xs
xsm
sm
md
lg

“ดังชั่วข้ามคืน” ภาพหลุดดารา เกาะกระแสนักการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“มะนาว” จากแทบไม่เคยคุ้นชื่อของเธอในวงกว้างเท่าไหร่ มาวันนี้ แค่ลองเสิร์ชกูเกิลดูจะเห็นคำแนะนำ “มะนาว บรรหาร” ขึ้นมาเป็นแพ็กเกจคู่เลยทีเดียว เรียกได้ว่าภาพคู่ของเธอกับนักการเมืองชื่อดัง นั่งกอดไหล่อย่างสนิทสนมอยู่บนโซฟา กลายเป็นประเด็นร้อน กระแสอื้อฉาวในทางชู้สาวไปสนั่นเมือง หาว่ามะนาวคือ “น้อย” ที่เป็นสาเหตุให้ฝ่ายชายต้องเลิกกับภรรยา

ถึงแม้ล่าสุดฝ่ายหญิงจะออกมาแถลงข่าว ให้เหตุผลแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่การเลือกโพสต์ภาพที่ถ่ายเอาไว้ตั้งแต่เมื่อ 2 เดือนที่แล้วในวันนี้ ทำให้หลายฝ่ายมองในแง่ลบมากกว่าแง่ดี ตีความกันไปว่าหมากเกมนี้ สาวน้อยหน้าใสตั้งใจอัปเลเวลความดังของตัวเอง ด้วยการเกาะกระแสนักการเมืองชื่อดัง



คู่จิ้นอื้อฉาว ดารา-นักการเมือง
“ภาพที่หลายคนเห็น นาวไปงานชมกีฬาฟุตบอลที่ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นบ้านเกิดนาว มีพี่ดาราคนอื่นไปด้วย ทั้งพี่ตูน-บอดี้สแลม พี่ก้อย (รัชวิน) และอีกหลายคน พี่ตูนเองก็ได้ถ่ายรูปไปก่อนแล้ว และเราก็ถ่ายกับท่านบ้าง ส่วนที่ได้ถ่ายที่โซฟา เพราะนาวไปถ่ายที่ห้องวีไอพีสำหรับชมฟุตบอล ซึ่งเป็นห้องสำหรับแขกผู้ใหญ่ แล้วท่านก็นั่งอยู่บนโซฟา เราเห็นก็ขอถ่ายรูปหน่อย ท่านก็บอกว่ามานั่งบนนี้เลย แล้วก็โอบกอดนาวเหมือนเป็นลูกหลานคนนึง

นาวค่อนข้างสนิทกับท่าน คือเวลาที่นาวไปช่วยงาน ท่านก็จะนึกถึงตลอด ทั้งท่านบรรหาร คุณหญิง พี่ท็อป (วราวุธ ศิลปอาชา) ซึ่งเป็นลูกชายของท่าน ก็สนิทกับนาว ลูกหลานท่านก็น่าจะรู้จักนาวหมดเลยค่ะ ในส่วนครอบครัวของท่าน นาวก็ไม่เคยคิดเรื่องไปแย่งครอบครัวคนอื่นอยู่แล้วค่ะ เราก็เคารพท่านตลอด

ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ถ้าเราบริสุทธิ์ใจจริง ไม่ได้เป็นอย่างที่เขากล่าวหา สังคมก็น่าจะเข้าใจ สุดท้ายนาวขอยืนยันอีกทีว่านาวกับท่านบรรหารเป็นลูกหลานชาวสุพรรณฯ เหมือนกัน หนูรักท่านบรรหารเหมือนเป็นคุณพ่อเมืองสุพรรณฯ เหมือนที่คนสุพรรณฯ รักและเคารพท่าน และท่านเองก็รักและเอ็นดูนาวเหมือนลูกหลานค่ะ” มะนาว-ศรศิลป์ มณีวรรณ์ นางเอกช่องมากสี เจ้าของตำแหน่งมิสทีนไทยแลนด์ ปี 2008 ประกาศเอาไว้ในงานแถลงข่าวอย่างชัดเจน

