xs
xsm
sm
md
lg

ฝังดินเจ็ดป่าช้า : เหตุให้รัฐบาลล้มจริงหรือ?

เผยแพร่:   โดย: สามารถ มังสัง

ในขณะที่สื่อทั้งสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ รวมไปถึงวิทยุต่างพากันเสนอข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของ สายัณห์ สัญญา นักร้องผู้โด่งดัง โดยยกพื้นที่ข่าวหน้าหนึ่งให้กแก่ข่าวนี้ในฉบับวันศุกร์ที่ 13 แทบทุกฉบับ

แต่มีอยู่ฉบับหนึ่งมาแปลกโดยการลงข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งตัวใหญ่ “ลอบฝังดินในทำเนียบฯ ผีเจ็ดป่าช้างัดไสยดำทำลายปู” พร้อมลงภาพภิกษุผู้เปิดเผยข่าวนี้ ประกอบโดยมีรายละเอียดของข่าวสรุปเป็นประเด็นไว้ดังนี้

1. เมื่อวันที่ 12 กันยายน พระครูสุเทพสิทธิคุณ หรือครูบาพันเทวา เจ้าอาวาสวัดศรีบุญเรือง ซึ่งเป็นเกจิดังจังหวัดเชียงใหม่ และเป็นอาจารย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้ที่คนเชียงใหม่นับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มคนเสื้อแดงได้เปิดเผยว่า มีผู้นำเอาดินกระดูกผี 7 ป่าช้าไปฝังในทำเนียบรัฐบาล ทำให้รัฐบาลมีปัญหาต่างๆ นานาเพื่อหวังโค่นล้มรัฐบาล

2. สืบเนื่องจากเหตุการณ์ในข้อ 1 พระครูสุเทพสิทธิคุณพร้อมด้วยภิกษุลูกวัดอีก 5 รูปได้ประกอบพิธีเพ่งดวงอาทิตย์ด้วยดวงตาเปล่า ณ บริเวณหน้าวิหารของวัดเป็นเวลา 30 นาที มีการสวดมนต์แผ่เมตตาขอบารมีสุริยะให้ช่วยปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายที่กำลังคุกคามรัฐบาล และมีการสวดถอนยึดหรือถอนสิ่งไม่ดีอัปมงคลพบแต่สิ่งที่ดี

หลังจากที่ผู้คนได้อ่านข่าวนี้แล้ว ทำให้ผู้อ่านแบ่งออกเป็นสองฝ่ายคือ

1. ผู้ที่เชื่อถือศรัทธาในพระเกจิท่านนี้จะเห็นด้วยและคล้อยตามว่า ปัญหาต่างๆ ที่กำลังเผชิญหน้ารัฐบาลอยู่ในขณะนี้ ทั้งในสภาฯ และนอกสภาฯ มีเหตุมาจากการที่ผู้ไม่หวังดีนำดินและกระดูกผีจากป่าช้า 7 แห่งมาฝังในทำเนียบฯ และเชื่อต่อไปว่าหลังจากที่พระเกจิทำพิธีปัดเป่าแล้ว ทุกอย่างคงจะคลี่คลายและดีขึ้น

ส่วนคนในรัฐบาลจะได้อ่านข่าวนี้หรือไม่ได้อ่าน รวมไปถึงว่าได้อ่านแล้วเชื่อตามนี้หรือไม่ ไม่ทราบได้

2. ผู้ที่เป็นพุทธมามกะที่มีความรู้ มีความเข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง หรือที่เรียกว่ามีสัมมาทิฐิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคำสอนที่ว่าด้วยกฎแห่งกรรมคือเชื่อว่า คนจะดีหรือเลวก็เพราะการกระทำของตนเอง คนอื่นจะมาทำให้เราดีหรือเลวหาได้ไม่

ด้วยเหตุนี้ ถ้าคนทำดีก็จะต้องได้รับผลดี ในทางกลับกัน ถ้าทำชั่วก็ได้รับผลชั่ว ไม่มีทางจะได้ผลกลับกันคือ ดีเป็นชั่ว ชั่วเป็นดี ยาทิสํ วปฺปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ หว่านพืชชนิดใดไว้ ก็จะได้รับผลพืชชนิดนั้น

อีกประการหนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตในส่วนที่เกี่ยวกับพิธีกรรม แทนที่จะเป็นแบบพุทธคือมีการสวดมนต์บทต่างๆ เช่น รัตนสูตร เป็นต้น ซึ่งเชื่อว่าเป็นคาถาขับไล่พวกผีได้เพียงอย่างเดียว กลับมีพิธีเพ่งดวงอาทิตย์มาผสมด้วย

ในครั้งแรกที่ได้อ่าน ผู้เขียนคิดว่าพิธีในทำนองนี้จะมีที่มาจากคัมภีร์พระเวทของพราหมณ์ จึงได้สอบถามเรื่องนี้ไปยังท่านผู้รู้เกี่ยวกับคัมภีร์พระเวท และได้รับคำตอบว่าได้ตรวจสอบแล้ว ไม่ปรากฏว่ามีพิธีกรรมในลักษณะนี้แต่ประการใด

แต่อย่างไรก็ตาม การเพ่งดวงอาทิตย์ด้วยตาเปล่า ก็มิได้ไม่มีที่มาเสียเลย เมื่อนำไปเปรียบเทียบการยืนเพ่งดวงอาทิตย์ของนักบวชในศาสนาเชน แต่การทำในทำนองนี้ของเชนเป็นเพียงการบำเพ็ญตบะด้วยการทรมานตนเอง เพื่อทำลายกิเลสเท่านั้น มิได้เป็นการบูชาพระสุริยเทพเพื่อขอเมตตาแต่อย่างใด ทั้งนี้เนื่องจากว่าศาสนาเชนเป็นอเทวนิยมคือไม่เชื่อเรื่องอภินิหารของพระเจ้าในการสร้างโลก และดลบันดาลให้สัตว์โลกเป็นไปตามเทวะประสงค์

ในความเป็นจริงไสยศาสตร์หรือมนตร์ดำสามารถที่จะนำมาใช้เพื่อการทำลายได้หรือไม่ และถ้ามีจะแก้ไขอย่างไร?

