**หลังจากที่ได้เห็น กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.เกษตรฯ นั่งไขว่ห้าง กระดิกขารอแกนนำชาวสวนยางเพื่อเปิดการเจรจาที่รัฐบาลตัดสินใจมีมติครม.ไปแล้วอยู่ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ
ทำให้เริ่มรู้สึกเห็นด้วยกับ“พี่น้องเสื้อแดง”ว่า ประเทศไทยมี “อำมาตย์”จริงๆ แต่เพิ่งจะมีให้เห็นตำตาก็ยุคที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่อ้างตัวว่าเป็นรัฐบาลไพร่ นี่แหละ !
ในความเป็น“หัวหน้ารัฐบาลไพร่”ของเธอ การแก้ปัญหาคนจนดูจะเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคย เพราะชีวิตยิ่งลักษณ์ มิได้ปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำ หากเป็นเศรษฐีนีที่รวยขนาดแค่ “จี้เพชร”13.5 กะรัต ชิ้นเดียวก็มีราคาเท่ากับชีวิตคนเสื้อแดงที่ไปตายเพื่อทักษิณแล้ว เสียแต่ว่าเงินให้แดงมันเป็นภาษีประชาชน แต่เงินซื้อเครื่องประดับ 7.7 ล้าน มันเป็นของ“ยิ่งลักษณ์”
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนเสื้อแดงจึงหลงผิดเชื่อไปได้ว่า ทักษิณ และตระกูลชินวัตร ที่อยู่กับทุนสมานย์มาตลอดชีวิตจะเป็น “หัวหน้าไพร่”ที่จะช่วยปลดปล่อยความจนให้กับชาวบ้าน เพราะลำพังแค่การใส่ใจศึกษาปัญหาของประชาชน เพื่อช่วยเหลืออย่างจริงจังก็ยังไม่มี
จะมีก็แต่การหว่านประชานิยม เพื่อฐานคะแนนทางการเมืองด้วยเงินแผ่นดินเท่านั้น
**เป็นสันดานที่วงการพนันเขาเรียกว่า “เล่นไพ่ด้วยเงินคนอื่น”แต่บังเอิญเงินที่มันเล่นเป็นภาษีอากรของประชาชนทั้งชาติ บ้านเมืองจึงขาดทุนย่อยยับ ส่วนตระกูลชิน “รับทรัพย์”จนแทบไม่มีที่เก็บ
การที่ กิตติรัตน์ ไม่ขยับตูดออกจาก กทม. แต่ยื่นคำขาดว่า หากเจรจาแกนนำชาวสวนยางพาราต้องเดินทางเข้า กทม. มาพบเท่านั้น และก็ทำสำเร็จเสียด้วย โดยขาไปใช้เฮลิคอปเตอร์ตำรวจไปรับอย่างหรู แต่พอเจอแล้ว เจรจาไม่สำเร็จจน “วงแตก”ดันถีบส่งขึ้นรถตู้ให้กลับใต้
จนเห็นได้ชัดว่า กิตติรัตน์ มองประชาชนอย่างให้เกียรติ หรือว่า “เหยียดหยาม”ประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงในประเทศนี้
แกนนำชาวสวนยางพารา 6 จังหวัด จาก นครศรีธรรมราช สตูล กระบี่ พัทลุง ระนอง และสุราษฎร์ธานี หอบสังขารจากชายป่าเข้าเมืองมาพบ “นาย” ด้วยความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาล ในการช่วยเหลือสินค้าเกษตรอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน
แม้ชาวสวนยางจะไม่ได้ใส่สูท ผูกไทด์ แต่งกายซอมซ่อ หน้าตาอิดโรยจากการชุมนุมต่อเนื่อง ไม่ได้นั่งสั่งการอยู่ในห้องแอร์ เหมือนที่ กิตติรัตน์ ทำ แต่พวกเขาก็มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน ไม่แตกต่างไปจากคนเป็นรัฐมนตรี หรือบางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะคนใต้พูดจริง ทำจริง ไม่เคย “ไวท์ไล”โกหกชาวโลกอย่างหน้าด้านๆ