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ บรรหาร ศิลปอาชา ถ่ายรูปคู่กับหญิงงาม แต่ถามว่าทำไมถึงมาเป็นข่าวเอาตอนนี้กับน้องมะนาวคนนี้ ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ทางธุรกิจและการสร้างแบรนด์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ มีคำวิเคราะห์เฉียบๆ ฝากไว้ให้คิด

“ถือว่ากรณีนี้เป็นภาพสะท้อนแบรนด์ครับ สะท้อนตัวน้องดาราคนนี้ เพราะแบรนด์ที่ดีมันจะคุ้มกันเราจากสถานการณ์แย่ๆ แบบนี้ สมมติว่าเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่มีภาพลักษณ์ดีมาตลอด แต่เกิดมีข่าวทำให้เกิดชื่อเสียงแย่ๆ ขึ้น คนอาจจะไม่เชื่อเพราะแบรนด์นี้มีภาพที่ดีมาตลอด เพราะแบรนด์ที่ดีจะสร้างความเชื่อมั่นให้เรา แต่การที่น้องเขามีข่าวแบบนี้ขึ้นมาแล้วกลายเป็นกระแสในทางลบ เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ น้องเขาไม่เคยสร้างแบรนด์ตัวเองเอาไว้ให้คนทั่วไปได้รู้ในวงกว้างว่าเป็นคนดี เป็นคนอยู่ในศีลธรรม เพราะฉะนั้น ภาพที่สังคมมอบให้และสะท้อนกลับมา ก็จะกลายเป็นภาพผิวเผินที่ได้จากข่าว ณ วันนั้นนั่นแหละครับ


ลองย้อนกลับไปดู มีผู้หญิงหน้าตาดี ชื่อเสียงโด่งดังหลายคน ถ่ายรูปกับคุณบรรหารตลอด 20 ปีที่ผ่านมา แต่ไม่เห็นตกเป็นข่าวเลย แต่ที่เกิดข่าวแบบนี้ขึ้น มันสะท้อนว่าแบรนด์ของดาราคนนั้นไม่ได้เข้มแข็งพอจะคุ้มกันเขาได้


อีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะนักการเมืองส่วนใหญ่มีฐานะรอบด้าน เหมาะกับดาราที่ต้องการแสวงหาความมั่นคง เมื่อมีข่าวคาวๆ ระหว่างสองอาชีพนี้ คนทั่วไปจึงปักใจเชื่อได้ง่าย โดยไม่สนว่าความจริงคืออะไร “Product's Life Cycle ช่วงชีวิตของการเป็นดาราส่วนใหญ่จะสั้นมาก เพราะฉะนั้น บางคนก็ต้องการใช้โอกาสตรงนั้นเพื่อไปสู่ฐานะที่มั่นคงกว่า ส่วนนักการเมืองเองก็จะได้ประโยชน์จากดารา สามารถใช้ดาราเป็นหัวคะแนนได้ แล้วก็รีแบรนด์ตัวเองจากที่เคยมีชื่อเสียงไม่ดี ทำให้กลยุทธ์ตรงนี้เป็น win-win แต่บางคู่ก็อาจจะเกิดจากความรักที่แท้จริงก็ได้”


บวกกับที่ผ่านมามีดาราจำนวนไม่น้อยที่เคยมีข่าวควงคู่กับนักการเมืองมาแล้ว ทั้ง ลิเดีย-ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา ที่เคยถูกโจมตีว่าเป็นบ้านหลังเล็กของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร, แอน-สิเรียม ภักดีดำรงฤทธิ์ กับข่าวลือความสัมพันธ์กับอดีตนักการเมืองชื่อดัง พายัพ ชินวัตร, หยาดทิพย์ ราชปาล กับ ไผ่ วันพอยท์ อดีต ส.ส.กำแพงเพชร พรรคพลังประชาชน, หมิง-ชาลิสา บุญครองทรัพย์ กับ โอ๊ค-พานทองแท้ หรือแม้แต่ พลอย-เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ ก็ยังเคยตกเป็นข่าวกับ วันเฉลิม อยู่บำรุง แต่สุดท้ายก็ออกมาไขความกระจ่างว่าเป็นแค่พี่ชายที่สนิทกัน ฯลฯ เรียกได้ว่าเส้นทางบันเทิงมีข่าวคราวเกี่ยวโยงกับคนในวงการเมืองอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว




งานนี้ได้มากกว่าเสีย
ลองหันมามองในมุมมายาดูบ้าง โกโก้-นิรุณ ลิ้มสมวงศ์ ผู้จัดการดาราและนักปั้นชื่อดัง มองว่าการเกาะกระแสนักการเมืองดังอาจถือเป็นเทรนด์ที่กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง หลังจากมีรุ่นพี่ชื่อดังในวงการเปรี้ยงปร้างจากการประกาศสัมพันธ์กับนักการเมืองไปอย่างเป็นทางการ ซึ่งถือเป็นรูปแบบการอัปเลเวลความดังของดาราที่ไม่ค่อยมีชื่อรู้จักในวงการในรูปแบบที่ต่างจากอดีตที่เคยเป็นมา

“การดังชั่วข้ามคืนโดยอาศัยข่าวเนี่ย มันก็มีมาตั้งนานแล้วนะ แต่ว่าแต่ก่อนจะใช้วิธีเอาดาราที่ยังไม่ดังไปเกาะกระแสดาราที่ดังแล้วมากกว่า เช่น มีการปั้นข่าวว่าคบกันอยู่ ดาราที่โนเนมก็จะดังขึ้น แต่ตอนนี้กลายเป็นนักการเมืองไปแล้ว อาจจะถือเป็นเทรนด์ใหม่หรือเปล่า เพราะเดี๋ยวนี้คนอ่านข่าว คนดูก็ฉลาดขึ้น คนเริ่มรู้ทันข่าวคู่จิ้นปลอมๆ เพื่อโปรโมตแล้ว
พี่เคยนั่งอ่านในเว็บบอร์ดพันทิป เขานั่งวิเคราะห์กันเป็นช็อตๆ เลยนะว่า ผู้จัดการคนนี้เอาดาราใหม่มาเกาะดาราผู้หญิงคนเดิมในสังกัดของตัวเองอีกแล้ว จะปั้นเด็กใหม่ ใครอยากดัง ให้มาเดินห้างฯ กับผู้หญิงคนนี้แล้วปล่อยข่าว ทำแบบเดิมจนคนเขารู้ทันแล้ว คนตามข่าวก็เลยจะระวังมากขึ้น พอคนรู้ทันมากขึ้น มันเลยอาจจะทำให้เกิดการเกาะกระแสมีข่าวกับนักการเมืองขึ้นมาหรือเปล่า

แต่ในกรณีของน้องมะนาว อันนี้พี่ไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง ก็ทำใจกลางๆ ถ้าน้องบริสุทธิ์ใจ พิสูจน์ได้ และถ้าข่าวครั้งนี้ทำให้น้องมะนาวดัง ก็อาจจะถือว่าเป็นผลบวกต่อน้องมากกว่า ถือว่าสบายเลย โชคดีไป แต่พี่เชื่อว่าไม่มีอะไรที่มันดีไปเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ ก็ต้องมีบางคนที่อาจจะเชื่อว่ามะนาวมีความสัมพันธ์ส่วนตัวหรือเปล่า หรืออาจจะไม่ได้มองว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน แต่อาจจะมองในแง่ลบไปว่าปล่อยข่าวเพราะน้องมะนาวอยากดังหรือเปล่า คิดได้หลายแง่ คนที่จะมองไม่ดีก็มี แต่ถ้าพูดถึงเรื่องความดังจากข่าวนี้อย่างเดียว ก็อาจจะถือว่าเป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องไม่ดี

