ASTVผู้จัดการรายวัน-“ทักษิณ”สไกป์ ผ่านไทยรัฐทีวี บอกตลก แผน 8 ต.ค.ล้มรัฐบาล บอกสงสาร “น้องปู” อยู่ในการเมืองที่ไม่ยอมรับกติกา พร้อมการันตีแทนปัจจุบัน ไม่มีเหตุการณ์ที่จะยุบสภา ด้านคนเพื่อไทย ดาหน้าอ้าง 7 ปีถูกรัฐประหารเสียโอกาส แต่ไม่แจงปัญหา “โคตรโกง” ด้าน “ชวน” ปัดร่วมปาหี่ เสนอ 6 แนวทาง-หลักธรรมาภิบาลให้ รบ.ปฏิบัติ
วานนี้(19 ก.ย.56) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านสไกป์กับไทยรัฐออนไลน์ โดยระบุว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มีการรัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549 ประเทศเสียเวลาไปมากแล้ว และควรหันหน้าเข้าหากันทำตามกติกา ซึ่งตนพร้อมให้อภัยทุกฝ่าย ซึ่งหากมีโอกาสร่วมสภาปฏิรูป จะเสนอให้นำทุกฝ่ายเข้าร่วมให้ได้มากที่สุด เปิดอกพูดถึงประเด็นที่ไม่สบายใจ กำหนดกติกา เพื่ออยู่ด้วยกันอย่างสันติ
ส่วนการยุติบทบาทนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ถามกลับว่า หยุดแล้วได้อะไร หยุดแล้วคุณก็ปลุกม็อบปิดถนนอยู่ที่ปักษ์ใต้ แล้วคุณก็ขว้างเก้าอี้อยู่ในสภา ผมคือทักษิณคนธรรมดา พูดคุยกับผมสิ ผมพูดง่ายมาก จบเป็นจบ ซึ่งถ้าผมหยุดแล้ว คุณเลิกเป็นเด็กเกเรไหม นอกจากนี้พ.ต.ท.ทักษิณยังระบุถึงกระแสการล้มรัฐบาลว่า เป็นรู้กันเป็นการภายในว่าจะมีการล้มรัฐบาลให้ได้ในวันที่ 8 ต.ค. ก็รู้ๆกันว่า 8ต.ค.คือวันอะไร ถือฤกษ์ถือยามอะไร ผมว่ามันเป็นเรื่องตลกที่อยู่ในกติกากัน
ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ตอบคำถามว่า จะร่วมเวทีสภาปฏิรูปการเมืองหรือไม่ แต่ระบุว่า เวทีดังกล่าวทุกฝ่ายต้องเข้าร่วม เพื่อวางกติการ่วมกัน ส่วนเรื่องอยากมีตำแหน่งในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ขอให้เป็นเรื่องที่พูดกันภายใน ส่วนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ต้องเคารพประชาชน เพราะมีอำนาจสูงสุดในประเทศ
“รู้สึกสงสาร นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในการเมืองที่ไม่ยอมรับกติกา แต่เรื่องงานหนักนั้น นายกรัฐมนตรี ชินแล้ว เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ตลอดจนยืนยันว่า ปัจจุบัน ไม่มีเหตุการณ์ที่จะยุบสภา”
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฏหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์ข้อความว่า วันนี้ครบรอบ 7 ปีของการยึดอำนาจ บ้านเมืองเสียหายไปมาก แม้ยึดอำนาจจากประชาชน แต่ประชาชนก็ยังถวิลหาประชาธิปไตย และจะยึดไปก็ไม่ยั่งยืน ต้องคืนให้ประชาชนในที่สุด เราอยากได้ทองก็ต้องเก็บเงินไปซื้อ อย่าพกปืนไปร้านทองออโรร่า ถ้าอยากได้อำนาจจากประชาชน ก็ต้องสร้างศรัทธา แล้วให้ประชาชนรัก เขาจึงจะเลือก อย่าไปข่มขืนใจเขา กรณีนี้รวมถึงคนที่ยินดีรับทอง จากพวกที่ได้มาโดยมิชอบด้วย เลิกคิดว่าจะมีทองหล่นอีกครั้ง โปรดไปก้มหน้าทำงานเก็บเงินเพื่อไปซื้อทอง มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าบังอาจมาข่มขืนใจประชาชนอีก
