อยากจะรู้ว่ายิ่งลักษณ์เป็นคนอย่างไรก็ต้อง
ปอกเปลือกเปลือยภายนอกจึงจะเห็นตัวตนที่แท้จริงภายในได้
เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่สร้างภาพวางตำแหน่งยิ่งลักษณ์ว่าเป็น หญิงสวยและฉลาดที่มาอาสาทำงานให้ชาติบ้านเมือง
วาทะที่ใช้หาเสียงกำลังตามมาหลอกหลอนก็คือ “แก้ไข ไม่แก้แค้น” จะ “กระชากค่าครองชีพให้ลดลงมา” หรือ “การสร้างความปรองดอง ไม่มุ่งแบ่งสีแบ่งฝ่าย”
แต่ 2 ปีที่ผ่านมาได้เป็นบทพิสูจน์แล้วว่า ยิ่งลักษณ์สามารถเป็นไปตามภาพและตำแหน่งที่วางเอาไว้ได้มากน้อยเพียงใด แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งลักษณ์กำลังทำอยู่ในขณะนี้ก็คือ วาระส่วนตัวเพื่อช่วยพี่ชายตนเองแต่เพียงอย่างเดียว ดูจากการเร่งรีบผ่านกฎหมายต่างๆ ที่อยู่ในสภาฯ ก็ได้ว่าทำเพื่อประชาชนหรือใคร
จากประเทศในโลกที่มีเพียง 200 ประเทศต้นๆ เท่านั้น การไปเยือนต่างประเทศกว่า 40 ประเทศในฐานะนายกฯ ประเทศไทย ดูไปแล้วก็น่ากังขาเป็นอย่างยิ่งเพราะไม่ได้แสดงถึงเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะได้อะไรกลับมาจากการไปเยือนในฐานะนายกฯ ไทย ไม่มีการแถลงข่าวที่แสดงถึงความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันว่าประชาชนชาวไทยจะได้อะไรจากการเดินทางของยิ่งลักษณ์
กัมพูชาไปมากที่สุดถึง 7 ครั้ง อินโดนีเซีย ลาว สวิตเซอร์แลนด์ มาเลเซีย และญี่ปุ่น 3 ครั้ง เวียดนาม สิงคโปร์ พม่า ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ จีน อินเดียประเทศละ 2 ครั้ง ที่เหลือประเทศละครั้งและมักจะไปในที่แปลกๆ เช่น ปาปัวนิวกีนี มัลดีฟส์ ปากีสถาน รวมถึง มอนเตเนโกร (ข้อมูลจาก ผักกาดหอม ไทยโพสต์ 10 ก.ย. 56)
ทั้งหมดนี้โดยอ้างว่าไปเพื่อชาติเพื่อการลงทุนหรือเพื่อการหาช่องทางค้าขายให้กับประเทศ ดังนั้นจึงใช้งบประมาณจากเงินภาษีของประชาชนอย่างเต็มที่เพื่อการนี้ไปหลายร้อยล้านบาท
แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏดูจะไม่สนับสนุนว่าสิ่งที่ยิ่งลักษณ์ได้ทำไปว่าออกดอกออกผลคุ้มค่ากับเวลาและงบประมาณที่เสียไปแต่อย่างใด ช่วงที่ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งนายกฯ และได้อาศัยตำแหน่งนี้ออกนอกประเทศไป ตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทยแสดงให้เห็นว่า ดุลการค้าไทยขาดดุลไปถึง 1,614,263.39 ล้านบาท (ส.ค. 54-ก.ค. 56) ในขณะที่ช่วงนายกฯ อภิสิทธิ์มีดุลการค้าเกินดุล 865,249.74 ล้านบาท (ม.ค. 51-ก.ค. 54)
ไหนละที่ว่าไปทำลู่ทางค้าขายหรือการลงทุน เวลา 2 ปีที่ผ่านไปผลงานแย่กว่าคนที่ไม่ได้ไปต่างประเทศมากเท่ายิ่งลักษณ์เสียอีก หากทำเช่นนี้ต่อไปจะมีรัฐมนตรีต่างประเทศที่น่าเชื่อได้ว่าออกไปต่างประเทศน้อยกว่านายกฯ เอาไว้ทำไม
