ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-จำนำข้าวยังฉาวไม่หยุด “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าเก่าเดินหน้าถลกหนังรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่แถข้างๆ คูๆ เพื่อเอาตัวรอดจากความผิดปกติส่อทุจริตที่เกิดขึ้นในโครงการรับจำนำข้าวเวลานี้
ศึกยกใหม่ในโครงการรับจำนำข้าวระหว่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกับฝ่ายค้านพรรคประชาธิปัตย์ ในช่วงนี้ เรียกว่าตามล้างตามเช็ดกันรายวัน ไม่ใช่แค่ข้าวเน่าเอาไปทิ้งกลางทุ่งทำลายหลักฐานโดยรัฐบาลอ้างว่าเป็นข้าวที่ถูกน้ำท่วม แต่ยังมีข้อกังขาเรื่องทำไมข้าวถึงถูกเผา รวมทั้งการส่งมอบข้าวภายใต้สัญญารัฐบาลต่อรัฐบาลหรือจีทูจี ที่รัฐบาลคุยโม้ทั่วบ้านทั่วเมืองว่าขายให้รัฐบาลจีนได้มากโขอยู่นั้น มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ใช่หรือไม่?
ยังไม่นับถึงเรื่องงประมาณที่จะใช้ในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งมีข้อสงสัยกันว่าเกินวงเงิน 5 แสนล้านไปแล้ว คำถามคือ จำนำข้าวรอบใหม่ที่จะใช้เม็ดเงินประมาณ 2.7 แสนล้าน นั้นจะมาจากไหน จะกู้เพิ่มอีกแล้ว ใช่หรือไม่?
การทิ้งบอมบ์ของหมอวรงค์ที่กดดันให้รัฐบาลตอบข้อสงสัยของสังคม ทำเอานายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อารมณ์บ่จอย นั่งหน้าเครียดกลางที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 17 ก.ย. 56 และวีนใส่รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องให้ออกมาแก้ตัว สยบข่าวฉาวให้ได้ ส่งผลให้บรรดารัฐมนตรีที่ไล่ตั้งแต่นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รมว.กระทรวงพาณิชย์, นายยรรยง พวงราช รมช.กระทรวงพาณิชย์, นายวราเทพ รัตนากร รมช.กระทรวงเกษตรฯ ก้นร้อนนั่งไม่ติดเก้าอี้ เพราะโครงการรับจำนำข้าว มีข้อพิรุธทุจริตทิ่มแทงรัฐบาลหลายประเด็น
ประเด็นเรื่องข้าวเน่ากลางทุ่งนาวัดโบสถ์ ต.วัดโบสถ์ อ.วัดโบสถ์ จ.พิษณุโลก เหมือนประจานรัฐบาล เพราะข้าวเน่าบรรจุอยู่ในกระสอบ กองพะเนินเทินทึกที่ถูกฝนชะล้างลงที่นาของชาวนาจนทำให้นาข้าวเสียหายกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต จนนายยรรยง ต้องรีบแก้ผ้าเอาหน้ารอดตั้งคณะกรรมการฯ ขึ้นมาตรวจสอบ