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าท่านผู้อ่านย้อนไปดูวรรณคดีเก่าเช่น เรื่องขุนช้างขุนแผน ก็จะพบว่ามีการกล่าวถึงพิธีทางไสยศาสตร์ในการทำกุมารทองของขุนแผน เป็นต้น

โดยนัยนี้จะเห็นว่าความเชื่อในเรื่องของไสยศาสตร์มีอยู่จริงในสังคมไทยยุคโบราณ หรือแม้ในปัจจุบันความเชื่อในส่วนที่เกี่ยวกับวัตถุมงคล ก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่ว่าเป็นจริงบ้าง เป็นเรื่องหลอกลวงบ้าง ผสมกันไป จึงอนุมานได้ว่าเรื่องเกี่ยวกับไสยศาสตร์นี้ ทั้งที่เป็นจริงและเรื่องหลอกลวง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัย 2 ประการคือ

1. ผู้ประกอบพิธีกรรมหรือผู้ทำคุณไสยมีอำนาจจิตหรืออิทธิฤทธิ์ อันเกิดจากการบำเพ็ญสมาธิถึงขั้นได้สมาบัติ 8 และอภิญญา 6 หรือไม่ ถ้าได้ก็ทำได้จริง

2. ผู้นำวัตถุมงคลหรือเวทมนตร์อันได้จากอาจารย์ไปทำอะไรในทางดีหรือทางเลว ถ้าทำในทางดี เวทมนตร์หรือคาถาก็ให้ผลเจริญ แต่ถ้าไปใช้ในทางอกุศลก็เสื่อม และไม่นานก็หายนะหรือที่เรียกว่า คุณไสยเข้าตัวผู้กระทำนั่นเอง

เพราะฉะนั้นในเรื่องของการนำดิน 7 ป่าช้าไปฝังในทำเนียบฯ จะจริงหรือไม่จริง ขึ้นอยู่กับว่าผู้บอกเล่าคือ ครูบาพันเทวา ท่านต้องได้อภิญญา 6 คือ

1. อิทธิวิธา หรืออิทธิวิธิ ความรู้ที่ทำให้แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้

2. ทิพพโสต ญาณที่ทำให้มีหูทิพย์คือ ได้ยินเสียงที่คนปกติไม่ได้ยิน เช่น เสียงเทวดา เป็นต้น

3. เจโตปริยญาณ การหยั่งรู้จิตคนอื่นได้ เช่น รู้ว่าใครกำลังคิดอะไร เป็นต้น

4. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้ เช่น รู้ว่าก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้เคยเกิดเป็นอะไรมาก่อน เป็นต้น

5. ทิพพจักขุ ญาณที่ทำให้มีตาทิพย์ เช่นว่าใครกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน เป็นต้น

6. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป

แต่ก็มีปัญหาว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าใครได้หรือไม่ได้อภิญญา 6 นั่นเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วย 2 วิธีคือ

1. ผู้ที่ได้อภิญญา 6 ด้วยกัน ย่อมรู้ซึ่งกันและกัน

2. พิสูจน์ได้ด้วยการถามในสิ่งที่ผู้ถามรู้ดีอยู่แล้ว แต่ผู้ที่อ้างว่าได้อภิญญา 6 ไม่รู้ ถ้าตอบได้ถูกต้อง โดยที่ไม่รู้มาก่อนก็เชื่อได้ว่าจะด้วยทิพพจักขุหรือทิพพโสตก็ได้

ดังนั้น ในเรื่องเกี่ยวกับการนำดินจาก 7 ป่าช้ามาฝังในทำเนียบฯ ก็เช่นกัน

พระครูสุเทพสิทธิคุณ จะต้องบอกได้ว่าใครเป็นผู้นำมา และนำมาจากป่าช้าวัดไหนบ้าง และมาฝัง ณ จุดใดในทำเนียบฯ และฝังเมื่อใด

นอกจากนี้ ยังมีข้อพิสูจน์อีกประการหนึ่งก็คือ ถ้านำมาฝังจริงก็จะต้องนำขึ้นมาเพื่อนำไปทำลายด้วยพิธีทางไสยศาสตร์ และเมื่อทำลายแล้วรัฐบาลจะต้องอยู่รอดปลอดภัย แต่ถ้าไม่รู้และนำขึ้นมาไม่ได้ ทั้งรัฐบาลก็โดนพายุทางการเมืองหนักขึ้นถึงขั้นต้องยุบสภา หรือถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิด หรือแม้กระทั่งถูกโค่นล้มด้วยกองทัพก็บอกได้คำเดียวว่า ทุกอย่างที่ว่ามาฟังไม่ขึ้นว่าเป็นจริง.
กำลังโหลดความคิดเห็น