เห็นได้ชัดว่าการไปต่างประเทศก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่นายกฯ ที่จะต้องเข้าสภาฯ หรือเพื่อการตัดสินใจในประเด็นปัญหาที่สำคัญซึ่งสำคัญมากกว่างบประมาณที่ต้องเสียไป
ตัวอย่างข้อเท็จจริงที่สนับสนุนคำกล่าวข้างต้นก็คือ นโยบายจำนำข้าว ที่กำลังจะเป็นการขุดหลุมฝังศพให้กับตนเองและพรรค ตอนนี้ก็ลึกท่วมหัวรอแต่เพียงเอาดินมากลบเท่านั้น
หายนะจากการเลือก “ทางมาร” ด้วยการรับซื้อข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดเป็นอันมากได้สร้างความเสียหายให้กับระบบอุตสาหกรรมข้าวและระบบการคลังของประเทศอย่างร้ายแรง
ยิ่งลักษณ์ได้ทำให้รัฐบาลเป็นผู้ค้าข้าวทั้งระบบแต่เพียงผู้เดียวเนื่องจากรับซื้อในราคาที่เอกชนอื่นซื้อไม่ได้เพราะสูงกว่าที่จะไปขายคนอื่นในตลาดโลกได้ ขณะที่ข้าวที่ซื้อมาก็ไม่สามารถไปขายใครในโลกโดยที่ไม่ขาดทุนได้เช่นกัน กลไกตลาดข้าวทั้งระบบจึงถูกทำลายโดยยิ่งลักษณ์จากนโยบายจำนำข้าว
ความเสียหายต่อระบบการคลังก็กำลังผลิดอกออกผล เพียงแค่ 2 ฤดูการผลิตเริ่มจากปี 2554-55 จากกรอบวงเงินที่ตั้งไว้ 5 แสนล้านบาทก็กลายเป็น 6.7 แสนล้านบาทและกำลังจะกลายเป็น 9.4 แสนล้านบาทจากการเพิ่มวงเงินให้อีก 2.7 แสนล้านบาทในฤดูกาลผลิต 2556 ที่กำลังจะมาถึง โดยที่ไม่สามารถขายข้าวแม้แต่เมล็ดเดียวให้มีกำไรคุ้มทุนเกือบ 1 ล้านล้านบาทที่ได้ลงไปแล้ว นี่จึงน่าจะเป็นเหตุให้ต้องปกปิดข้อมูลการค้าข้าว
การคลังที่ “ถังแตก” จึงเป็นที่มาของการหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับซื้อยางในราคา 120 บาท/ก.ก. ตามที่ผู้ปลูกต้องการทั้งๆ ที่หากทำก็จะได้คะแนนเสียงไม่มากก็น้อย พลิกสถานการณ์ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ และประธานคณะกรรมการกำหนดนโยบายข้าว จากการถูกตราหน้าว่า “เลือกปฏิบัติ” มาเป็นพระเอกได้
การไม่แสดงบทบาทผู้นำแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีต่อรัฐสภา ปล่อยให้หัวหน้าแก๊งไอติมออกมา “แถ” ว่าส่งเรื่องให้สภาฯ แล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของสภาฯ ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ ฝ่ายบริหารไม่เกี่ยวข้องนั้น นอกจากจะถูก “ฆ่า” ทางการเมืองแล้วก็เป็นการ “ประจาน” ตัวเองได้เป็นอย่างดี
เหตุก็เพราะแม้จะไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค แต่การเป็นนายกฯ ย่อมจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสภาฯ ที่เป็นแหล่งรวม “ตัวแทน” ประชาชน หากตนเองในฐานะนายกฯ ไม่ริเริ่มหรือไม่รับผิดชอบปล่อยให้เกินเวลาล่วงเลยมาจนถึงครบรอบ 2 ปีแล้วใครจะมาริเริ่มให้ ดังนั้นหากจะโทษ ส.ส.หรือประธานสภาฯ ว่าไม่บรรจุวาระแถลงผลงานให้กับตนเองก็อย่าเป็นนายกฯ มันเลยเสียดีกว่าจริงไหม? มีอำนาจอยู่กับตนเองแล้วไม่ใช้ก็คือไม่รับผิดชอบนั่นเอง