พูดถึงกรณีอื่นกันบ้าง ถ้าดาราโนเนมอยากมีชื่อและใช้วิธีสร้างกระแสกับนักการเมือง นักปั้นชื่อดังมองว่าอาจจะส่งผลทั้งดีและไม่ดีได้ “ขึ้นอยู่กับนักการเมืองที่เขาไปผูกติดเป็นข่าวด้วย ถ้านักการเมืองคนนั้นมีคนชอบเยอะก็อาจจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้านักการเมืองที่ไปเป็นข่าวด้วยมีคนยี้เยอะก็อาจจะไม่ดี แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็อยู่ที่คนดูว่าเขาชอบนักการเมืองคนนั้นหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน บอกยาก แต่ถ้านักการเมืองคนนั้นมีลูกมีเมียแล้ว อันนี้เป็นภาพไม่ดีแน่นอน ไม่ต้องขึ้นอยู่กับอะไรเลย เพราะยังไงบ้านเราก็รับไม่ได้ ถ้าผู้ชายมีลูกมีเมียแล้ว ดาราเข้าไปยุ่งปุ๊บก็เสียทันที ผลตอบรับกลับมาเป็นแง่ลบมากกว่าบวก


แต่ถ้าดาราที่มีข่าวอื้อฉาวกับนักการเมืองเป็นเด็กในสังกัดของตัวเอง โกโก้ก็จะตัดสินไปอีกรูปแบบหนึ่ง “ในฐานะผู้จัดการพี่ไม่ชอบนะ พี่ไม่อยากให้น้องๆ ดาราที่ดูแลอยู่มีภาพลักษณ์แบบนั้น แต่บางคนอาจจะคิดว่ามันคุ้ม เพราะคำว่า “คุ้ม” ของคนเรามันไม่เหมือนกัน มันแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละคน บางคนยอมมีเงินน้อยดีกว่าที่จะมีข่าวไม่ดีออกมาแล้วดัง แต่บางคนยอมมีข่าวเสียๆ หายๆ ขอให้ได้มีชื่อเสียง มีเงินเข้ามา ถึงฉันจะเสียก็ไม่เป็นไร มันอยู่ที่วิจารณญาณของแต่ละคนเลย แล้วแต่จะคิด”




ดังชั่วข้ามคืน ดับชั่วข้ามวัน
ในมุมมองการตลาดแล้ว ดาราก็เปรียบเสมือนสินค้าที่ต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ดีเอาไว้ เพื่อให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและอยากติดตามผลงานต่อไป แต่สำหรับดาราที่ยังไม่ค่อยดัง มักจะเลือกทางเดินที่ผิด เลือกสร้างภาพลักษณ์ในวงการด้วยวิธีผิดๆ เน้นขายความแรง สร้างกระแสฉาว เกาะกระแสคนดังเข้าว่า เพราะคิดว่าจะทำให้เป็นที่สนใจและช่วยให้มีงานต่อไปในอาชีพนี้อีกเรื่อยๆ ซึ่งนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ทางธุรกิจและการสร้างแบรนด์ อย่าง ดร.เกียรติอนันต์ เตือนเอาไว้เลยว่าเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์!!

“ในต่างประเทศก็มีมานานแล้วครับวิธีการแบบนี้ ตามหลักแล้วดาราที่ทำแบบนี้เป็นเพราะเขาสับสนระหว่างคำว่า “ชื่อเสียง” กับ “แบรนด์” เพราะการมีภาพหลุดกับนักการเมืองหรือคนดังแบบนี้สำหรับดาราที่อยากดัง เขาจะได้แค่ชื่อเสียงชั่วข้ามคืน แต่มันไม่ใช่การสร้างแบรนด์ที่ดีเลย ลองตามเรื่องดาราเหล่านี้ไป จะเห็นว่าสุดท้ายเขาก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จด้านการงานเท่าไหร่ แค่มีคนรู้จัก คนพูดติดปาก แต่ไม่ได้ทำให้คนชื่นชมเพิ่มขึ้นนะครับ