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า 7 ปีที่ผ่านมาเราได้บทเรียนเยอะ ตนก็เป็นคนหนึ่งเมื่อตอนรัฐประหารต้องออกจากตำแหน่ง วันนี้เราได้บทเรียน และการที่ได้มาทำงานร่วมกับ นายกรัฐมนตรี ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้เดินทางไปต่างประเทศร่วมกับนายกฯ และได้พูดจากกับหลายๆ กลุ่ม ซึ่งจะเห็นว่า 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้เวลาอย่างมากในการเสริมสร้างและเรียกความเชื่อมั่นกลับมา เพราะผลกระทบจากการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.49 ไม่ใช่เฉพาะในปีนั้นหรือแค่วันนั้น แต่มีผลกระทบต่อเนื่อง เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และความขัดแย้งทางการเมืองในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้นประชาธิปไตยได้กลับคืนมาจากการเลือกตั้ง เมื่อ 2 ปีที่แล้วต้องใช้เวลามากในการทำความเข้าใจ
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี แถลงว่า บทเรียนจากการยึดอำนาจคงเป็นที่ตระหนักของประชาชนชาวไทย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างไร ทำให้ประชาธิปไตยไทยกลับไปเริ่มต้นใหม่ ถือเป็นบทเรียนที่ดี อยากย้ำเตือนให้เห็นเพราะขณะนี้ยังมีความพยายามดึงประเทศไทยไปสู่การปกครองที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยอีก ทั้งนี้ปี2549 ไม่มีเหตุผลที่ต้องยึดอำนาจ และถือเป็นการยึดอำนาจประชาชนไม่ใช่ยึดอำนาจรัฐบาล
อีกด้านนายบรรหาร ศิลปอาชา ผู้ประสานงานสภาปฏิรูปของรัฐบาล กล่าวภายหลังนำคณะเข้าพบ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำพรรคโดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการสัมภาษณ์นักข่าว
ด้านนายชวน กล่าวว่า ได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสภาปฏิรูปและให้ข้อมูลว่าสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร ซึ่งบางเรื่องนายบรรหารไม่มีข้อมูล ซึ่งตนได้มอบหลักธรรมาภิบาล 6 ข้อกับนายบรรหารว่า หากรัฐบาลฏิบัติตามจะเป็นแบบอย่างที่ดี หากอนาคตจะทำดีได้ต้องปฏิบัติและทำดีในปัจจุบันก่อน เช่น การเคารพกฎหมายบ้านเมือง ใช้กฎหมายยุติธรรมอย่างเสมอกัน เพราะความแตกแยกสามัคคีส่วนหนึ่งมาจากการเลือกปฏิบัติ เช่น คนของตนเองไม่ทำอะไร แต่คนอื่นทำก็คอยหาเรื่อง เช่น ความแตกแยกของเกษตรกรสวนยางพาราและชาวนาที่ขัดแย้งกันก็เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น เพราะรัฐบาลเลือกปฏิบัติ
รวมทั้งมีการพูดถึงว่าวันครบรอบ 7 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย.49ว่าเงื่อนไข 4 ข้อที่ถูกอ้างในการทำรัฐประหารวันนี้ยังมีอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการโกงกิน แทรกแซงองค์กรอิสระ ความแตกแยกสามัคคี หรือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ส่วนหนึ่งมาจากคนที่อยู่ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งต้องทบทวน หากรัฐบาลต้องการปฏิรูปการเมือง สังคม ในอนาคต ต้องทบทวนตัวเองในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติ
ทั้งนี้หากรัฐบาลสามารถปฏิบัติเป็นตัวอย่างได้ ฝ่ายอื่นก็ไม่มีปัญหา โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่ตัวปัญหาของบ้านเมือง เพราะเราไม่ใช่ฝ่ายปฏิบัติแล้ว และพวกตนมาจากระบอบประชาธิปไตยที่ไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียง ขณะที่บางพวกอ้างมาจากประชาธิปไตยแต่โกงเลือกตั้ง