พิจารณาจากตัวอย่างข้างต้น ตัวตนที่แท้จริงของยิ่งลักษณ์จึงสวยและฉลาด ตามที่มีการวางภาพและตำแหน่งเอาไว้หรือไม่ สาธารณชนพึงใช้วิจารณญาณพิเคราะห์ดูได้
ความสวยจึงเป็นเพียงเปลือกนอกซึ่งเมื่อปอกเปลือก “เปลือย” ตัวตนข้างในออกมาแล้วก็จะพบว่าตัวตนที่แท้จริงของยิ่งลักษณ์นั้นเป็นเช่นใด
การพูดผิดพูดถูกหรือไม่รู้จักกาละเทศะหรือไม่รับผิดชอบจึงมิใช่ความบกพร่องที่เกิดจากความประหม่าหรือไม่สันทัดเพราะไม่เคยเป็นนายกฯ มาก่อนในชีวิตแต่อย่างใด หากแต่เกิดมาจากตัวตนภายในที่ไม่ใฝ่รู้และขาดซึ่งความรู้ความสามารถโดยพื้นฐานต่างหาก
ชื่อนั้นอาจตั้งผิดได้ แต่ฉายาที่ได้มานั้น ไม่ผิดอย่างแน่นอน ไม่เชื่อลองทบทวนดูก็ได้
ต่อแต่นี้ต่อไป หากสถาบันใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการศึกษาจะยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ใดโดยพิจารณาเกณฑ์จากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ก็ควรพิจารณาทบทวนเสียใหม่
เพราะด้วยมาตรฐานของยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ ของประเทศไทยในขณะนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ตำแหน่งกับความรู้ความสามารถไม่ได้มาด้วยกันแต่ประการใด มิพักจะกล่าวถึงว่ายิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งเพื่อวาระของประชาชนหรือของพี่ชายตนเอง? นี่จึงเป็นตัวตนที่แท้จริงของยิ่งลักษณ์
ปอกเปลือกเปลือยภายนอกจึงจะเห็นตัวตนที่แท้จริงภายในได้
เป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่สร้างภาพวางตำแหน่งยิ่งลักษณ์ว่าเป็น หญิงสวยและฉลาดที่มาอาสาทำงานให้ชาติบ้านเมือง
วาทะที่ใช้หาเสียงกำลังตามมาหลอกหลอนก็คือ “แก้ไข ไม่แก้แค้น” จะ “กระชากค่าครองชีพให้ลดลงมา” หรือ “การสร้างความปรองดอง ไม่มุ่งแบ่งสีแบ่งฝ่าย”
แต่ 2 ปีที่ผ่านมาได้เป็นบทพิสูจน์แล้วว่า ยิ่งลักษณ์สามารถเป็นไปตามภาพและตำแหน่งที่วางเอาไว้ได้มากน้อยเพียงใด แต่สิ่งที่ชัดเจนยิ่งลักษณ์กำลังทำอยู่ในขณะนี้ก็คือ วาระส่วนตัวเพื่อช่วยพี่ชายตนเองแต่เพียงอย่างเดียว ดูจากการเร่งรีบผ่านกฎหมายต่างๆ ที่อยู่ในสภาฯ ก็ได้ว่าทำเพื่อประชาชนหรือใคร
จากประเทศในโลกที่มีเพียง 200 ประเทศต้นๆ เท่านั้น การไปเยือนต่างประเทศกว่า 40 ประเทศในฐานะนายกฯ ประเทศไทย ดูไปแล้วก็น่ากังขาเป็นอย่างยิ่งเพราะไม่ได้แสดงถึงเป้าหมายที่ชัดเจนว่าจะได้อะไรกลับมาจากการไปเยือนในฐานะนายกฯ ไทย ไม่มีการแถลงข่าวที่แสดงถึงความสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันว่าประชาชนชาวไทยจะได้อะไรจากการเดินทางของยิ่งลักษณ์
