วล้อนายใหญ่”ตัดสินใจว่า จะยังดันทุรัง ลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ในวันที่ 28 ก.ย.นี้อยู่หรือไม่ หลังจากก่อนหน้านี้ทำออกมาปากกล้า ขาสั่น ทั้งนายทั้งลูกน้อง แบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม หรือหน้าไหน
**ตะแบงจะยกมือโหวตลูกเดียวแบบไม่มีถอยหลัง
ตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา บรรดาลิ่วล้อในพรรคเพื่อไทย ต่างออกมาแสดงความมั่นอกมั่นใจในการตัดสินใจครั้งนี้ โดยเฉพาะ “อำนวย คลังผา”ประธานวิปรัฐบาล ที่ลั่นวาจาเลยว่า อย่างไรเสียการลงมติในวาระ 3 จะต้องเกิดขึ้น เพราะถือเป็นหน้าที่ของรัฐสภา ตามมาตรา 90 ที่ต้องลงมติ หลังจากผ่านวาระ 2 ไป 15 วัน ส่วนศาลรัฐธรรมนูญ ก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป
**ประกาศประลองกำลัง 2 ขาอำนาจระหว่าง “นิติบัญญัติ”กับ“ตุลาการ”
ถอดตามมติศาลรัฐธรรมนูญ มองเผินๆ ดูเหมือนไม่มีอะไรให้น่าหวาดเสียว เพราะศาลไม่ได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเป็นกรณีฉุกเฉิน หมายความว่า บรรดาองคาพยพของ“นายใหญ่”สามารถลงมติ วาระ 3 ได้ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ ตามกำหนดการเดิมที่คุยกันเอาไว้
แต่หากถอดมติกันแบบลึกๆ มันก็ดูทะแม่งๆ ชอบกล เพราะแม้ศาลจะไม่มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ต้องระงับการลงมติ แต่การที่ศาลรัฐธรรมนูญดันรับคำร้องเอาไว้ ซึ่งไม่รู้จะมีการวินิจฉัยกันเมื่อไร ย่อมสร้างความลังเลใจให้พวกลิ่วล้อ รวมทั้งตัว“นายใหญ่”ได้เหมือนกัน
**เพราะตราบใดที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่วินิจฉัย โอกาสที่จะออกเป็น“หัว - ก้อย”ย่อมมีพอๆ กัน !!
พลิกดูกระบวนการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มา ส.ว. ก่อนหน้านี้ก็พิลึกพิลั่นอยู่หลายจุดอยู่แล้ว ตั้งแต่ไม่ยอมให้สมาชิกรัฐสภา 57 คนแปรญัตติ โดยอ้างว่า การขอสงวนคำแปรญัตติขัดหลักการ แต่ภายหลังกลับอนุญาตให้แปรญัตติได้ เพราะเห็นว่า เหตุการณ์วุ่นวาย ถ้าไม่ยอม การพิจารณาก็เดินต่อไม่ได้
จึงโดนข้อหากลับไปกลับมา เพื่อให้ขบวนการชำเรารัฐธรรมนูญครั้งนั้นไปต่อได้ โดยไม่มั่นคงในกฎในระเบียบที่ต้องยึดมั่นปฏิบัติ ชนิดหลักไม่แน่น
ขณะที่การปฏิบัติหน้าที่ของประธานในที่ประชุม ทั้ง “ต้นฉบับค้อนปลอม - สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์”ประธานสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะประธานรัฐสภา และ “ค้อนปลอมดาวรุ่ง - นิคม ไวรัชยพานิช”ประธานวุฒิสภา ในฐานะรองประธานรัฐสภา ก็ปฏิบัติหน้าที่แบบเอียงกะเท่เร่ รวบรัด ไม่เป็นกลาง บางจังหวะยังขัดกันเองอีกด้วย
โดยเฉพาะ“นิคม”ที่ช่วงนี้โดนยื่นถอดถอนราวกับได้ใบสั่ง เพราะตัวเองเป็น ส.ว.เลือกตั้ง ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรง หากแก้ไขเสร็จ จะทำให้สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งอีกสมัยได้ทันที อาจโดนเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ที่ดันทะลึ่งไปเซ็นหนุนร่างแก้ไขที่มาส.ว.