และถ้ามองในแง่ของแบรนด์ เอาทฤษฎีเกี่ยวกับแบรนด์มาจับ ชื่อเสียงมันไม่ได้นำไปสู่รายได้ โดยเฉพาะชื่อเสียงในทางลบที่สร้างแล้วอื้อฉาว มันไม่ได้ทำให้เขาเป็นดาราที่ดังขึ้นมาได้ ไม่ทำให้ใครอยากจะจ้างไปทำงาน แต่มันเป็นความสับสน ความเข้าใจผิดของดาราไทยและต่างประเทศจำนวนมากเลย ที่เข้าใจว่าชื่อเสียงคือแบรนด์ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย การเป็นข่าวหน้าหนึ่งไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นดาราที่ประสบความสำเร็จเสมอไป มันแทบจะไม่มีความสัมพันธ์กันเลย


ดาราที่ก่อนหน้านี้ไม่ดัง แต่มาทำแบบนี้เพื่อที่จะดัง ซึ่งรากฐานของมันมาจากว่า เมื่อก่อนดาราที่มีชื่อเสียง ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม คนก็จะอยากรู้ ติดตามดูไปหมด ทำอะไรแปลกๆ คนก็ยิ่งสนใจ กลายเป็นประเด็นให้พูดถึงกันเยอะ ทีนี้ดาราใหม่ที่อยากดังเหมือนกันก็ไปคิดว่า จะทำยังไงให้เป็นข่าว ทำยังไงให้ดัง ให้คนยอมรับเหมือนดาราคนอื่นๆ ซึ่งมันไม่ใช่ครับ มันเป็นความเข้าใจผิด


ต้องเข้าใจก่อนว่าคนติดตามดาราคนนั้นเพราะเขาชื่นชอบดาราคนนั้น มองว่าเขามีความสามารถ มีคุณสมบัติ หรือมีอะไรบางอย่างที่ถูกใจเขา เพราะฉะนั้น ไม่ว่าดาราดังคนนั้นจะทำอะไรก็ตาม แฟนคลับก็แห่กันไปสนใจ มันก็กลายเป็นข่าวได้ แต่การที่ดาราไม่ดังมาคิดว่าจะเอาการเป็นข่าว เป็นใบเบิกทางสู่ความสำเร็จ มันเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์เลยครับ เป็นความเข้าใจผิดที่ถือว่ารุนแรงมากในทฤษฎีกลยุทธ์การสร้างแบรนด์


การเกาะกระแสนักการเมือง-คนดัง เพื่อให้ความเป็นดาราของตัวเองเจิดจรัสมากขึ้น ถือว่าเป็นกลยุทธ์การขายที่ได้ผลอยู่ในระยะสั้นๆ และทำให้คนคนนั้นสามารถโลดแล่นอยู่ในงานอีเวนต์ต่างๆ ได้ระยะหนึ่ง ถ้าต้องการแค่นั้น ก็ถือว่าตอบโจทย์ความต้องการของดาราโนเนมคนนั้นแล้ว


“บางคนต้องการชื่อเสียงเพียงเพื่อจะได้รับอีเวนต์เล็กๆ ถือว่าวิธีการเกาะกระแสแบบนี้ไม่ผิดครับ ถามว่ามีข่าวแบบนี้คุ้มมั้ย? ผมว่าขึ้นอยู่กับตัวดาราว่าเขาต้องการอะไร ถ้าคิดว่าจะอยู่ในวงการเพื่อให้คนจดจำในฐานะศิลปินที่ช่วยสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับสังคม วิธีนี้ไม่ได้ผล แต่คนที่เข้ามาเพื่อหาผลประโยชน์ระยะสั้นหรือเน้นประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก เขาอาจจะเลือกวิธีสร้างกระแสวิธีนี้ เพราะเห็นว่ามันคุ้มค่า ลงทุนน้อย ถึงจะได้ผลตอบแทนระยะสั้น แต่หักลบกับต้นทุนแล้วก็ยังคุ้มอยู่ดี