กัมพูชาไปมากที่สุดถึง 7 ครั้ง อินโดนีเซีย ลาว สวิตเซอร์แลนด์ มาเลเซีย และญี่ปุ่น 3 ครั้ง เวียดนาม สิงคโปร์ พม่า ฟิลิปปินส์ เกาหลีใต้ จีน อินเดียประเทศละ 2 ครั้ง ที่เหลือประเทศละครั้งและมักจะไปในที่แปลกๆ เช่น ปาปัวนิวกีนี มัลดีฟส์ ปากีสถาน รวมถึง มอนเตเนโกร (ข้อมูลจาก ผักกาดหอม ไทยโพสต์ 10 ก.ย. 56)
ทั้งหมดนี้โดยอ้างว่าไปเพื่อชาติเพื่อการลงทุนหรือเพื่อการหาช่องทางค้าขายให้กับประเทศ ดังนั้นจึงใช้งบประมาณจากเงินภาษีของประชาชนอย่างเต็มที่เพื่อการนี้ไปหลายร้อยล้านบาท
แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏดูจะไม่สนับสนุนว่าสิ่งที่ยิ่งลักษณ์ได้ทำไปว่าออกดอกออกผลคุ้มค่ากับเวลาและงบประมาณที่เสียไปแต่อย่างใด ช่วงที่ยิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งนายกฯ และได้อาศัยตำแหน่งนี้ออกนอกประเทศไป ตัวเลขจากธนาคารแห่งประเทศไทยแสดงให้เห็นว่า ดุลการค้าไทยขาดดุลไปถึง 1,614,263.39 ล้านบาท (ส.ค. 54-ก.ค. 56) ในขณะที่ช่วงนายกฯ อภิสิทธิ์มีดุลการค้าเกินดุล 865,249.74 ล้านบาท (ม.ค. 51-ก.ค. 54)
ไหนละที่ว่าไปทำลู่ทางค้าขายหรือการลงทุน เวลา 2 ปีที่ผ่านไปผลงานแย่กว่าคนที่ไม่ได้ไปต่างประเทศมากเท่ายิ่งลักษณ์เสียอีก หากทำเช่นนี้ต่อไปจะมีรัฐมนตรีต่างประเทศที่น่าเชื่อได้ว่าออกไปต่างประเทศน้อยกว่านายกฯ เอาไว้ทำไม
เห็นได้ชัดว่าการไปต่างประเทศก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงภาระหน้าที่นายกฯ ที่จะต้องเข้าสภาฯ หรือเพื่อการตัดสินใจในประเด็นปัญหาที่สำคัญซึ่งสำคัญมากกว่างบประมาณที่ต้องเสียไป
ตัวอย่างข้อเท็จจริงที่สนับสนุนคำกล่าวข้างต้นก็คือ นโยบายจำนำข้าว ที่กำลังจะเป็นการขุดหลุมฝังศพให้กับตนเองและพรรค ตอนนี้ก็ลึกท่วมหัวรอแต่เพียงเอาดินมากลบเท่านั้น
หายนะจากการเลือก “ทางมาร” ด้วยการรับซื้อข้าวในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดเป็นอันมากได้สร้างความเสียหายให้กับระบบอุตสาหกรรมข้าวและระบบการคลังของประเทศอย่างร้ายแรง
ยิ่งลักษณ์ได้ทำให้รัฐบาลเป็นผู้ค้าข้าวทั้งระบบแต่เพียงผู้เดียวเนื่องจากรับซื้อในราคาที่เอกชนอื่นซื้อไม่ได้เพราะสูงกว่าที่จะไปขายคนอื่นในตลาดโลกได้ ขณะที่ข้าวที่ซื้อมาก็ไม่สามารถไปขายใครในโลกโดยที่ไม่ขาดทุนได้เช่นกัน กลไกตลาดข้าวทั้งระบบจึงถูกทำลายโดยยิ่งลักษณ์จากนโยบายจำนำข้าว
ความเสียหายต่อระบบการคลังก็กำลังผลิดอกออกผล เพียงแค่ 2 ฤดูการผลิตเริ่มจากปี 2554-55 จากกรอบวงเงินที่ตั้งไว้ 5 แสนล้านบาทก็กลายเป็น 6.7 แสนล้านบาทและกำลังจะกลายเป็น 9.4 แสนล้านบาทจากการเพิ่มวงเงินให้อีก 2.7 แสนล้านบาทในฤดูกาลผลิต 2556 ที่กำลังจะมาถึง โดยที่ไม่สามารถขายข้าวแม้แต่เมล็ดเดียวให้มีกำไรคุ้มทุนเกือบ 1 ล้านล้านบาทที่ได้ลงไปแล้ว นี่จึงน่าจะเป็นเหตุให้ต้องปกปิดข้อมูลการค้าข้าว