**เวทีที่ควรจะเป็นไปด้วยบรรยากาศแห่งความเป็นมิตร และความกระตือรือร้น ที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของชาวสวนยางพารา แต่ กิตติรัตน์ กลับสร้างบรรยากาศแยก “นาย”แยก “ชาวบ้าน”อย่างชัดเจน แถมยังขาดความเข้าใจต่อปัญหายางพารา โดยสิ้นเชิง
แม้ว่าทวดของตัวเอง คือ คอซิมบี ณ ระนอง จะเป็นผู้นำยางพาราต้นแรกไปปลูกที่ จ.ตรัง แต่รุ่นเหลน กลายเป็นคนไร้ยางอย่างไม่น่าเชื่อ
“ยางพาราที่มีได้ถูกวันนี้ต้องขอบคุณท่านทวดของท่านกิตติรัตน์ คือท่านคอซิมบี้ ณ ระนอง ซึ่งเป็นผู้นำยางพาราต้นแรกไปปลูกที่ จ.ตรัง ผมฝันมานานแล้วว่า ถ้าราคายางตก ผมน่าจะได้พบกับลูกหลานท่าน ซึ่งวันนี้ก็ดีใจที่ฝันเป็นจริง ที่ผมจะได้มีโอกาสบอกปัญหานี้กับลูกหลานท่าน”
เป็นคำพูดของ อำนวย ยุติธรรม เครือข่ายภาคประชาชนเพื่อความเป็นธรรม จ.นครศรีธรรมราช ที่ไปร่วมวงสนทนากับอำมาตย์ตัวจริง จนได้พบความจริงว่า เหลนของ คอซิมบี้ นั้น ได้ลืมกำพืดความเป็นลูกหลานคนใต้ไปเรียบร้อยแล้ว
ถึงขนาด เอียด เส้งเอียด จอมโจรไข่หมูก ผู้กลับใจมารักษาป่าเพื่อถวายแด่ในหลวง ซึ่งมาเป็นแกนนำกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางที่ชุมนุมอยู่ ชะอวด ถึงกับออกปากว่า รัฐบาลไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา ซึ่งจะทำให้ลุกลามเป็นไฟ
“ฤดูกาลนี้เป็นฤดูฝน หน้าฝนจะมียางที่ไหนมาขายให้ เพราะเกือบ 5 เดือนในฤดูฝน เกษตรกรกรีดยางไม่ได้ แล้วจะเอายางที่ไหนมาประกัน ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมผู้ใหญ่ในรัฐบาลคิดไม่ได้ เรื่องนี้ยังไม่สาย ขอให้รีบแก้ไข เราขอยืนยันว่า พี่น้องเกษตรไม่มีใครการเมืองสนับสนุนแน่นอน ดังนั้น จึงขอรัฐบาลนำเรื่องนี้พิจารณาดับไฟ เพื่อไม่ให้ไฟใต้ลุกขึ้นอีกครั้ง หากเรื่องนี้ไม่จบ พวกเขาพร้อมที่จะจับปืนเข้าป่าลุกขึ้นสู้อีกครั้ง”
ทำเอา กิตติรัตน์ ผู้อยู่บนหอคอยงาช้าง ใครแตะต้องไม่ได้ เพราะมีชายกระโปรงคุ้มกะลาหัวอยู่ ถึงกับลมออกหู ยืนยันมติครม. ในการช่วยเหลือปัจจัยการผลิต 1,260 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 10 ไร่ และช่วยเฉพาะคนที่มีเอกสารสิทธิ์เท่านั้น โดยแสดงความมั่นใจว่า การช่วยเหลือดังกล่าว ดี และถูกทิศถูกทางแล้ว
เมื่อถูกนายอำนวย สวนว่ารัฐบาลไม่จริงใจ สันดานไพร่ในคราบอำมาตย์ ก็ปรากฏให้เห็น โดยมีการกล่าวหานายอำนวย อย่างมีอารมณ์ ว่า นายอำนวย แสดงมากเกินไป เพราะก่อนหน้านี้ตนเชื่อว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้ชักไม่เชื่อแล้ว ตนอยากให้การเจรจาในครั้งแรกเป็นบรรยากาศที่ดี เพราะขณะนี้ตนพร้อมที่จะทบทวนข้อเสนอในแนวทางที่เกษตรกรเสนอ คือ การเติมราคาส่วนต่างของราคายางให้อยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งจะนำเข้าที่ประชุม กนย.ในวันนี้ ( 5 ก.ย. ) ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอดูต่อไป แต่ผมคิดว่าการปิดถนนครั้งนี้ เป็นความเดือดร้อน ถ้าท่านจะกรุณา ก็อยากให้มีการแก้ไขปัญหานี้ก่อน”
