xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ชุดนศ.ท่าพิสดาร มธ. “อั้ม เนโกะ” เยอะไปไหมน้อง?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โปสเตอร์รณรงค์ไอเดียบรรเจิดของ “อั้ม เนโกะ”
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-โอ้แม่เจ้า! เอากันในชุดนักศึกษาท่าพิสดาร ภาพโปสเตอร์รณรงค์ต่อต้านระเบียบแต่งชุดนักศึกษาช็อกสังคมของ “อั้ม เนโกะ” นักศึกษาข้ามเพศ ปี 2 คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ส่งให้เธอ “ดังชั่วข้ามคืน” ยิ่งกว่าคราวนุ่งสั้น แยกขา โพสต์ท่าโหนรูปรัฐบุรุษอาวุโสผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปรีดี พนมยงค์ หรือเมื่อครั้งสวมชุดบิกินี่อวดเรือนร่างร่วมกิจกรรมของคณะช่วงกระแส “กระหรี่แค่เร่ขายตัว แต่หญิงชั่วเที่ยวเร่ขายชาติ” ของการ์ตูนนิสต์ชื่อดัง ชัย ราชวัตร

ไม่ว่าอีเว้นต์ของเธอแต่ละครั้งจะมีความมุ่งหมายเช่นใด แต่เสียงที่สะท้อนกลับมาส่วนใหญ่มีแต่ก้อนอิฐ ไม่ใช่ดอกไม้ โดยเฉพาะความไม่เหมาะไม่ควร ซึ่งดูเหมือนว่าไม่ใช่เรื่องที่เธอจะแคร์เพราะเป้าหมายคือการเปิดประเด็นให้สังคมได้ถกเถียง โต้แย้ง ขบคิด บรรลุจุดประสงค์แล้ว และครั้งนี้ก็เช่นกัน

ความจริงจะว่าไปแล้วประเด็นเรื่องเครื่องแบบนักศึกษาที่เกิดปัญหาปะทะกันทางความคิดของผู้บริหารมหาวิทยาลัยกับนักศึกษาของสถาบันการศึกษาแห่งนี้มีมาเป็นระยะๆ แต่ไม่มีครั้งใดที่นักศึกษาจะเลือกวิธีการแสดงออกแบบ “แรงส์ นะหล่อน” อย่างที่อั้ม เนโกะ เธอเลือกกระทำ โดยที่ผ่านมาผู้บริหารกับนักศึกษามักใช้วิธีการพูดคุยเจรจาตกลงประนีประนอมหาจุดที่ยอมรับกันได้ทั้งสองฝ่าย เพราะหลักสำคัญคือ เมื่อเกิดความขัดแย้งผู้เป็นปัญญาชนย่อมใช้ปัญญาแสวงหาทางออกร่วมกันถึงจะถูกต้อง

ความแรงของโปสเตอร์กำลังร่วมเพศในชุดเครื่องแบบนักศึกษา หากจับประเด็นจากคำอธิบายของเธอผ่านสื่อต่างๆ ถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังการทำโปสเตอร์ดังกล่าวเพื่อเรียกความสนใจจากสังคมแล้ว ไม่ได้มีความหมายเพียงแค่เรื่องต่อต้านการบังคับแต่งชุดนักศึกษาทั้งในเวลาเรียนปกติและการสอบ เรื่องการใช้อำนาจ หรือการท้าทายต่อวลี“ธรรมศาสตร์มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว” ของศ.สัญญา ธรรมศักดิ์ อดีตอธิการบดี เท่านั้น

แต่ทว่า เธอยังต้องการสื่อถึงปัญหาเรื่องเซ็กซ์ที่เป็นอยู่ในสังคมนี้ ปนเปเข้าไปจนทำให้มีการตีความหมายของภาพที่สื่อออกมาหลายทิศหลายทาง และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่เห็นว่านักศึกษาข้ามเพศเช่นเธอนั้นมีปัญหา อยากดัง กระทั่งรุ่นพี่ธรรมศาสตร์ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษา หัวหน้าคณะศาลฎีกา ที่ว่าไปแล้วบทบาทในระยะหลังๆ ก็มีปัญหาไม่น้อยไปกว่าอั้ม เนโกะ เสนอให้ส่งเธอเข้าโรงพยาบาลรักษาสภาพจิต

แต่สำหรับ นายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์ประจำคณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นั้น ยกนิ้วให้กับขบถตัวแม่คนนี้ ตั้งแต่เธอปีนป่ายรูปท่านผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยขึ้นไปถ่ายรูปแล้ว