นอกจากนี้ตนยังมอบพระราชดำรัสในหลวงปี 52-53 ที่รับสั่งติดกันถึงสองปีในวันที่ 5 ธันวาคม ว่า แต่ละคนต้องทบทวนบทบาทหน้าที่ของตนเองว่ามีหน้าที่ต้องทำอะไร และทำสิ่งนั้นให้สมบูรณ์ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ซึ่งตนได้แนบไปด้วยเผื่อนายบรรหารจะนำทั้งหลักธรรมาภิบาลและพระราชดำรัสไปมอบให้นายกรัฐมนตรี รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ด้วย
ส่วนการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แก่ผู้ซึ่งกระทำผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางกการเมืองของประชาชน พ.ศ........ ซึ่งมีนายสามารถ แก้วมีชัย เป็นประธานกรรมาธิการมีมติเห็นพ้องว่าให้มีการนิรโทษกรรมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการกระทำความผิดทางการเมือง โดยยึดตามเหตุการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้น ตั้งปี พ.ศ.2548 ก่อนเกิดการปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 ส่วนจะให้ครอบคลุมถึงเดือนใดนั้นต้องมีการหารืออีกครั้ง ขณะที่กมธ.ฝ่ายเพื่อไทย เสนอ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2548
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรรมาธิการข้างน้อย เสนอให้มีการยึดเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นหลักเพราะจะมีผลต่อการตรวจสอบและง่ายต่อการดำเนินการและหากมีการนิรโทษทุกคนก็ต้องได้รับการนิรโทษ
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย กรรมาธิการข้างน้อย เสนอให้มีการนำทุกฝ่ายมาพูดคุย อาทิ แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ พร้อมกับเสนอให้ประชาชนที่มีคดีความผิด ยืนเอกสารมาประกอบได้ ส่วนจะเชิญกลุ่มผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกลุ่มใดเข้าชี้แจงในสัปดาห์หน้านั้น นายสามารถเห็นว่า จะต้องมีการหารือกันครั้ง โดยจะยึดเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการ
วานนี้(19 ก.ย.56) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านสไกป์กับไทยรัฐออนไลน์ โดยระบุว่า ตลอด 7 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มีการรัฐประหาร เมื่อ 19 กันยายน 2549 ประเทศเสียเวลาไปมากแล้ว และควรหันหน้าเข้าหากันทำตามกติกา ซึ่งตนพร้อมให้อภัยทุกฝ่าย ซึ่งหากมีโอกาสร่วมสภาปฏิรูป จะเสนอให้นำทุกฝ่ายเข้าร่วมให้ได้มากที่สุด เปิดอกพูดถึงประเด็นที่ไม่สบายใจ กำหนดกติกา เพื่ออยู่ด้วยกันอย่างสันติ
ส่วนการยุติบทบาทนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ถามกลับว่า หยุดแล้วได้อะไร หยุดแล้วคุณก็ปลุกม็อบปิดถนนอยู่ที่ปักษ์ใต้ แล้วคุณก็ขว้างเก้าอี้อยู่ในสภา ผมคือทักษิณคนธรรมดา พูดคุยกับผมสิ ผมพูดง่ายมาก จบเป็นจบ ซึ่งถ้าผมหยุดแล้ว คุณเลิกเป็นเด็กเกเรไหม นอกจากนี้พ.ต.ท.ทักษิณยังระบุถึงกระแสการล้มรัฐบาลว่า เป็นรู้กันเป็นการภายในว่าจะมีการล้มรัฐบาลให้ได้ในวันที่ 8 ต.ค. ก็รู้ๆกันว่า 8ต.ค.คือวันอะไร ถือฤกษ์ถือยามอะไร ผมว่ามันเป็นเรื่องตลกที่อยู่ในกติกากัน
ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ตอบคำถามว่า จะร่วมเวทีสภาปฏิรูปการเมืองหรือไม่ แต่ระบุว่า เวทีดังกล่าวทุกฝ่ายต้องเข้าร่วม เพื่อวางกติการ่วมกัน ส่วนเรื่องอยากมีตำแหน่งในสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นั้น ขอให้เป็นเรื่องที่พูดกันภายใน ส่วนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ ต้องเคารพประชาชน เพราะมีอำนาจสูงสุดในประเทศ