ดังนั้น หากดึงดันลงมติในวาระ 3 ไปแล้ว แต่ภายหลังดวงซวย ศาลรัฐธรรมนูญดันวินิจฉัยว่า กระบวนการชำเรากติกาของประเทศเที่ยวนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ บรรดาท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลายที่หลับหูหลับตาตาม “ใบสั่ง”ได้มีอันเป็นไปทางการเมืองตามบรรพบุรุษอย่าง “เพื่อไทย-พลังประชาชน”เอาง่ายๆ
หากจะมองในแง่ลบตามแบบฉบับพรรคเพื่อไทย มติรับคำร้องเที่ยวนี้ของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ต่างอะไรจาก “หลุมพราง”ของฝั่งตรงข้ามที่อาจเล่น “ลับ ลวง พราง”ภาคสอง ก็เป็นได้
เพียงแต่ครั้งนี้มีเรื่อง “เงื่อนเวลา”เข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะ ส.ว.เลือกตั้งชุดปัจจุบัน ใกล้หมดวาระในช่วงเดือนมี.ค.57 หากชักช้า อาจกระเทือนไปถึงแผนการที่วางไว้ ทำให้มองว่า ท้ายที่สุด 28 ก.ย.นี้ “พลพรรคเพื่อแม้ว”จะกัดฟันวัดใจด้วยการเดินหน้าโหวตวาระ 3 ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
**ส่วนอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็เสี่ยงเดิมพันวัดใจศาลรัฐธรรมนูญกันอีกที
แต่จำนวนมือที่ยกหนุนอาจจะไม่เหมือนเดิม เพราะ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และ ส.ว.เลือกตั้งบางส่วน ประเภท“ตาขาว”อาจจะจงใจ “ตื่นสาย - หลงทาง - ลืมนัด”มาลงคะแนนไม่ทัน เอาตัวรอดกันไป
เรื่องราวกลับไม่จบแค่นั้น เพราะล่าสุดมีอีกปัจจัยหนึ่งมาเขย่า อาจทำให้ความเชื่อมั่นในเสียงข้างมาก ลากไป ลดน้อยถอยลงไปได้อีก กับเรื่อง “สุดอัปยศ”ของท่านผู้ทรงเกียรติ หลังพรรคประชาธิปัตย์งัด “คลิปลับ”การกดบัตรแทนกันของ ส.ส. ระหว่างการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประเด็นที่มาของ ส.ว.ในมาตรา 9 เมื่อวันที่ 10 ก.ย. เวลา 17.33 น. และ มาตรา 10 วันที่ 11 ก.ย.เวลา 11.43 น. ออกมาประจาน
แล้วก็ตามสูตรถนัด “ค่ายสีฟ้า”ประจานกันเสร็จ ต้องจบด้วยการหอบหิ้วหลักฐานไปให้ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อสร้างน้ำหนักให้คำร้องๆก่อนหน้านี้ดูมิชอบ ให้มากที่สุด
เบื้องต้นมันผิดแน่ในเรื่องจริยธรรมการทำหน้าที่ “ผู้แทนราษฎร”มีอย่างที่ไหน ส.ส.คนเดียว งัดบัตร 4-5 ใบ มากดๆ เสียบๆ ซึ่งเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 122 ว่าด้วยความสุจริตในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทย
** ที่สำคัญในมาตรา 126 วรรค 2 ที่ระบุว่า “สมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการออกเสียงลงคะแนน”
จับอารมณ์ “ค้อนปลอมสมศักดิ์”ประธานรัฐสภา ที่บอกเลยว่า เรื่องนี้คงไม่ตั้งกรรมการสอบ และให้รอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญทีเดียว เหมือนออกอาการเซ็งที่ ส.ส.ขี้เกียจตัวเป็นขน ฝากบัตร-ลงมติแทนกันจนเคยตัว จนทำท่าจะตกม้าตายง่ายๆ
**อารมณ์เหมือนทำใจ เพราะหลักฐานมันคาตา
ด้วยกระบวนการทั้งหลายทั้งปวงที่ดูทุลักทุเล ไม่สมประกอบ และมิชอบในหลายขั้นตอน มาบวกเพิ่มกับการเสียบบัตรแทนกัน ที่มีน้ำหนักสูงมาก เนื่องจากมีภาพเคลื่อนไหวเป็นหลักฐานมัดให้ดิ้นไม่หลุด งานนี้ถ้ารอดไปได้ก็เลี้ยงไม่โต
ที่ถูลู่ถูกังว่าเป็น “คลิปตัดต่อ”คนละเหตุการณ์ ต่างกรรม ต่างวาระ อาจแถเอาตัวรอดไปได้ในเชิงข่าว แต่ในชั้นศาลจะรับฟังหรือไม่ ก็น่าหนักใจแทน
โอกาสที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยออกมาแบบเหนือความคาดหมาย ที่เก็งกันไว้ งานนี้มิวายขัดหูขัดตาชาวบ้าน เพราะหลักฐานมันทนโท่ จะได้โดนเสียงโห่เสียงไล่จน“เสียรังวัด”เป็นแน่
ตามหลักฐานต้องเรียกว่า “รอดยาก”ในเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน เพราะมันทุจริตชัดเจน ส่วนจะมีความผิดสถานใด ก็ต้องลุ้นกันอีกเฮือก บ้างก็ว่าอาจจะสั่งโมฆะทั้งกระบวนการ บ้างก็ว่าอาจสั่งให้มีการลงมติใหม่ อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อหาล้มล้างการปกครองตาม มาตรา 68 ก็อาจจะรอดไปได้แบบฉิวเฉียด เพราะต้องยอมรับว่า เป็นข้อกล่าวหาที่จินตนาการสูงเกินไป
มองต่อไปอีกว่า หากเสาร์ 28 ก.ย.นี้ ที่ประชุมร่วมรัฐสภาโหวตผ่านวาระ 3 ของร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว “เผือกร้อน”ต้องกลับไปอยู่ในมือ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”นายกรัฐมนตรี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามที่กฎหมายกำหนด เพราะหัวหน้าฝ่ายบริหารมีหน้าที่ต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศใช้ต่อไป
แต่เมื่อยังมีปมข้อสงสัยค้างคาอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ กระบวนการยังไม่สะเด็ดน้ำ ก็มีคำถามตามมาว่า“ยิ่งลักษณ์”จะนำร่างกฎหมายขึ้นทูลเกล้าฯ หรือไม่
**จนกลายเป็นว่าเรื่องร้อนๆ ต้องมาตกอยู่ในมือคนที่ลอยตัวหนีปัญหามาโดยตลอด