แต่ถ้าเลือกจะดังด้วยวิธีแบบนี้ ก็ต้องอย่าลืมมองในแง่การแข่งขันด้วยครับ อย่าลืมว่าเขาไม่ใช่ดาราคนเดียวที่สร้างเรื่องอื้อฉาว เพราะดาราที่ไม่ดังส่วนใหญ่ก็จะใช้กลยุทธ์คล้ายๆ กันคือสร้างเรื่องอื้อฉาว เรื่องอื้อฉาวอาจจะนำไปสู่งานอีเวนต์เล็กๆ เป็นรายได้ แต่มันไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จในอาชีพในวงการบันเทิง คนชอบคิดว่าชื่อเสียง เรื่องอื้อฉาว และความสำเร็จ เป็นเส้นทางเดียวกัน ซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ เพราะสุดท้าย ของแบบนี้มันเกิดข้ามคืน มันจบข้ามวัน






---ล้อมกรอบ---
วิธีสร้างแบรนด์ให้เป็น “ดาวค้างฟ้า”
โดย ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ทางธุรกิจและการสร้างแบรนด์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ 

อะไรทำให้ดาราคนนั้นดึงดูดความสนใจของคนและกลายเป็นกระแสได้?
ต้องรู้ก่อนว่ากลุ่มลูกค้าที่จะตามมาเห่อเราคือใครครับ ถ้าเป็นวัยรุ่นก็จะเน้นเรื่องหน้าตา เรื่องการเกาะกระแสวัยรุ่น แต่ถ้าเรานึกถึงวัยทำงาน ก็ต้องใช้กลยุทธอีกแบบหนึ่ง ต้องสื่อความจริงจังในการทำงานออกมา เราต้องรู้ก่อนว่าตัวตนของเราคือใคร เราจะเจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มไหน มีศักยภาพพอที่จะเจาะมันหรือเปล่า และดึงตัวตนของเราในด้านนั้นออกมา มันเป็นวิธีเดียวที่จะสำเร็จได้ครับ ถ้าใช้วิธีอื่น สุดท้ายเราจะกลายเป็นของปลอม และไม่มีวันประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน 

แล้วการเลือกมีข่าวกับนักการเมือง ถือว่าเจาะกลุ่มใคร?
แบบนี้น่าจะเจาะกลุ่มขาเมาท์กับพวกชอบตามจับผิดน่ะครับ แล้วให้พวกนี้ช่วยแชร์เพราะคิดว่าการแชร์แบบนี้จะทำให้คนรู้จักตัวเองเยอะ และอีกสักพักดาราที่ตกเป็นข่าวก็จะเปลี่ยนภาพพจน์เป็นคนดีขึ้นมา กลับมารีแบรนด์ตัวเองเพื่อลบภาพฉาว มันเริ่มจากคนชอบแชร์เรื่องลบ แล้วพอคนรู้แล้วก็ออกมาแก้ตัว สร้างภาพดีๆ ให้เห็น กลับตัวกลับใจ สังคมให้อภัย ก็มีโอกาสจะกลับมาได้ บางคนก็คิดแบบนั้น แต่บอกเลยว่ากลยุทธแบบนี้มันไม่ยั่งยืนหรอกครับ มันเป็นวิธีที่โหลมาก ใครๆ ก็ใช้ 

คุณสมบัติที่ดาราต้องมีในการสร้างแบรนด์ให้ตัวเองค้างฟ้าคืออะไร? 
ตามหลักการสร้างแบรนด์แล้ว แบรนด์ที่ดีต้องมี 3 อย่างครับ คือ 1.จะต้องมีเรื่องราวของตัวเอง อย่างเช่น ถ้าพูดถึงโออิชิ เราจะนึกถึงภาพชาเขียวที่ค่อยๆ เติบโตมา ทำให้คนไทยได้กินชาเขียว พอพูดถึงอิชิตัน คนก็จะนึกถึงภาพโรงงานคุณตันโดนน้ำท่วม คุณตันแจงทอง เขาพยายามจะสร้างให้เห็นว่า พอได้ยินชื่อของแบรนด์นี้จะนึกถึงเรื่องราวที่หนุนหลังอยู่ ถ้าได้ยินชื่อ ลีโอนาโด ดีคาปริโอ ก็จะนึกถึงหนังเรื่องไททานิก เราจะเห็นว่าดาราที่ดังได้ คนจะพูดถึงเรื่องฝีมือการแสดง เหมือนกับพูดถึงพี่เบิร์ด-ธงไชย เราจะนึกถึงคอนเสิร์ตที่ไม่มีใครเทียบได้