**สรุปง่ายๆ คือ “กูไม่ให้มึง แต่มึงต้องไปเปิดถนนก่อน”นับว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่รับฟังความเห็นของผู้เดือดร้อน แต่ยโสโอหังใส่ประชาชน โดยการใช้อำนาจรัฐเข้าข่ม
เป็นภาพที่ช่างแตกต่างจาก เมื่อวันที่ 13 ต.ค.54 ที่ กิตติรัตน์ คนเดียวกันนี้ ในฐานะรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ในขณะนั้น ไปกินนอนอยู่กับนายทุนต่างชาติ แสดงบทบาทพร้อมทุ่มทั้้งชีวิตเพื่อปกป้อง “นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค”ไม่ให้ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อน้ำทะลักเข้าท่วมชนิด “เอาไม่อยู่”เขาก็แสดงมากกว่าที่ด่าว่าชาวสวนยางพาราเสียอีก
**ใครจะคิดว่าวุฒิภาวะของคนเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ จะไม่รู้จักระงับอารมณ์ แต่ดราม่าเต็มสูบ ถึงขนาดหลั่่งน้ำตา โผเข้ากอดผู้บริหารชาวญี่ปุ่นของนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค พร้อมกับการปลอบประโลม ให้กำลังใจ และคำมั่นสัญญาว่า รัฐบาลจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่
แต่กับชาวสวนยางพารา ที่กรีดยางแล้วเจ๊ง จนแทบจะต้องกรีดเลือดขายมาปะทังชีวิต กลับได้รับแต่ถ้อยคำเหยียดหยาม ความไม่จริงใจในการแก้ปัญหา และการออกคำสั่งเพื่อให้ปฏิบัติ ไม่มีแม้กระทั่งความเห็นใจให้กับพี่น้องชาวสวนยางพารา ที่เดือดร้อนหนักต่อเนื่องยาวนานมาถึง 2 ปี
อ้อมกอดของกิตติรัตน์ มีไว้สำหรับมอบให้กับผู้บริหารชาวญี่ปุ่น ส่วนชาวสวนยางพารา มีแต่ท็อปบูทแห่งอำนาจ คอยเหยียบย่ำประชาชนที่ไร้ทางสู้ เพราะในขณะที่รัฐบาลยังแก้ปัญหาให้ชาวสวนยางพาราไม่ได้ สิ่งที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใส่ใจมากกว่าข้อเสนอของชาวสวนยางพารา คือ
การเรียกประชุมหน่วยงานมั่นคงที่เกี่ยวข้อง มี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. มาคอยโค้งคำนับ มือกุมไข่ รับบัญชาจัดการกับม็อบยางพารา ในขณะที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ สุมไฟใส่ร้ายผู้ชุมนุม ทั้งมีอาวุธสงคราม ทั้งข่มขืน เปลี่ยนชาวบ้านที่มาวิงวอนขอความช่วยเหลือให้กลายเป็น “โจร”ในสายตาของคนนอกพื้นที่ พยายามแบ่งแยกเพื่อปกครอง ด้วยการไม่ให้ความช่วยเหลือคนภาคใต้ที่ฉลาดพอจะไม่เลือกพรรคเพื่อไทย
ไม่เพียงเท่านั้น ยังคอยประโคมข่าวข่มขู่ชาวสวนยางพาราอย่างต่อเนื่อง ว่าจะตั้งข้อหาก่อการร้าย หากมีการชุมนุมปิดสนามบิน ขณะเดียวกันก็มีการออกหมายจับแกนนำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความหวาดกลัว แต่ปล่อยแดงลูกกะจ๊อก เคลื่อนไหวเสรีโดยไร้ความผิด
หากยิ่งลักษณ์ มีธรรมเป็นธงนำในการบริหารประเทศ และมีสมองมากพอที่จะคิดหาหนทางแก้ปัญหาประชาชน ใส่ใจอย่างจริงจังกับปัญหาที่เกิดขึ้น ย่อมต้องรู้ว่า เท่ากับตลาดราคายางพาราของจีน อยู่ที่ 18,500 หยวน คูณเงินไทย 5.22 เท่ากับ 96,570 บาทต่อตัน คิดเป็น 96.57 บาทต่อกิโลกรัม
ดังนั้น ข้อเรียกร้องของชาวสวนยางพารา ที่ขอกิโลกรัมละแค่ 92 บาท หรือแม้แต่ 120 บาทที่ “อำมาตย์เต้น”ไปให้คำมั่นสัญญาไว้ ไม่เพียงแต่สมเหตุสมผล แต่ยังต้องถามรัฐบาลกลับไปด้วยว่า บริหารยังไงทำให้ยางพาราในประเทศเหลือแค่ 60-70 บาท ( ราคาอ้างอิงจากเว็บตลาดยางพาราของจีน http://globalrubbermarkets.com/12139/china-natural-rubber-prices-september-4-2013.html)
การช่วยเหลือชาวสวนยางพารา ซึ่งไม่ได้มีแค่ภาคใต้ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากเหมือนกับการนำจำข้าว แต่รัฐบาลกลับเลือกที่จะกู้เงิน 7.7 แสนล้านบาท มารับจำนำข้าว ที่ปรากฏผลขาดทุนตามที่ ทีดีอาร์ไอ สรุปไว้ถึง 4 แสนล้านบาท โดยไม่ยอมช่วยชาวสวนยางพารา เพียงเพราะว่าคนใต้ฉลาดกว่ารัฐบาลเพื่อไทย
**นับเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับชาวไทย ที่มีผู้นำทั้งขาดปัญญา และไร้คุณธรรม แต่ในทางกลับกัน อาจเป็นเรื่องดีสำหรับประเทศชาติ ที่จะทำให้คนไทยตาสว่าง ล้างบางคนเลวออกจากอำนาจเสียที
ทำให้เริ่มรู้สึกเห็นด้วยกับ“พี่น้องเสื้อแดง”ว่า ประเทศไทยมี “อำมาตย์”จริงๆ แต่เพิ่งจะมีให้เห็นตำตาก็ยุคที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่อ้างตัวว่าเป็นรัฐบาลไพร่ นี่แหละ !
ในความเป็น“หัวหน้ารัฐบาลไพร่”ของเธอ การแก้ปัญหาคนจนดูจะเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคย เพราะชีวิตยิ่งลักษณ์ มิได้ปากกัดตีนถีบ หาเช้ากินค่ำ หากเป็นเศรษฐีนีที่รวยขนาดแค่ “จี้เพชร”13.5 กะรัต ชิ้นเดียวก็มีราคาเท่ากับชีวิตคนเสื้อแดงที่ไปตายเพื่อทักษิณแล้ว เสียแต่ว่าเงินให้แดงมันเป็นภาษีประชาชน แต่เงินซื้อเครื่องประดับ 7.7 ล้าน มันเป็นของ“ยิ่งลักษณ์”
ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไมคนเสื้อแดงจึงหลงผิดเชื่อไปได้ว่า ทักษิณ และตระกูลชินวัตร ที่อยู่กับทุนสมานย์มาตลอดชีวิตจะเป็น “หัวหน้าไพร่”ที่จะช่วยปลดปล่อยความจนให้กับชาวบ้าน เพราะลำพังแค่การใส่ใจศึกษาปัญหาของประชาชน เพื่อช่วยเหลืออย่างจริงจังก็ยังไม่มี
จะมีก็แต่การหว่านประชานิยม เพื่อฐานคะแนนทางการเมืองด้วยเงินแผ่นดินเท่านั้น
