ASTVผู้จัดการรายวัน - ดัชนีตลาดหุ้นไทยพุ่งแรงกว่า 48 จุด หรือ 3.60% ปิดที่ 1ล384.31 จุด รับอานิสงส์ตัวเลขเศรษฐกิจจีนฟื้นเร็วกว่าคาดการณ์ไว้ บวกกับสหรัฐฯ อาจยืดมาตรการ QE3 หลังตัวเลขการจ้างงานยังสูงด้านนักวิเคราะห์แนะนำลงทุนหุ้นกลุ่มพลังงานที่จะได้รับปัจจัยบวกวิกฤตสงครามซีเรีย พร้อมเตือนจับตาแก๊ง 4 โมงเย็นใกล้ชิด หวั่นตกเป็นเหยื่อ
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (9 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขาย สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ขานรับตัวเลขเศรษฐกิจของจีน เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น โดยดัชนีแตะระดับต่ำสุดที่ 1,352.85 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับสูงสุดที่ 1,384.31 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 48.06 จุด คิดเป็น 3.60% มูลค่าการซื้อขายรวม 49,039.11 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิกว่า 2,996.48 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 6,139.87 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 147.12 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 9,283.47 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE)ราคาปิดที่ 7.15 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 5.93% มูลค่าการซื้อขาย 2,743.29 ล้านบาท บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)ปิดที่ 274.00 บาท บวก 21 บาท หรือ 8.30% มูลค่าการซื้อขาย 2,506.41 ล้านบาท และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 175.50 บาท บวก 8.50 บาท หรือ 5.09% มูลค่าการซื้อขาย 1,384.31 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นรุนแรงและต่อเนื่องมาก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งยุโรปและเอเชีย โดยอาจมองว่าเป็นการตอบรับทิศทางเศรษฐกิจของต่างประเทศ โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจจีนในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงประเทศหลักๆ ในเอเชีย
ขณะเดียวกัน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรล่าสุดไม่ค่อยดีนัก ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะต้องผ่อนคลายมาตรการซื้อคืนพันธบัตร หรือ QE3 ต่อไป บวกกับวิกฤติสงครามเกิดขึ้นในประเทศซีเรีย จะเป็นปัจจัยผลักดันราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงานของไทยอย่างมาก
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(10 ก.ย.) ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนในทิศทางบวก แนะนำนักลงทุนให้จับตาราคาน้ำมันดิบ หากยังมีการปรับขึ้นก็จะเป็นผลดีต่อกลุ่มพลังงานและภาพรวมตลาดหุ้นไทย โดยกรอบแนวรับแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,365-1,390 จุด
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยดัชนีปรับขึ้นแรงมีลักษณะค่อนข้างใกล้เคียงกับตลาดจีนและญี่ปุ่น และเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่ที่อยู่ในแดนบวก
ทั้งนี้ คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากข้อมูลเศรษฐกิจทั้งของสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น ที่ออกมาดีขึ้น ทำให้มีการมองบวกต่อเศรษฐกิจโลกที่จะมีการฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามดูการประชุมสภาคองเกรสคืนวันนี้ จะมีการตัดสินใจในเรื่องของซีเรีย ออกมาอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดยังคงกังวลแรงขายทุบดัชนีออกมาในช่วงท้ายตลาด ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีเจอแรงเทขายก่อนปิดตลาดบ่อยมาก โดยแนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวัง
นักวิเคราะห์กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมาย อาจจะได้รับปัจจัยบวกจากเสถียรภาพการลงทุนของตลาดหุ้นไทย หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้เข้ามาตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์ (Proprietary trade - Prop Trade) เพื่อดูแลให้สภาวะการลงทุนมีความเป็นธรรม หลังจากมีกระแสข่าวการสร้างราคาหุ้นของแก๊ง 4 โมงเย็น ซึ่งมีผลต่อราคาหุ้นและเอาเปรียนนักลงทุนรายย่อย
บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทย วานนี้ (9 ก.ย.) ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงตั้งแต่เปิดการซื้อขาย สอดคล้องกับตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ขานรับตัวเลขเศรษฐกิจของจีน เริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น โดยดัชนีแตะระดับต่ำสุดที่ 1,352.85 จุด ก่อนจะปิดการซื้อขายที่ระดับสูงสุดที่ 1,384.31 จุด เพิ่มขึ้นกว่า 48.06 จุด คิดเป็น 3.60% มูลค่าการซื้อขายรวม 49,039.11 ล้านบาท
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อสุทธิกว่า 2,996.48 ล้านบาท นักลงทุนสถาบัน ซื้อสุทธิ 6,139.87 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ 147.12 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 9,283.47 ล้านบาท
สำหรับหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE)ราคาปิดที่ 7.15 บาท บวก 0.40 บาท หรือ 5.93% มูลค่าการซื้อขาย 2,743.29 ล้านบาท บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)ปิดที่ 274.00 บาท บวก 21 บาท หรือ 8.30% มูลค่าการซื้อขาย 2,506.41 ล้านบาท และธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ปิดที่ 175.50 บาท บวก 8.50 บาท หรือ 5.09% มูลค่าการซื้อขาย 1,384.31 ล้านบาท
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เคทีบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวขึ้นรุนแรงและต่อเนื่องมาก ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลกทั้งยุโรปและเอเชีย โดยอาจมองว่าเป็นการตอบรับทิศทางเศรษฐกิจของต่างประเทศ โดยเฉพาะตัวเลขเศรษฐกิจจีนในครึ่งปีหลังมีแนวโน้มฟื้นตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมถึงประเทศหลักๆ ในเอเชีย
ขณะเดียวกัน ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรล่าสุดไม่ค่อยดีนัก ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะต้องผ่อนคลายมาตรการซื้อคืนพันธบัตร หรือ QE3 ต่อไป บวกกับวิกฤติสงครามเกิดขึ้นในประเทศซีเรีย จะเป็นปัจจัยผลักดันราคาน้ำมันดิบให้ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อหุ้นกลุ่มพลังงานของไทยอย่างมาก
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในวันนี้(10 ก.ย.) ตลาดหุ้นไทยยังมีแรงหนุนในทิศทางบวก แนะนำนักลงทุนให้จับตาราคาน้ำมันดิบ หากยังมีการปรับขึ้นก็จะเป็นผลดีต่อกลุ่มพลังงานและภาพรวมตลาดหุ้นไทย โดยกรอบแนวรับแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,365-1,390 จุด
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยดัชนีปรับขึ้นแรงมีลักษณะค่อนข้างใกล้เคียงกับตลาดจีนและญี่ปุ่น และเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นภูมิภาคส่วนใหญ่ที่อยู่ในแดนบวก
ทั้งนี้ คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากข้อมูลเศรษฐกิจทั้งของสหรัฐฯ จีน และญี่ปุ่น ที่ออกมาดีขึ้น ทำให้มีการมองบวกต่อเศรษฐกิจโลกที่จะมีการฟื้นตัวขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามดูการประชุมสภาคองเกรสคืนวันนี้ จะมีการตัดสินใจในเรื่องของซีเรีย ออกมาอย่างไรบ้าง
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่า ตลาดยังคงกังวลแรงขายทุบดัชนีออกมาในช่วงท้ายตลาด ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีเจอแรงเทขายก่อนปิดตลาดบ่อยมาก โดยแนะนำให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวัง
นักวิเคราะห์กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นเหนือความคาดหมาย อาจจะได้รับปัจจัยบวกจากเสถียรภาพการลงทุนของตลาดหุ้นไทย หลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้เข้ามาตรวจสอบข้อมูลการซื้อขายของบริษัทหลักทรัพย์ (Proprietary trade - Prop Trade) เพื่อดูแลให้สภาวะการลงทุนมีความเป็นธรรม หลังจากมีกระแสข่าวการสร้างราคาหุ้นของแก๊ง 4 โมงเย็น ซึ่งมีผลต่อราคาหุ้นและเอาเปรียนนักลงทุนรายย่อย