ขณะที่อั้ม เนโกะ บอกว่า การที่นักศึกษาจะใส่ชุดนักศึกษาหรือไม่ ไม่ได้มีผลต่อการเรียนว่าจะดีขึ้นหรือแย่ลง จะดีหรือไม่ดีไม่ได้อยู่ที่การแต่งตัว ขณะเดียวกันเรื่องเซ็กซ์ในสังคมที่มีอยู่ในชีวิตประจำวันแล้วถูกปิดกั้น จนทำให้สังคมมีปัญหาเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์เยอะมาก แต่ไม่มีการส่งเสริมให้เด็กเสพเซ็กซ์อย่างถูกวิธี ซึ่งหากจะส่งเสริมจะช่วยลดปัญหาต่างๆ ได้

มองย้อนกลับไปในอดีต การแต่งกายของนักศึกษามธ.เป็นประเด็นถกเถียงกันของคนในประชาคมธรรมศาสตร์เป็นระยะตลอดมาในแต่ละยุคสมัย เพราะมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับการเมืองเชิงสัญลักษณ์อยู่ค่อนข้างมาก

แรกเริ่มเดิมทีเมื่อก่อตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.)ในปี 2477 นั้น สถาบันการศึกษานี้มีสถานะเป็นตลาดวิชาหรือมหาวิทยาลัยเปิด ซึ่งเปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ทำการศึกษาวิชาธรรมศาสตร์คือวิชากฎหมายและการเมือง ตามเจตจำนงของผู้ประศาสน์การ นายปรีดี พนมยงค์ ผู้ต้องการพัฒนาการเมืองในระบอบประชาธิปไตยให้งอกงาม นักศึกษาธรรมศาสตร์ในสมัยนั้น ก็คือประชาชนทั่วไปผู้ใฝ่ในการศึกษา พวกเขาไม่ใช่นักเรียนจึงแต่งกายกันตามปกติวิสัยที่เคยแต่งกัน

สถานการณ์และการต่อสู้ทางการเมืองของฝ่ายต่างๆ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดสถานะและบทบาทของมหาวิทยาลัยและนักศึกษาธรรมศาสตร์ นับจากความพ่ายแพ้ทางการเมืองของนายปรีดี ในช่วงหลังปี 2490 เป็นต้นมา มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ก็ถูกฝ่ายตรงกันข้ามกับนายปรีดี เข้าควบคุมและพยายามเปลี่ยนสภาพมหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้เหมือนกับสถานศึกษาอื่นๆ ทั่วไปที่มุ่งผลิตบุคคลากรเข้าไปรับใช้ระบบ

ในปี พ.ศ. 2495 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ให้รัฐสภาออกพ.ร.บ.มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์ใหม่ เปลี่ยนชื่อมหาวิทยาจากมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) เป็นมหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ อย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ และในปีเดียวกันนั้นจอมพล ป. ก็เข้าควบคุมมหาวิทยาลัยด้วยตนเอง เปลี่ยนตำแหน่งผู้ประศาสน์การเป็นอธิการบดีเหมือนมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั่วไป แต่ในเวลานั้นมธ. ก็ยังมีสภาพเป็นมหาวิทยาลัยเปิด

ต่อมา ในปี 2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้สั่งให้โอนย้ายมหาวิทยาลัยทั้งหมดรวมทั้งธรรมศาสตร์ที่เป็นองค์กรอิสระอยู่แต่เดิมให้เข้าสังกัดทบวงมหาวิทยาลัยของรัฐเพื่อความสะดวกในการควบคุมนักศึกษา ในปี 2503 จอมพลสฤษดิ์ ส่งจอมพลถนอม กิตติขจร ไปเป็นอธิการบดี และยกเลิกความเป็นตลาดวิชาของธรรมศาสตร์โดยกำหนดให้เป็นมหาวิทยาลัยปิด ทำการสอบคัดเลือกเข้าเรียนเพื่อจำกัดจำนวนนักศึกษา ทำให้นักศึกษาธรรมศาสตร์ ลดลงจาก 30,000 เหลือเพียง 300 คน เท่านั้น

