ASTVผู้จัดการรายวัน - “แพลทินั่ม” คุยโว ยอดขายร้านค้าฉลุย เหตุทั้งต่างชาติและคนไทยหันหัวเข้าชอปปิ้งศูนย์ค้าส่ง รับกำลังซื้อลดลง รวมนักชอปจากสิงคโปร์ด้วย พร้อมดึงบัตรเครดิตเป็นพันธมิตรูดจ่ายได้ แข่งกับค้าปลีก
นายศิริชัย ประพันธ์ธุรกิจ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคาร ศูนย์การค้าเดอะ แพลทินั่ม แฟชั่นมอลล์ บริษัท เดอะแพลทินัม แฟชั่นมอลล์ จำกัด เปิดเผยว่า จากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของบริษัทที่ลูกค้าต่างชาติลดลงไปมากถึง 20% อย่างไรก็ตามขณะนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว ส่งผลให้ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาลูกค้าต่างชาติกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หรือมีสัดส่วนประมาณ 40%
ทั้งนี้บริษัทฯมีลูกค้าต่างชาติสัดส่วน 40% และคนไทย 60% ซึ่งในส่วนของลูกค้าต่างชาตินั้น มีประมาณ 70% เป็นชาวสิงคโปร์ ส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นลูกค้าที่มาจาก อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ภายในปี 2557 บริษัทฯคาดว่าจะมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 50% จาก 40% ซึ่งในแต่ละวันศูนย์การค้าเดอะแพลทินั่มจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเฉลี่ยที่ 6 หมื่นคนในวันพุธและอาทิตย์หรือวันค้าส่ง และ 4 หมื่นคนในวันปกติ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะปรับตัวลดลง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นรถคันแรก หรือค่าครองชีพ แต่ภาพรวมยอดขายของร้านค้าเช่าภายในศูนย์การค้าเดอะแพลทินั่มยังเติบโตอยู่โดยในแต่ละปีศูนย์การค้าเดอะ แพลทินั่ม แฟชั่นมอลล์มีเงินสะพัดมากกว่า 7 0,000 ล้านบาท ซึ่งยอดขายร้านค้ารานค้ายังดีอยู่อาจจะมาจากสาเหตุที่ผู้บริโภคส่วนหนึ่งชะลอการซื้อสินค้าแบรนด์เนมและหันมาซื้อสินค้าแฟชั่นในห้างค้าส่งแทน เพราะมีราคาถูกกว่าและมีความหลากหลาย
ขณะเดียวกันลูกค้าต่างชาติเองก็หันมาซื้อแฟชั่นขายส่งมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าหลักจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าสินค้าแฟชั่นในสิงคโปร์ส่วนใหญ่เป็นสินค้าแบรนด์เนม ทำให้มีราค่าสูง และรอบของการเปลี่ยนคอลเลคชั่นจะมีอายุนานกว่าสินค้าแฟชั่นขายส่งคือ 3-6 เดือน ขณะที่สินค้าแฟชั่นขายส่งเปลี่ยนคอลเลคชั่นทุกสัปดาห์
นายศิริชัย กล่าวต่อถึงแผนการธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ว่า บริษัทฯเตรียมงบประมาณ 150 ล้านบาท เพื่อทำการปรับปรุงภายในศูนย์การค้า ให้มีความทันสมัยมากขึ้นรวมทั้งการเตรียมทำกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรมากขึ้น ล่าสุดจะร่วมมือกับสถาบันการเงิน เช่น วีซ่า ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อให้บริการชำระค่าสินค้าผ่านบัตรเครดิต ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของธุรกิจค้าส่ง เพราะว่าปัจจุบันธุรกิจค้าส่งมีการนำกลยุทธ์ขายปลีกควบคู่ไปกับค้าส่ง เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น
นายศิริชัย ประพันธ์ธุรกิจ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคาร ศูนย์การค้าเดอะ แพลทินั่ม แฟชั่นมอลล์ บริษัท เดอะแพลทินัม แฟชั่นมอลล์ จำกัด เปิดเผยว่า จากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา มีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานช่วงครึ่งปีแรกของบริษัทที่ลูกค้าต่างชาติลดลงไปมากถึง 20% อย่างไรก็ตามขณะนี้สถานการณ์เริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว ส่งผลให้ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาลูกค้าต่างชาติกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หรือมีสัดส่วนประมาณ 40%
ทั้งนี้บริษัทฯมีลูกค้าต่างชาติสัดส่วน 40% และคนไทย 60% ซึ่งในส่วนของลูกค้าต่างชาตินั้น มีประมาณ 70% เป็นชาวสิงคโปร์ ส่วนที่เหลืออีก 30% เป็นลูกค้าที่มาจาก อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา ภายในปี 2557 บริษัทฯคาดว่าจะมีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติเพิ่มขึ้นเป็น 50% จาก 40% ซึ่งในแต่ละวันศูนย์การค้าเดอะแพลทินั่มจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเฉลี่ยที่ 6 หมื่นคนในวันพุธและอาทิตย์หรือวันค้าส่ง และ 4 หมื่นคนในวันปกติ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากำลังซื้อของผู้บริโภคจะปรับตัวลดลง เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นรถคันแรก หรือค่าครองชีพ แต่ภาพรวมยอดขายของร้านค้าเช่าภายในศูนย์การค้าเดอะแพลทินั่มยังเติบโตอยู่โดยในแต่ละปีศูนย์การค้าเดอะ แพลทินั่ม แฟชั่นมอลล์มีเงินสะพัดมากกว่า 7 0,000 ล้านบาท ซึ่งยอดขายร้านค้ารานค้ายังดีอยู่อาจจะมาจากสาเหตุที่ผู้บริโภคส่วนหนึ่งชะลอการซื้อสินค้าแบรนด์เนมและหันมาซื้อสินค้าแฟชั่นในห้างค้าส่งแทน เพราะมีราคาถูกกว่าและมีความหลากหลาย
ขณะเดียวกันลูกค้าต่างชาติเองก็หันมาซื้อแฟชั่นขายส่งมากขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าหลักจากประเทศสิงคโปร์ ซึ่งอาจเป็นเพราะว่าสินค้าแฟชั่นในสิงคโปร์ส่วนใหญ่เป็นสินค้าแบรนด์เนม ทำให้มีราค่าสูง และรอบของการเปลี่ยนคอลเลคชั่นจะมีอายุนานกว่าสินค้าแฟชั่นขายส่งคือ 3-6 เดือน ขณะที่สินค้าแฟชั่นขายส่งเปลี่ยนคอลเลคชั่นทุกสัปดาห์
นายศิริชัย กล่าวต่อถึงแผนการธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ว่า บริษัทฯเตรียมงบประมาณ 150 ล้านบาท เพื่อทำการปรับปรุงภายในศูนย์การค้า ให้มีความทันสมัยมากขึ้นรวมทั้งการเตรียมทำกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรมากขึ้น ล่าสุดจะร่วมมือกับสถาบันการเงิน เช่น วีซ่า ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อให้บริการชำระค่าสินค้าผ่านบัตรเครดิต ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของธุรกิจค้าส่ง เพราะว่าปัจจุบันธุรกิจค้าส่งมีการนำกลยุทธ์ขายปลีกควบคู่ไปกับค้าส่ง เพื่อขยายฐานลูกค้าให้มากขึ้น