“รู้สึกสงสาร นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในการเมืองที่ไม่ยอมรับกติกา แต่เรื่องงานหนักนั้น นายกรัฐมนตรี ชินแล้ว เพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ตลอดจนยืนยันว่า ปัจจุบัน ไม่มีเหตุการณ์ที่จะยุบสภา”
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฏหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์ข้อความว่า วันนี้ครบรอบ 7 ปีของการยึดอำนาจ บ้านเมืองเสียหายไปมาก แม้ยึดอำนาจจากประชาชน แต่ประชาชนก็ยังถวิลหาประชาธิปไตย และจะยึดไปก็ไม่ยั่งยืน ต้องคืนให้ประชาชนในที่สุด เราอยากได้ทองก็ต้องเก็บเงินไปซื้อ อย่าพกปืนไปร้านทองออโรร่า ถ้าอยากได้อำนาจจากประชาชน ก็ต้องสร้างศรัทธา แล้วให้ประชาชนรัก เขาจึงจะเลือก อย่าไปข่มขืนใจเขา กรณีนี้รวมถึงคนที่ยินดีรับทอง จากพวกที่ได้มาโดยมิชอบด้วย เลิกคิดว่าจะมีทองหล่นอีกครั้ง โปรดไปก้มหน้าทำงานเก็บเงินเพื่อไปซื้อทอง มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าบังอาจมาข่มขืนใจประชาชนอีก
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า 7 ปีที่ผ่านมาเราได้บทเรียนเยอะ ตนก็เป็นคนหนึ่งเมื่อตอนรัฐประหารต้องออกจากตำแหน่ง วันนี้เราได้บทเรียน และการที่ได้มาทำงานร่วมกับ นายกรัฐมนตรี ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้เดินทางไปต่างประเทศร่วมกับนายกฯ และได้พูดจากกับหลายๆ กลุ่ม ซึ่งจะเห็นว่า 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลใช้เวลาอย่างมากในการเสริมสร้างและเรียกความเชื่อมั่นกลับมา เพราะผลกระทบจากการรัฐประหารเมื่อ 19 ก.ย.49 ไม่ใช่เฉพาะในปีนั้นหรือแค่วันนั้น แต่มีผลกระทบต่อเนื่อง เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และความขัดแย้งทางการเมืองในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ฉะนั้นประชาธิปไตยได้กลับคืนมาจากการเลือกตั้ง เมื่อ 2 ปีที่แล้วต้องใช้เวลามากในการทำความเข้าใจ
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี แถลงว่า บทเรียนจากการยึดอำนาจคงเป็นที่ตระหนักของประชาชนชาวไทย ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศอย่างไร ทำให้ประชาธิปไตยไทยกลับไปเริ่มต้นใหม่ ถือเป็นบทเรียนที่ดี อยากย้ำเตือนให้เห็นเพราะขณะนี้ยังมีความพยายามดึงประเทศไทยไปสู่การปกครองที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยอีก ทั้งนี้ปี2549 ไม่มีเหตุผลที่ต้องยึดอำนาจ และถือเป็นการยึดอำนาจประชาชนไม่ใช่ยึดอำนาจรัฐบาล
อีกด้านนายบรรหาร ศิลปอาชา ผู้ประสานงานสภาปฏิรูปของรัฐบาล กล่าวภายหลังนำคณะเข้าพบ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำพรรคโดยใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมงด้วยใบหน้าเคร่งเครียดและพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการสัมภาษณ์นักข่าว