หลังจากนั้น มธ.ก็มีกระบวนการในการผลิตนักศึกษาให้ต่างจากประชาชนธรรมดาทั่วไป การกำหนดลักษณะเครื่องแต่งกายเป็นหนึ่งในนั้น โดยออกระเบียบว่าด้วยเครื่องแต่งกายนักศึกษาในปี 2509 และแก้ไขใหม่ในปี 2549 ช่วงสมัยที่นายสุรพล นิติไกรพจน์ เป็นอธิการบดี

อย่างไรก็ตาม นักศึกษาธรรมศาสตร์ในยุคแรกๆ ก็แต่งเครื่องแบบกันเป็นส่วนใหญ่ และเครื่องแบบนักศึกษา ก็เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นปัญญาชนที่โก้หรูในยุคที่เรียกว่าสายลมแสงแดด ดังกลอนประชดประชันของ สุจิตต์ วงษ์เทศ ที่ว่า

“กูเป็นนิสิตนักศึกษา เจ้าขี้ข้ารู้จักกูหรือไหม
หัวเข็มขัด กลัดกระดุม ปุ่มเน็คไทร์
หลีกไปหลีกไปอย่ากีดทาง”

กลอนของสุจิตต์ ดูเหมือนจะสะท้อนภาพพจน์และเครื่องแบบนักศึกษาได้ดี ด้วยพลังของกลอนบทนี้และกระแสฮิปปี้ในตะวันตกช่วงยุคทศวรรรษ 1970 ทำให้เกิดการต่อต้านเครื่องแบบนักศึกษาโดยเฉพาะในมธ.ที่มีการตั้งกลุ่มศึกษาปัญหาสังคมการเมืองกันอย่างกว้างขวางทั้งก่อนและหลังเหตุการณ์ 14 ต.ค. 16 มีนักศึกษาจำนวนหนึ่งไม่นิยมแต่งเครื่องแบบ แต่สไตล์การแต่งตัวที่รู้จักกันดีในนาม 5 ย คือ เสื้อยืด กางเกงยีน สะพายย่าม ผมยาว และสวมรองเท้ายาง ขณะที่นักศึกษาส่วนใหญ่สมัยนั้นก็ยังนิยมสวมเครื่องแบบนักศึกษา

การต่อต้านเครื่องแบบเกิดขึ้นอีกอย่างมีนัยสำคัญหลัง 6 ต.ค. 19 เมื่อฝ่ายขวาอนุรักษ์นิยมเห็นว่านักศึกษาโดยเฉพาะธรรมศาสตร์เป็นภัยสังคม ขบวนการฝ่ายขวามักนิยมใช้ความรุนแรงทำร้ายนักศึกษา การแต่งกายด้วยเครื่องแบบนักศึกษาจึงเป็นเรื่องไม่ปลอดภัย นักศึกษาจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำกิจกรรมทางเมืองหลัง 6 ตุลาฯ ต้องหลบหลบๆ ซ่อนๆ และอำพรางสถานะของตนเอง

เครื่องแบบนักศึกษากลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นหรือหลายกรณีเป็นภัยสำหรับชีวิตนักศึกษา ในยุค 1980s เป็นต้นมา แนวคิดแบบนี้ก็ยังหลงเหลืออยู่มากในมธ.ช่วงนั้น ถึงแม้มหาวิทยาลัยมีระเบียบว่าด้วยการแต่งกายแต่ไม่เคยบังคับใช้อย่างเคร่งครัด นักศึกษาในยุควิกฤตศรัทธาและการแสวงหาครั้งที่ 2 (ระยะปี 2520-2530) ไม่เพียงแต่ไม่ได้แต่งกายด้วยชุดนักศึกษาเท่านั้น หากแต่ถือว่าแต่งกาย “ไม่สุภาพ” ในมาตรฐานสังคมทั่วไปในขณะนั้นด้วย แต่ผู้บริหารมหาวิทยาลัย ก็ถือว่านั่นเป็นเสรีภาพในร่างกายและเป็นวิจารณญาณของนักศึกษาเอง

ศ.คุณหญิง นงเยาว์ ชัยเสรี น่าจะเป็นอธิการบดีคนแรกๆ ของธรรมศาสตร์ในยุคหลังที่มีความพยายามจะจับนักศึกษาสวมเครื่องแบบ ด้วยการงัดระเบียบว่าด้วยเครื่องแต่งกายขึ้นมาบังคับใช้อีก นักศึกษาในสมัยนั้นต่อต้านเช่นกันแต่ด้วยวิธีการที่ค่อนข้างประนีประนอมด้วยการหารือกับอธิการว่า การบังคับเรื่องการแต่งกายนั้นให้เหลือระดับแค่ “สุภาพ” ตามมาตรฐานสังคมทั่วไป ไม่ถึงกับจำเป็นจะต้องแต่งกายด้วยเครื่องแบบนักศึกษา เพราะระเบียบว่าด้วยการต่างกายนักศึกษานั้น กำหนดว่านักศึกษาต้องแต่งกายสุภาพหรือด้วยเครื่องแบบนักศึกษา

คำว่า “สุภาพ” โดยทั่วไปคือ ไม่สวมเสื้อยืดและรองเท้าแตะ และให้สอดชายเสื้อไว้ในกางเกงหรือกระโปรงก็เพียงพอแล้ว ส่วนเครื่องแบบนั้นก็ให้เป็นความสมัครใจของปัจเจกบุคคล และประการสำคัญที่สุดคือการบังคับจะทำได้เฉพาะเวลาสอบหรืองานพิธีการของมหาวิทยาลัยเท่านั้น ดังนั้นนักศึกษาทั่วไปในยุคนั้นมักแต่งกายด้วยชุดไปรเวทไปเรียนเป็นประจำ การต่อต้านเครื่องแบบนักศึกษาเวลานั้นเป็นการต่อต้านการใช้อำนาจเหนือเสรีภาพในร่างกายของนักศึกษาเป็นหลักใหญ่ อีกด้านหนึ่งคือการท้าทายระเบียบสังคมเดิมๆ ในมหาวิทยาลัยที่ตกค้างมาจากสมัยเผด็จการ

อย่างไรก็ตาม นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในยุคหลังทศวรรษ 1990 เริ่มแต่งกายด้วยเครื่องแบบมากขึ้นตามสมัยนิยมและนักศึกษาจำนวนมากห่างเหินจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองหรือทางสังคมอย่างมาก นักศึกษาในยุคหลังไม่ได้ต่อต้านเครื่องแบบด้วยเหตุทางการเมืองแบบเดิมแต่มุ่ง “ดัดแปลง” เครื่องแบบโดยเฉพาะนักศึกษาหญิงให้เป็นแฟชั่นและสมัยนิยม

โปรดสังเกตว่า เครื่องแบบนักศึกษาหญิงของไทยนั้นมีลักษณะแฟชั่นมากกว่าประเทศอื่นในโลกนี้ และน่าจะเป็นชาติเดียวในโลกที่ “ตีความ” เครื่องแบบของตัวเองได้หลากหลาย แต่จำนวนมากไม่ได้บ่งบอกว่ามันเป็นเครื่องแบบของผู้คงแก่เรียนในฐานะนักศึกษาเลย ดูเหมือนสัญลักษณ์ของการดึงดูดทางเพศ
มากกว่า

นั่นอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกประกาศลักษณะการแต่งกายที่ใช้เสรีภาพเกินกว่าขอบเขตอันเหมาะสม และหากว่าตามประกาศนี้ อั้ม เนโกะ เธอมีปัญหาแน่ เพราะแต่ละชุดของเธอ ไม่สายเดี่ยว ก็สั้น โชว์หวิว

ถึงวันนี้ อั้ม เนโกะ ถูกเรียกตักเตือน ขณะที่มหาวิทยาลัยไม่บังคับให้นักศึกษาที่เรียนวิชา TU130 หรือวิชาสหวิทยาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของคณะวิทยาศาสตร์ แต่งชุดนักศึกษาในการเรียนปกติโดยให้แต่งชุดที่สุภาพและเหมาะสม แต่ในระเบียบซึ่งเป็นกฎที่รองจากข้อบังคับ กำหนดให้แต่งชุดนักศึกษาเข้าสอบทั้งการสอบกลางภาคและปลายภาค ซึ่งประชาคมธรรมศาสตร์คงต้องมาหารือร่วมกันว่าระเบียบดังกล่าว เป็นปัญหาหรือไม่อีกครั้งหนึ่ง

อีเว้นต์ต่อต้านบังคับแต่งชุดนักศึกษาผ่านโปสเตอร์ร่วมเพศอันเร่าร้อนผ่านไป แต่เชื่อว่าอีกไม่นาน อั้ม เนโกะ คงจะเปิดประเด็นใหม่ขึ้นมาอีก


วีรกรรมอันลือลั่นเมื่อครั้งโพสต์ท่าถ่ายรูปกับรูปปั้นท่านปรีดี พนมยงค์
กำลังโหลดความคิดเห็น