ขณะเดียวกัน นายศิริชัย แท่นหิน หัวหน้าคลังสินค้ากลางอ.ต.ก.จังหวัดพิษณุโลก รายงานเรื่องนี้ต่อผู้ว่าฯ พิษณุโลก เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 56 ว่า โดยสรุปว่า กรณีกองข้าวสารบรรจุกระสอบ ถูกเผาทำลายบริเวณถนนเลียบคลองชลประทาน หมู่ 7 ต.วัดโบสถ์ อ.วัดโบสถ์ อ.ต.ก.จังหวัด ได้จ่ายข้าวสารให้ผู้ซื้อตามคำสั่งผู้อำนวยการอ.ต.ก. เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 55 จำนวน 13,000 ตัน ปรากฏว่า มีข้าวสารลูกพื้นกองเปียกน้ำ ประมาณ 1,300 ตันเศษ ผู้ซื้อจึงไม่ได้ขนย้ายออกจากโกดัง ซึ่งข้าวที่เปียกน้ำอยู่ในความรับผิดชอบของบจก.เกษตรไพศาลธัญกิจ(เจ้าของโกดัง) กับผู้ซื้อ
จนต้นเดือนก.ย. 56 กองข้าวสารดังกล่าวเกิดการระอุ เจ้าของโกดังจึงแจ้งตำรวจและรถดับเพลิงมาดับไฟ และเกรงว่าข้าวสารจะระอุขึ้นมาอีก จึงขนย้ายออกจากโกดัง ไปกองไว้ในที่ดินของตนเองด้านหลังโกดังเลขที่ 77 หมู่ 7 ถนนพิษณุโลก-เด่นชัย อ.วัดโบสถ์ ทำให้เกิดปัญหาข้าวสารส่งกลิ่นเหม็นเน่า และน้ำเสียในนาข้าว ทำให้เข้าใจผิดว่า นำข้าวโครงการรับจำนำมาเผาทิ้งเพื่อกลบเกลื่อนหลักฐาน
นั่นเป็นคำชี้แจงของ อ.ต.ก.จังหวัด แต่หมอวรงค์ สวนกลับว่า มีข้อผิดสังเกตและให้ข้อมูลขัดกันเอง การอ้างว่าเป็นข้าวเสียหายที่รอเคลมประกันก็ต้องเก็บไว้ที่โกดังไม่ใช่เอาไปทิ้ง และยังพบว่ามีการผ่ากระสอบป่านบรรจุข้าว จึงตั้งข้อสงสัยว่าเป็นการเวียนเทียนข้าว ลักษณะผ่ากระสอบเอาข้าวที่ร่วมโครงการรัฐออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงกระสอบ และข้าวน้ำท่วมหรือข้าวเสียก็ขายทำเงินได้ แต่กลับนำบางส่วนนำมาเผาทิ้ง นี่คือการทำลายหลักฐานมากกว่าจะเป็นอย่างอื่น
“อยากให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบว่าบริษัทที่ไปซื้อข้าวล็อตนี้จะไปส่งที่ไหน เหตุใดถึงนำมากองที่นี่ ทำไมต้องผ่าท้องกระสอบข้าว ซึ่งจะโยงให้เห็นได้ว่าไปที่ใคร และสามารถตรวจสอบจากกระสอบได้ว่ามาจากโรงสีใด เชื่อว่าขั้นตอนการทุจริตเกิดในระหว่างการระบายข้าว” หมอวรงค์ ตั้งข้อสงสัย และในวันที่ 19 ก.ย. หมอวรงค์ ก็ยื่นเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เข้ามาตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้น
เมื่อเรื่องราวบานปลายออกไป นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ก็สั่งเคลียร์ให้จบโดยเร็ว แล้วเมื่อวันที่ 18 ก.ย. 56 กองข้าวสารบรรจุกระสอบ จำนวน 1,300 ตัน ก็ถูกขนย้ายด้วยรถแบ็กโฮที่ตักขึ้นบรรทุก แล้วนำไปทิ้งในบ่อดิน เนื้อที่ 40 ไร่ บริเวณตอนเหนือโกดัง ห่างจากจุดเดิมประมาณ 3 กิโลเมตร เรียบร้อย
หลังถูกไล่ถลุงจากพรรคฝ่ายค้านจนนายกรัฐมนตรี เสียศูนย์ ฝ่ายตำรวจซึ่งถนัดเล่นบทเบี่ยงเบนประเด็นความสนใจของสังคม ก็ออกข่าวจับเถ้าแก่โรงสีที่จ.พิจิตร โกงชาวนา มากลบข่าวข้าวเน่า