ด้านนายชวน กล่าวว่า ได้ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมสภาปฏิรูปและให้ข้อมูลว่าสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร ซึ่งบางเรื่องนายบรรหารไม่มีข้อมูล ซึ่งตนได้มอบหลักธรรมาภิบาล 6 ข้อกับนายบรรหารว่า หากรัฐบาลฏิบัติตามจะเป็นแบบอย่างที่ดี หากอนาคตจะทำดีได้ต้องปฏิบัติและทำดีในปัจจุบันก่อน เช่น การเคารพกฎหมายบ้านเมือง ใช้กฎหมายยุติธรรมอย่างเสมอกัน เพราะความแตกแยกสามัคคีส่วนหนึ่งมาจากการเลือกปฏิบัติ เช่น คนของตนเองไม่ทำอะไร แต่คนอื่นทำก็คอยหาเรื่อง เช่น ความแตกแยกของเกษตรกรสวนยางพาราและชาวนาที่ขัดแย้งกันก็เกิดขึ้นโดยไม่จำเป็น เพราะรัฐบาลเลือกปฏิบัติ
รวมทั้งมีการพูดถึงว่าวันครบรอบ 7 ปี รัฐประหาร 19 ก.ย.49ว่าเงื่อนไข 4 ข้อที่ถูกอ้างในการทำรัฐประหารวันนี้ยังมีอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการโกงกิน แทรกแซงองค์กรอิสระ ความแตกแยกสามัคคี หรือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่ส่วนหนึ่งมาจากคนที่อยู่ฝ่ายรัฐบาล ซึ่งต้องทบทวน หากรัฐบาลต้องการปฏิรูปการเมือง สังคม ในอนาคต ต้องทบทวนตัวเองในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติ
ทั้งนี้หากรัฐบาลสามารถปฏิบัติเป็นตัวอย่างได้ ฝ่ายอื่นก็ไม่มีปัญหา โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่ตัวปัญหาของบ้านเมือง เพราะเราไม่ใช่ฝ่ายปฏิบัติแล้ว และพวกตนมาจากระบอบประชาธิปไตยที่ไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียง ขณะที่บางพวกอ้างมาจากประชาธิปไตยแต่โกงเลือกตั้ง
นอกจากนี้ตนยังมอบพระราชดำรัสในหลวงปี 52-53 ที่รับสั่งติดกันถึงสองปีในวันที่ 5 ธันวาคม ว่า แต่ละคนต้องทบทวนบทบาทหน้าที่ของตนเองว่ามีหน้าที่ต้องทำอะไร และทำสิ่งนั้นให้สมบูรณ์ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ซึ่งตนได้แนบไปด้วยเผื่อนายบรรหารจะนำทั้งหลักธรรมาภิบาลและพระราชดำรัสไปมอบให้นายกรัฐมนตรี รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ด้วย
ส่วนการประชุมคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แก่ผู้ซึ่งกระทำผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางกการเมืองของประชาชน พ.ศ........ ซึ่งมีนายสามารถ แก้วมีชัย เป็นประธานกรรมาธิการมีมติเห็นพ้องว่าให้มีการนิรโทษกรรมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการกระทำความผิดทางการเมือง โดยยึดตามเหตุการณ์การชุมนุมที่เกิดขึ้น ตั้งปี พ.ศ.2548 ก่อนเกิดการปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 ส่วนจะให้ครอบคลุมถึงเดือนใดนั้นต้องมีการหารืออีกครั้ง ขณะที่กมธ.ฝ่ายเพื่อไทย เสนอ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2548
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กรรมาธิการข้างน้อย เสนอให้มีการยึดเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นเป็นหลักเพราะจะมีผลต่อการตรวจสอบและง่ายต่อการดำเนินการและหากมีการนิรโทษทุกคนก็ต้องได้รับการนิรโทษ
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย กรรมาธิการข้างน้อย เสนอให้มีการนำทุกฝ่ายมาพูดคุย อาทิ แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ พร้อมกับเสนอให้ประชาชนที่มีคดีความผิด ยืนเอกสารมาประกอบได้ ส่วนจะเชิญกลุ่มผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกลุ่มใดเข้าชี้แจงในสัปดาห์หน้านั้น นายสามารถเห็นว่า จะต้องมีการหารือกันครั้ง โดยจะยึดเหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการ
