ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เคยคิดกันบ้างไหมว่า ถ้า “รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” สามารถ “ด้านหน้า” นั่งบริหารประเทศจนครบวาระ 4 ปีสมดังใจปรารถนาแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยบ้าง
บางคนอาจทะลุกลางปล้องขึ้นมาทันทีว่า ยอมไม่ได้ เพราะเพียงแค่นี้ก็ทำให้ประเทศชาติย่ำแย่เกินพอแล้ว
แต่บางคนอาจนึกสนุกขึ้นมาว่า ก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้ทำให้คนที่ยังหลงงมงายและติดกับดับเรื่องความเป็นคนเสื้อแดงได้หูตาสว่างขึ้นมาได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม คำถามที่ตามมามีอยู่ว่า แล้วอย่างไหนจะดีกว่ากัน เพราะเวลานี้สัญญาณแห่งความเลวร้ายกำลังมาเยือนประเทศไทยหนักข้อขึ้นทุกที โดยเฉพาะสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า สภาวะเศรษฐกิจของชาติกำลังถดถอยอย่างรุนแรง ขณะที่ประชาชนต้องเผชิญกับภาวะ “ข้าวยากหมากแพง” ไปทุกหย่อมหญ้า
ไม่ใช่อย่างที่ปลัดกระทรวงพาณิชย์ “วัชรี วิมุกตายน” ตอบหน้าตาเฉยว่า “คิดไปเอง”
ทั้งนี้ สัญญาณล่าสุดที่กำลังตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักก็คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ของกระทรวงการคลังภายใต้การนำของ “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” คนที่นายกฯ ปู “ไว้ใจมาก” เตรียมปรับลดภาษีนำเข้าสินค้าแบรนด์เนมหรูจากต่างประเทศเหลือ 0% จากปัจจุบันที่จัดเก็บภาษี 30% ด้วยเหตุผลเพื่อจูงใจให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวไทยมากขึ้น แม้ “เบญจา หลุยเจริญ” รมช.คลังจะแก้ตัวว่า ไม่ได้ลดทุกรายการก็ตาม
กระทรวงการคลังทำไปเพื่ออะไร
ไม่ใช่นโยบายที่เหยียบย่ำซ้ำเติมสินค้าภายในประเทศที่ผลิตโดยคนไทยให้ย่ำแย่ไปอีกหรือ
แถมสินค้าเหล่านี้ก็เป็นสินค้าสำหรับคนที่มีสตางค์ซื้อ ไม่ใช่ตาสีตาสาจะมีปัญญาซื้อได้ ดังนั้นจึงทำให้คนคิดไปได้ว่า รัฐบาลกำลังช่วยคนรวยให้สามารถซื้อสินค้าราคาถูกลง แม้จะอ้างเรื่องการท่องเที่ยว แต่พวกเขาเหล่านั้นก็สามารถซื้อในร้านค้าปลอดภาษีตามสนามบินต่างๆ ได้อยู่แล้ว รวมทั้งสนามบินในประเทศไทย
ดังนั้น ผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ไปเต็มๆ ก็คือ บรรดาห้างสรรพสินค้าชั้นนำของไทย ส่วนผู้ผลิตชาวไทยมีแต่ตายลูกเดียว
ดีนะที่ “สมีคำ” ถูกจับได้ไล่ทันเสียก่อน ไม่เช่นนั้นคงแอบยิ้มที่มุมปากและชูรักแร้หนุนเต็มที่ เพราะไม่ต้องหอบหิ้วแม่ยกไปซื้อถึงเมืองนอก
มีเรื่องคุยกันตลกๆ แต่เจ็บปวดหัวใจในหมู่เพื่อนฝูงว่า ทีสินค้าคน รวยรัฐบาลจะลดภาษี แต่สินค้าคนจนอย่างเหล้ารัฐบาลกลับเพิ่มภาษี
ทำไมประเทศไทยมันถึงกลับตาลปัตรขนาดนี้
ไปที่เรื่องอื่นกันบ้าง เริ่มจาก นพ.สุรพงษ์ ลูกหนุมารเจ้า ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร รพ.ปิยะเวท ร่วมแสดงความยินดีกับ นพ.มนตรี กัณหรัตนชัย เจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการแพทย์ น.ส.นุททยา คุณากร ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่กลุ่มปฏิบัติการ และน.ส.ณัฐชาอรณ์ โคตะกา ผู้จัดการแผนกห้องปฏิบัติการที่ได้รับความเป็นเลิศระดับเพชร ด้านคุณภาพห้องปฏิบัติการ รพ.ปิยะเวท จากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เมื่อเร็วๆ นี้
ตามต่อด้วยนายวิชิต ชาติไพสิฐ พร้อมผู้ประกอบการร้านอาหารทะเลจับมือกับนายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล จัดงาน “ซีฟู้ดระยอง สะอาด ปลอดภัย” เพื่อเร่งฟื้นฟูรายได้ให้แก่ผู้ประกอบการในอำเภอบ้านเพและพื้นที่ใกล้เคียงอย่างเร่งด่วน ณ หาดสวนสน ต.บ้านเพ อ.เมือง จ.ระยอง เมื่อเร็วๆ นี้
ด้าน มร.วาตารุ นิชิโอกะ ประธานบริษัทและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง(ไทยแลนด์) จำกัด จัดพิธีเปิดบูธแคนนอนอย่างเป็นทางการ ภายในงาน Pack Print International 2013 งานแสดงสินค้าอุตสาหกรรมการบรรจุภัณฑ์และการพิมพ์ระดับภูมิภาคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดภายใต้แนวคิด CANON,The Complete World of Print ณ ฮอลล์ 103 บูธ J01 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
และปิดท้ายกับ วัลยา จิราธิวัฒน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจและบริหารโครงการก่อสร้าง บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ไอซิตี้ ประเทศมาเลเซีย การลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ของซีพีเอ็นก้าวแรกสู่อาเซียน โดยมี ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา, ชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล เอพริล ศรีวิกรม์, กัณตภณ ผาณิตรัตน์มร. เกร็ก โจนส์, อภินรา ศรีกาญจนา และปฏิญญา เกี่ยวข้องร่วมงาน ณ ห้องโลตัส โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์
พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ...
คอลัมน์// หนังสือน่าอ่าน
หัวใจห้องที่ห้าของอังคาร จันทาทิพย์
ในที่สุดชายหนุ่มจากอำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ก็ประสบความสำเร็จบนเส้นทางความฝันของตนเองอย่างงดงาม เมื่อคณะกรรมการตัดสินรางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์ยอดเยี่ยมแห่งอาเซียนประจำปี 2556 หรือรางวัลซีไรต์ มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ “อังคาร จันทาทิพย์” เป็นผู้ได้รับรางวัลอันทรงเกียรติจากผลงานกวีนิพนธ์เรื่อง “หัวใจห้องที่ห้า” ฉบับปรับปรุง
เป็นอังคาร จันทาทิพย์ คนเดียวกับอังคาร จันทาทิพย์ที่อยู่ร่วมชายคา “ASTVผู้จัดการ” เหมือนกัน
ทั้งนี้ คณะกรรมการตัดสินให้เหตุผลที่เลือกหัวใจห้องที่ห้าให้ได้รับรางวัลเอาไว้ว่า “หัวใจห้องที่ห้า นำเสนอเรื่องเล่าโดยจำลองวิวัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่ยุคโบราณก่อนประวัติศาสตร์ การตั้งชุมชนจนถึงสังคมร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมเมือง ซึ่งประกอบด้วย คนไร้บ้าน คนพลัดถิ่น คนกลุ่มน้อย โดยเชื่อมโยงเรื่องเล่าในอดีตกับวิถีชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งล้วนระทมทุกข์ นำเสนอการปะทะสังสรรค์ท่ามกลางความหลากหลายทางวัฒนธรรม
“ผู้แต่งมองโลกและปรากฏการณ์ด้วยมุมมองที่ย้อนแสง ในภาคแรก หัวใจห้องที่ห้า และ ภาคหลัง นิทานเดินทาง จึงเป็นภาพคู่ขนานของการว่ายวนต่อสู้ดิ้นรนของมนุษย์ ท่วงทำนองการประพันธ์ใช้ฉันทลักษณ์ ที่หลากหลาย และมีมีลีลาเฉพาะตน”
ก็ต้องขอแสดงความยินดีและแนะนำให้ไปอ่านกัน เพื่อที่จะได้ค้นหาคำตอบว่า กุญแจดอกสำคัญที่นำไปสู่การค้นหาปริศนาแห่งชีวิตในหัวใจห้องที่ห้าของมนุษย์อยู่ที่ตรงไหน
สุดท้าย ขอฝากเพื่อนพ้องน้องพี่ช่วยกันไปอุดหนุนผลงานของ “ท่านอังคาร” ด้วยนะครับ เพราะทุกวันนี้ ใช่ว่าการเป็นกวีซีไรต์จะทำให้ยอดขายหนังสือพุ่งปรู๊ดปร๊าดเสียเมื่อไหร่
ลุงอ้วน
managerweekend@yahoo.com