แต่งานนี้ นายมุนินทร์ จันทรา หรือ “เสี่ยหนุ่ม” เจ้าของบริษัทโรงสีแอล-โกลด์ เมนูแฟคเจอร์ จำกัด ที่ถูกจับตามหมายจับศาลจังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 56 ในคดีร่วมกันฉ้อโกงข้าวชาวนาในโครงการรับจำข้าว และยักยอกทรัพย์ที่เป็นข้าวเปลือก และข้าวสารองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.) ทั้งหมด 12,000 ตัน ก็ทิ้งระเบิดโดยลากใส้ขบวนการโกงจำนำข้าวซ้ำเติมเข้าไปอีก
กลโกงจำนำข้าวจากปากคำของ “เสี่ยหนุ่ม” เขาเล่าว่า ตอนที่เริ่มเข้าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐที่จังหวัดพิจิตร มีคนกลางมาเจรจาว่า ถ้าเข้าโครงการรับจำนำข้าวและมีคำสั่งในการแปรรูปข้าวเพื่อส่งเข้าคลังสินค้าแล้วจะได้ใบประทวนก็จะมีรายรับ คุณมุนินทร์ จะจ่ายเท่าไหร่? ซึ่งเป็นค่าเคลียร์ ตนก็ตอบไปว่าไม่มีปัญหา เพราะเป็นการคอรัปชั่นกันจนเป็นประเพณีปฏิบัติที่ชาวโรงสีจะเป็นที่รู้กัน และจริงๆ แล้วสังคมก็น่าจะรู้ รัฐบาลก็น่าจะรู้ ตนก็ยอมที่จะจ่ายเงินให้กับผู้ตรวจสอบคุณภาพสินค้าที่ อ.ต.ก.จ้างมา ซึ่งเรียกว่า “เซอร์เวย์เยอร์” การจ่ายแบบนี้เรียกว่า “ค่าเหยียบแผ่นดิน” ถ้าเป็นข้าวสารคุณภาพดี ผ่านเกณฑ์ก็ต้องจ่ายกระสอบละ 10 บาท
“เสี่ยหนุ่ม” ยังท้าว่า ให้ไปผ่ากองข้าวสารตามโกดังต่างๆ ทั้งในพิจิตรและที่อื่นๆ รับรองได้ว่า ข้าวอยู่หน้าประตูจะเป็นข้าวดี ส่วนที่อยู่กลางกองจะเป็นข้าวด้อยคุณภาพ เพราะว่าเป็นข้าวจากเขมร และพม่า รวมถึงข้าวเก่าที่ประมูลมาจากคลังสินค้า แล้วมาเวียนเข้าเป็นสต็อกส่งมอบเข้าคลังสินค้า ซึ่งจะต้องจ่ายเงินให้กับเซอร์เวย์เยอร์ กระสอบละ 50 บาท ทำเรื่องผิดให้เป็นเรื่องถูก เพื่อแลกกับใบประทวน ส่วนที่เป็นข้าวใหม่ ข้าวดี โรงสีก็เอาไปขายส่งออกและบรรจุข้าวถุงขายในประเทศได้กำไร 2-3 ต่อ
“โครงการรับจำนำข้าวปีที่แล้วทั่วประเทศประมาณ 150 ล้านกระสอบ คิดดูเอาเองว่าเป็นเงินเท่าไหร่ และจะมีข้าวที่เข้ามาปลอมปน และสวมรอยว่าเป็นข้าวตามโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลมากแค่ไหน” เจ้าของโรงสี ท้าทาย
ไม่เพียงแต่ “เสี่ยหนุ่ม” เท่านั้นที่ทำตัวเป็นหมูไม่กลัวน้ำร้อน นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทยในฐานะประธานคณะอนุกรรมการติดตามเสนอแนะปัญหาโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ก็ออกมาอัดรัฐบาลเช่นกัน โดยตั้งคำถามถึงการขายข้าวของรัฐบาลในรูปจีทูจีว่ามีจริงหรือไม่ เพราะตรวจสอบแล้วพบว่ามีอยู่น้อยมาก
นอกจากนั้น ยังมีปัญหาเรื่องความไม่โปร่งใส ไม่สามารถปิดบัญชีจำนำข้าวได้ ซึ่งเท่าที่ติดตามดู เวลานี้พูดกันว่าขาดทุนแล้ว 3 แสนล้านบาท ใช้เงินจำนำ 5 แสนล้านบาท และใช้เกินอีก 1.7 แสนล้านบาท รวมเป็น 6.7 แสนล้านบาท บวกโครงการใหม่อีก 2.7 แสนล้านบาท รวมแล้วเกือบ 1 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่มากและเป็นภาระต่อประชาชน
สอดรับกับการออกมาแฉของนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่โพสต์เฟซบุ๊ค "ใครโกหก (อีกแล้ว)" ว่า นายนิวัฒน์ธำรง อ้างว่าได้ลงนามสัญญาขายข้าวให้จีนแล้ว 1.2 ล้านตัน แต่ทางสำนักข่าวรอยเตอร์ส กลับรายงานว่า ทางจีน ได้ปฏิเสธ และยืนยันว่ายังไม่มีข้อตกลง แถมชี้แจงอีกต่างหากว่าจีนไม่มีความต้องการข้าวมากถึงขนาดนั้น
เจอหมัดซ้ำจากฝ่ายค้านเข้าไปอีก นายกรัฐมนตรี ก็เต้นเร่า นายนิวัฒน์ธำรง จึงรีบออกมาชี้แจงทันทีว่า จากการเจรจาที่เมืองฮาร์บิ้น มลฑลเฮยหลงเจียง ประเทศจีน บริษัท Beidahuang ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน สนใจที่จะซื้อข้าวขาวในสต็อกรัฐบาลจำนวน 1.2 ล้านตันจริง และจะซื้อยางพาราอีก 2 แสนตัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการร่างสัญญาซื้อขายและเจรจากัน คาดว่าภายใน 2 สัปดาห์นี้ จะลงนามได้
ส่วนเรื่องวงเงินรับจำนำข้าวที่ครม.อนุมัติงบประมาณ 2.7 แสนล้าน เพื่อรับจำนำข้าวฤดูกาลผลิต 2556/2557 นั้น นางสาวยิ่งลักษณ์ โบ้ยให้กระทรวงพาณิชย์ กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธ.ก.ส.) ไปจัดการ
แล้วนายบุญไทย แก้วขันตี รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ก็เปิดเผยความจริงให้ได้รู้ว่า เงินรับจำนำข้าวรอบใหม่ 2.7 แสนล้านที่นายกรัฐมนตรี มีนโยบายที่จะใช้เงินระบายข้าวทั้งจำนวนโดยไม่ต้องกู้อีก ก็เป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ที่จะต้องทำตามนโยบายให้ได้
แต่สำหรับธ.ก.ส.ซึ่งเห็นน้ำยาระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์ดี ได้เตรียมแผนบริหารจัดการด้วยการใช้เงินจากการระบายข้าวเพียง 1 แสนล้านบาท ส่วนที่เหลืออีก 1.7 แสนล้านบาท จะมาจากเงินกู้ของสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) จากที่มีเพดานการค้ำประกันเงินกู้เหลือเพียง 2.5 แสนล้านบาท โดยรอบนี้ ธ.ก.ส.ตั้งใจจะไม่ใช้เงินจากสภาพคล่องของ ธ.ก.ส.เนื่องจากปีการผลิต 2555/2556 ธ.ก.ส.ได้สำรองจ่ายไปก่อนแล้ว 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งต้องได้รับชำระหนี้จากเงินระบายข้าวเพื่อให้สามารถปิดโครงการได้ในวงเงิน 5 แสนล้านภายในสิ้นปีนี้ตามมติครม.
ฟังจาก ธ.ก.ส.ก็รู้แล้วว่า ถ้ากระทรวงพาณิชย์ ไม่มีปัญญาระบายข้าวเอาเงินมาโป๊ะคืนหนี้ ธ.ก.ส.ก็อย่าหวังว่าจะมีเงินมารับจำนำข้าวในฤดูกาลใหม่นี้ แล้วถึงวันนั้นรัฐบาลก็คงหน้ามืดสวมบทนักสู้กู้สิบทิศ ทิ้งภาระหนี้สินให้กับประชาชนในอนาคตอย่างแน่แท้