การคลังที่ “ถังแตก” จึงเป็นที่มาของการหลีกเลี่ยงไม่ยอมรับซื้อยางในราคา 120 บาท/ก.ก. ตามที่ผู้ปลูกต้องการทั้งๆ ที่หากทำก็จะได้คะแนนเสียงไม่มากก็น้อย พลิกสถานการณ์ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ และประธานคณะกรรมการกำหนดนโยบายข้าว จากการถูกตราหน้าว่า “เลือกปฏิบัติ” มาเป็นพระเอกได้
การไม่แสดงบทบาทผู้นำแถลงผลงานครบรอบ 1 ปีต่อรัฐสภา ปล่อยให้หัวหน้าแก๊งไอติมออกมา “แถ” ว่าส่งเรื่องให้สภาฯ แล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของสภาฯ ยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ ฝ่ายบริหารไม่เกี่ยวข้องนั้น นอกจากจะถูก “ฆ่า” ทางการเมืองแล้วก็เป็นการ “ประจาน” ตัวเองได้เป็นอย่างดี
เหตุก็เพราะแม้จะไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค แต่การเป็นนายกฯ ย่อมจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบต่อสภาฯ ที่เป็นแหล่งรวม “ตัวแทน” ประชาชน หากตนเองในฐานะนายกฯ ไม่ริเริ่มหรือไม่รับผิดชอบปล่อยให้เกินเวลาล่วงเลยมาจนถึงครบรอบ 2 ปีแล้วใครจะมาริเริ่มให้ ดังนั้นหากจะโทษ ส.ส.หรือประธานสภาฯ ว่าไม่บรรจุวาระแถลงผลงานให้กับตนเองก็อย่าเป็นนายกฯ มันเลยเสียดีกว่าจริงไหม? มีอำนาจอยู่กับตนเองแล้วไม่ใช้ก็คือไม่รับผิดชอบนั่นเอง
พิจารณาจากตัวอย่างข้างต้น ตัวตนที่แท้จริงของยิ่งลักษณ์จึงสวยและฉลาด ตามที่มีการวางภาพและตำแหน่งเอาไว้หรือไม่ สาธารณชนพึงใช้วิจารณญาณพิเคราะห์ดูได้
ความสวยจึงเป็นเพียงเปลือกนอกซึ่งเมื่อปอกเปลือก “เปลือย” ตัวตนข้างในออกมาแล้วก็จะพบว่าตัวตนที่แท้จริงของยิ่งลักษณ์นั้นเป็นเช่นใด
การพูดผิดพูดถูกหรือไม่รู้จักกาละเทศะหรือไม่รับผิดชอบจึงมิใช่ความบกพร่องที่เกิดจากความประหม่าหรือไม่สันทัดเพราะไม่เคยเป็นนายกฯ มาก่อนในชีวิตแต่อย่างใด หากแต่เกิดมาจากตัวตนภายในที่ไม่ใฝ่รู้และขาดซึ่งความรู้ความสามารถโดยพื้นฐานต่างหาก
ชื่อนั้นอาจตั้งผิดได้ แต่ฉายาที่ได้มานั้น ไม่ผิดอย่างแน่นอน ไม่เชื่อลองทบทวนดูก็ได้
ต่อแต่นี้ต่อไป หากสถาบันใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันการศึกษาจะยกย่องเชิดชูเกียรติผู้ใดโดยพิจารณาเกณฑ์จากตำแหน่งที่ดำรงอยู่ก็ควรพิจารณาทบทวนเสียใหม่
เพราะด้วยมาตรฐานของยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกฯ ของประเทศไทยในขณะนี้ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ตำแหน่งกับความรู้ความสามารถไม่ได้มาด้วยกันแต่ประการใด มิพักจะกล่าวถึงว่ายิ่งลักษณ์ดำรงตำแหน่งเพื่อวาระของประชาชนหรือของพี่ชายตนเอง? นี่จึงเป็นตัวตนที่แท้จริงของยิ่งลักษณ์