**เป็นสันดานที่วงการพนันเขาเรียกว่า “เล่นไพ่ด้วยเงินคนอื่น”แต่บังเอิญเงินที่มันเล่นเป็นภาษีอากรของประชาชนทั้งชาติ บ้านเมืองจึงขาดทุนย่อยยับ ส่วนตระกูลชิน “รับทรัพย์”จนแทบไม่มีที่เก็บ
การที่ กิตติรัตน์ ไม่ขยับตูดออกจาก กทม. แต่ยื่นคำขาดว่า หากเจรจาแกนนำชาวสวนยางพาราต้องเดินทางเข้า กทม. มาพบเท่านั้น และก็ทำสำเร็จเสียด้วย โดยขาไปใช้เฮลิคอปเตอร์ตำรวจไปรับอย่างหรู แต่พอเจอแล้ว เจรจาไม่สำเร็จจน “วงแตก”ดันถีบส่งขึ้นรถตู้ให้กลับใต้
จนเห็นได้ชัดว่า กิตติรัตน์ มองประชาชนอย่างให้เกียรติ หรือว่า “เหยียดหยาม”ประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงในประเทศนี้
แกนนำชาวสวนยางพารา 6 จังหวัด จาก นครศรีธรรมราช สตูล กระบี่ พัทลุง ระนอง และสุราษฎร์ธานี หอบสังขารจากชายป่าเข้าเมืองมาพบ “นาย” ด้วยความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาล ในการช่วยเหลือสินค้าเกษตรอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน
แม้ชาวสวนยางจะไม่ได้ใส่สูท ผูกไทด์ แต่งกายซอมซ่อ หน้าตาอิดโรยจากการชุมนุมต่อเนื่อง ไม่ได้นั่งสั่งการอยู่ในห้องแอร์ เหมือนที่ กิตติรัตน์ ทำ แต่พวกเขาก็มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน ไม่แตกต่างไปจากคนเป็นรัฐมนตรี หรือบางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะคนใต้พูดจริง ทำจริง ไม่เคย “ไวท์ไล”โกหกชาวโลกอย่างหน้าด้านๆ
**เวทีที่ควรจะเป็นไปด้วยบรรยากาศแห่งความเป็นมิตร และความกระตือรือร้น ที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของชาวสวนยางพารา แต่ กิตติรัตน์ กลับสร้างบรรยากาศแยก “นาย”แยก “ชาวบ้าน”อย่างชัดเจน แถมยังขาดความเข้าใจต่อปัญหายางพารา โดยสิ้นเชิง
แม้ว่าทวดของตัวเอง คือ คอซิมบี ณ ระนอง จะเป็นผู้นำยางพาราต้นแรกไปปลูกที่ จ.ตรัง แต่รุ่นเหลน กลายเป็นคนไร้ยางอย่างไม่น่าเชื่อ
“ยางพาราที่มีได้ถูกวันนี้ต้องขอบคุณท่านทวดของท่านกิตติรัตน์ คือท่านคอซิมบี้ ณ ระนอง ซึ่งเป็นผู้นำยางพาราต้นแรกไปปลูกที่ จ.ตรัง ผมฝันมานานแล้วว่า ถ้าราคายางตก ผมน่าจะได้พบกับลูกหลานท่าน ซึ่งวันนี้ก็ดีใจที่ฝันเป็นจริง ที่ผมจะได้มีโอกาสบอกปัญหานี้กับลูกหลานท่าน”
เป็นคำพูดของ อำนวย ยุติธรรม เครือข่ายภาคประชาชนเพื่อความเป็นธรรม จ.นครศรีธรรมราช ที่ไปร่วมวงสนทนากับอำมาตย์ตัวจริง จนได้พบความจริงว่า เหลนของ คอซิมบี้ นั้น ได้ลืมกำพืดความเป็นลูกหลานคนใต้ไปเรียบร้อยแล้ว
ถึงขนาด เอียด เส้งเอียด จอมโจรไข่หมูก ผู้กลับใจมารักษาป่าเพื่อถวายแด่ในหลวง ซึ่งมาเป็นแกนนำกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางที่ชุมนุมอยู่ ชะอวด ถึงกับออกปากว่า รัฐบาลไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา ซึ่งจะทำให้ลุกลามเป็นไฟ
“ฤดูกาลนี้เป็นฤดูฝน หน้าฝนจะมียางที่ไหนมาขายให้ เพราะเกือบ 5 เดือนในฤดูฝน เกษตรกรกรีดยางไม่ได้ แล้วจะเอายางที่ไหนมาประกัน ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมผู้ใหญ่ในรัฐบาลคิดไม่ได้ เรื่องนี้ยังไม่สาย ขอให้รีบแก้ไข เราขอยืนยันว่า พี่น้องเกษตรไม่มีใครการเมืองสนับสนุนแน่นอน ดังนั้น จึงขอรัฐบาลนำเรื่องนี้พิจารณาดับไฟ เพื่อไม่ให้ไฟใต้ลุกขึ้นอีกครั้ง หากเรื่องนี้ไม่จบ พวกเขาพร้อมที่จะจับปืนเข้าป่าลุกขึ้นสู้อีกครั้ง”
ทำเอา กิตติรัตน์ ผู้อยู่บนหอคอยงาช้าง ใครแตะต้องไม่ได้ เพราะมีชายกระโปรงคุ้มกะลาหัวอยู่ ถึงกับลมออกหู ยืนยันมติครม. ในการช่วยเหลือปัจจัยการผลิต 1,260 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 10 ไร่ และช่วยเฉพาะคนที่มีเอกสารสิทธิ์เท่านั้น โดยแสดงความมั่นใจว่า การช่วยเหลือดังกล่าว ดี และถูกทิศถูกทางแล้ว
เมื่อถูกนายอำนวย สวนว่ารัฐบาลไม่จริงใจ สันดานไพร่ในคราบอำมาตย์ ก็ปรากฏให้เห็น โดยมีการกล่าวหานายอำนวย อย่างมีอารมณ์ ว่า นายอำนวย แสดงมากเกินไป เพราะก่อนหน้านี้ตนเชื่อว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้ชักไม่เชื่อแล้ว ตนอยากให้การเจรจาในครั้งแรกเป็นบรรยากาศที่ดี เพราะขณะนี้ตนพร้อมที่จะทบทวนข้อเสนอในแนวทางที่เกษตรกรเสนอ คือ การเติมราคาส่วนต่างของราคายางให้อยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งจะนำเข้าที่ประชุม กนย.ในวันนี้ ( 5 ก.ย. ) ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอดูต่อไป แต่ผมคิดว่าการปิดถนนครั้งนี้ เป็นความเดือดร้อน ถ้าท่านจะกรุณา ก็อยากให้มีการแก้ไขปัญหานี้ก่อน”
**สรุปง่ายๆ คือ “กูไม่ให้มึง แต่มึงต้องไปเปิดถนนก่อน”นับว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่รับฟังความเห็นของผู้เดือดร้อน แต่ยโสโอหังใส่ประชาชน โดยการใช้อำนาจรัฐเข้าข่ม
เป็นภาพที่ช่างแตกต่างจาก เมื่อวันที่ 13 ต.ค.54 ที่ กิตติรัตน์ คนเดียวกันนี้ ในฐานะรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ในขณะนั้น ไปกินนอนอยู่กับนายทุนต่างชาติ แสดงบทบาทพร้อมทุ่มทั้้งชีวิตเพื่อปกป้อง “นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค”ไม่ให้ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อน้ำทะลักเข้าท่วมชนิด “เอาไม่อยู่”เขาก็แสดงมากกว่าที่ด่าว่าชาวสวนยางพาราเสียอีก
**ใครจะคิดว่าวุฒิภาวะของคนเป็นรองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ จะไม่รู้จักระงับอารมณ์ แต่ดราม่าเต็มสูบ ถึงขนาดหลั่่งน้ำตา โผเข้ากอดผู้บริหารชาวญี่ปุ่นของนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค พร้อมกับการปลอบประโลม ให้กำลังใจ และคำมั่นสัญญาว่า รัฐบาลจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่
แต่กับชาวสวนยางพารา ที่กรีดยางแล้วเจ๊ง จนแทบจะต้องกรีดเลือดขายมาปะทังชีวิต กลับได้รับแต่ถ้อยคำเหยียดหยาม ความไม่จริงใจในการแก้ปัญหา และการออกคำสั่งเพื่อให้ปฏิบัติ ไม่มีแม้กระทั่งความเห็นใจให้กับพี่น้องชาวสวนยางพารา ที่เดือดร้อนหนักต่อเนื่องยาวนานมาถึง 2 ปี