นั่นคือคุณสมบัติของแบรนด์ที่ดีที่ต้องสร้างให้ได้ครับ มันเป็นมากกว่าผลงาน แต่เป็นผลงานที่คนประทับใจและยอมรับ ทำให้เวลาพูดถึงดาราคนนั้นแล้วเราจะนึกถึงแลนด์มาร์กในชีวิตของเขา และสามารถที่จะเชื่อมโยงคนคนนี้กับอะไรบางอย่างได้ 

2.เรื่องราวนั้นเป็นเรื่องราวเฉพาะตัว ไม่มีใครเหมือน แต่อย่างซีรีส์เกาหลีทุกวันนี้ ถ้าไม่ใช่คนที่ตามจริงๆ แล้วไปดู เราจะจำใครไม่ค่อยได้เลย แต่ถ้าถึงรุ่นผม พูดถึง เดวิด เจียง คนจะนึกภาพออก ถ้าพูดถึง เฉินหลง คนจะอ๋อทันที เพราะเขามีเรื่องราวเฉพาะตัวว่าเฉินหลงจะเล่นหนังประเภทวิ่งสู้ฟัด ส่วน โจชิงสือจะเล่นหนังประเภทคนเล็ก ซึ่งมันแตกต่างจากคนอื่น พูดถึง โน้ต-อุดม คนจะนึกถึงเดี่ยว 1-10 มันสะท้อนความเป็นตัวตนของเขา และทำให้เกิดคุณสมบัติข้อที่ 3 ของแบรนด์ขึ้นมาคือ ทำให้คนประทับใจและจดจำ

แต่ดาราสมัยนี้ อาจจะคิดแค่ว่าทำให้คนรู้สึกอินไปด้วยก็พอ แต่การอินไม่ใช่ความประทับใจ นั่นคือความสับสนที่ทำให้หลายๆ คนไม่ประสบความสำเร็จ แม้แต่งานวิจัยในต่างประเทศยังบอกไว้เลยครับว่า ดาราคนไหนที่ทำให้คนรู้สึกวูบวาบแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว เช่น แต่งตัวหวือหวา ทำตัวเป็นข่าวให้คนคอมเมนต์ คนอาจจะจำได้ว่าดาราคนนี้เคยมีข่าว แต่จะจำไม่ได้ว่าเขามีผลงานน่าประทับใจอะไรบ้าง  

เพราะฉะนั้น ถ้าต้องการแค่ความจำ ให้เล่นกับความรู้สึกของคน แต่ถ้าต้องการให้สามารถยืนยงอยู่ในวงการได้อย่างเข้มแข็ง ต้องสร้างเรื่องราวเฉพาะตัวที่ทำให้คนประทับใจ ต้องเป็นตัวของตัวเองครับ ผมไม่คิดว่าคนจะมองหาของที่เหมือนกันนะครับ และการจะพิสูจน์ความเป็นตัวของตัวเอง ต้องอาศัยทั้งความพยายาม การฝึกฝน และบางทีต้องอาศัยโชคด้วย ต้องรู้จักอดทนรอจังหวะของเราให้ได้ แล้วก็จะดังขึ้นมาเอง การที่จะเร่งให้ดังจนเกินไปแล้วลืมตัวตนของตัวเอง สุดท้ายคนก็จะไม่จำอยู่ดี ไม่มีดาราคนไหนดังได้เพราะก๊อปปี้ดาราคนอื่นหรอกครับ 

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE



ข่าวที่เกี่ยวข้อง (คลิก)
“มะนาว” ปัดเป็นเมียน้อย “บรรหาร” แจ้งความเอาผิดคนปล่อยข่าว 

มะนาว-ศรศิลป์ นางเอกช่องมากสี
ออกมาแถลงข่าว แจงความบริสุทธิ์ใจ


ตูน-บอดี้สแลม ก็ได้ถ่ายรูปในมุมเดียวกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น