อ้อมกอดของกิตติรัตน์ มีไว้สำหรับมอบให้กับผู้บริหารชาวญี่ปุ่น ส่วนชาวสวนยางพารา มีแต่ท็อปบูทแห่งอำนาจ คอยเหยียบย่ำประชาชนที่ไร้ทางสู้ เพราะในขณะที่รัฐบาลยังแก้ปัญหาให้ชาวสวนยางพาราไม่ได้ สิ่งที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใส่ใจมากกว่าข้อเสนอของชาวสวนยางพารา คือ
การเรียกประชุมหน่วยงานมั่นคงที่เกี่ยวข้อง มี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. มาคอยโค้งคำนับ มือกุมไข่ รับบัญชาจัดการกับม็อบยางพารา ในขณะที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่ สุมไฟใส่ร้ายผู้ชุมนุม ทั้งมีอาวุธสงคราม ทั้งข่มขืน เปลี่ยนชาวบ้านที่มาวิงวอนขอความช่วยเหลือให้กลายเป็น “โจร”ในสายตาของคนนอกพื้นที่ พยายามแบ่งแยกเพื่อปกครอง ด้วยการไม่ให้ความช่วยเหลือคนภาคใต้ที่ฉลาดพอจะไม่เลือกพรรคเพื่อไทย
ไม่เพียงเท่านั้น ยังคอยประโคมข่าวข่มขู่ชาวสวนยางพาราอย่างต่อเนื่อง ว่าจะตั้งข้อหาก่อการร้าย หากมีการชุมนุมปิดสนามบิน ขณะเดียวกันก็มีการออกหมายจับแกนนำอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดความหวาดกลัว แต่ปล่อยแดงลูกกะจ๊อก เคลื่อนไหวเสรีโดยไร้ความผิด
หากยิ่งลักษณ์ มีธรรมเป็นธงนำในการบริหารประเทศ และมีสมองมากพอที่จะคิดหาหนทางแก้ปัญหาประชาชน ใส่ใจอย่างจริงจังกับปัญหาที่เกิดขึ้น ย่อมต้องรู้ว่า เท่ากับตลาดราคายางพาราของจีน อยู่ที่ 18,500 หยวน คูณเงินไทย 5.22 เท่ากับ 96,570 บาทต่อตัน คิดเป็น 96.57 บาทต่อกิโลกรัม
ดังนั้น ข้อเรียกร้องของชาวสวนยางพารา ที่ขอกิโลกรัมละแค่ 92 บาท หรือแม้แต่ 120 บาทที่ “อำมาตย์เต้น”ไปให้คำมั่นสัญญาไว้ ไม่เพียงแต่สมเหตุสมผล แต่ยังต้องถามรัฐบาลกลับไปด้วยว่า บริหารยังไงทำให้ยางพาราในประเทศเหลือแค่ 60-70 บาท ( ราคาอ้างอิงจากเว็บตลาดยางพาราของจีน http://globalrubbermarkets.com/12139/china-natural-rubber-prices-september-4-2013.html)
การช่วยเหลือชาวสวนยางพารา ซึ่งไม่ได้มีแค่ภาคใต้ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากเหมือนกับการนำจำข้าว แต่รัฐบาลกลับเลือกที่จะกู้เงิน 7.7 แสนล้านบาท มารับจำนำข้าว ที่ปรากฏผลขาดทุนตามที่ ทีดีอาร์ไอ สรุปไว้ถึง 4 แสนล้านบาท โดยไม่ยอมช่วยชาวสวนยางพารา เพียงเพราะว่าคนใต้ฉลาดกว่ารัฐบาลเพื่อไทย
**นับเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับชาวไทย ที่มีผู้นำทั้งขาดปัญญา และไร้คุณธรรม แต่ในทางกลับกัน อาจเป็นเรื่องดีสำหรับประเทศชาติ ที่จะทำให้คนไทยตาสว่าง ล้างบางคนเลวออกจากอำนาจเสียที