xs
xsm
sm
md
lg

“กิตติรัตน์”กล้าข่มม็อบสวนยาง เพราะมี “กระโปรง”คุ้มกะลาหัว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


รายงานการเมือง

หลังจากที่ได้เห็น กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง นายยุคล ลิ้มแหลมทอง รองนายกรัฐมนตรีและรมว.เกษตรฯ นั่งไขว่ห้างกระดิกขารอแกนนำชาวสวนยางเพื่อเปิดการเจรจาที่รัฐบาลตัดสินใจมีมติ ครม.ไปแล้วอยู่ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ

ทำให้เริ่มรู้สึกเห็นด้วยกับ “พี่น้องเสื้อแดง” ว่า ประเทศไทยมี “อำมาตย์” จริง ๆ แต่เพิ่งจะมีให้เห็นตำตาก็ยุคที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่อ้างตัวว่าเป็นรัฐบาลไพร่นี่แหละ !

ในความเป็น “หัวหน้ารัฐบาลไพร่”ของเธอ การแก้ปัญหาคนจนดูจะเป็นเรื่องที่ไม่คุ้นเคย เพราะชีวิตยิ่งลักษณ์มิได้ปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำ หากเป็นเศรษฐีนีที่รวยขนาดแค่ “จี้เพชร” 13.5 กะรัต ชิ้นเดียวก็มีราคาเท่ากับชีวิตคนเสื้อแดงที่ไปตายเพื่อทักษิณแล้ว เสียแต่ว่าเงินให้แดงมันเป็นภาษีประชาชน แต่เงินซื้อเครื่องประดับ 7.7 ล้านมันเป็นของ “ยิ่งลักษณ์”

ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคนเสื้อแดงจึงหลงผิดเชื่อไปได้ว่า ทักษิณ และตระกูลชินวัตร ที่อยู่กับทุนสมานย์มาตลอดชีวิตจะเป็น “หัวหน้าไพร่”ที่จะช่วยปลดปล่อยความจนให้กับชาวบ้าน เพราะลำพังแค่การใส่ใจศึกษาปัญหาของประชาชนเพื่อช่วยเหลืออย่างจริงจังก็ยังไม่มี

จะมีก็แต่การหว่านประชานิยมเพื่อฐานคะแนนทางการเมืองด้วยเงินแผ่นดินเท่านั้น

เป็นสันดานที่วงการพนันเขาเรียกว่า “เล่นไพ่ด้วยเงินคนอื่น” แต่บังเอิญเงินที่มันเล่นเป็นภาษีอากรของประชาชนทั้งชาติ บ้านเมืองจึงขาดทุนย่อยยับ ส่วนตระกูลชิน “รับทรัพย์” จนแทบไม่มีที่เก็บ

การที่ กิตติรัตน์ ไม่ขยับตูดออกจาก กทม. แต่ยื่นคำขาดว่าหากเจรจาแกนนำชาวสวนยางพาราต้องเดินทางเข้า กทม.มาพบเท่านั้น และก็ทำสำเร็จเสียด้วย โดยขาไปใช้เฮลิคอปเตอร์ตำรวจไปรับอย่างหรู แต่พอเจอแล้วเจรจาไม่สำเร็จจน “วงแตก” ดันถีบส่งขึ้นรถตู้ให้กลับใต้

จนเห็นได้ชัดว่า กิตติรัตน์ มองประชาชนอย่างให้เกียรติหรือว่า “เหยียดหยาม” ประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจที่แท้จริงในประเทศนี้

แกนนำชาวสวนยางพารา 6 จังหวัด จาก นครศรีธรรมราช สตูล กระบี่ พัทลุง ระนอง และสุราษฎร์ธานี หอบสังขารจากชายป่าเข้าเมืองมาพบ “นาย” ด้วยความหวังว่าจะได้รับความเป็นธรรมจากรัฐบาลในการช่วยเหลือสินค้าเกษตรอย่างเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการให้เกียรติซึ่งกันและกัน

แม้ชาวสวนยางจะไม่ได้ใส่สูทผูกไทด์ แต่งกายซอมซ่อ หน้าตาอิดโรยจากการชุมนุมต่อเนื่อง ไม่ได้นั่งสั่งการอยู่ในห้องแอร์เหมือนที่ กิตติรัตน์ ทำ แต่พวกเขาก็มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนไม่แตกต่างไปจากคนเป็นรัฐมนตรี หรือบางทีอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะคนใต้พูดจริงทำจริงไม่เคย “ไวท์ไล” โกหกชาวโลกอย่างหน้าด้าน ๆ

เวทีที่ควรจะเป็นไปด้วยบรรยากาศแห่งความเป็นมิตร และความกระตือรือร้นที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของชาวสวนยางพารา แต่ กิตติรัตน์ กลับสร้างบรรยากาศแยก “นาย” แยก “ชาวบ้าน” อย่างชัดเจน แถมยังขาดความเข้าใจต่อปัญหายางพาราโดยสิ้นเชิง

แม้ว่าทวดของตัวเองคือ คอซิมบี ณ ระนอง จะเป็นผู้นำยางพาราต้นแรกไปปลูกที่ จ.ตรัง แต่รุ่นเหลนกลายเป็นคนไร้ยางอย่างไม่น่าเชื่อ

“ยางพาราที่มีได้ถูกวันนี้ต้องขอบคุณท่านทวดของท่านกิตติรัตน์ คือท่านคอซิมบี้ ณ ระนอง ซึ่งเป็นผู้นำยางพาราต้นแรกไปปลูกที่จ.ตรัง ผมฝันมานานแล้วว่าถ้าราคายางตก ผมน่าจะได้พบกับลูกหลานท่าน ซึ่งวันนี้ก็ดีใจที่ฝันเป็นจริง ที่ผมจะได้มีโอกาสปัญหานี้พบกับลูกหลานท่าน”

เป็นคำพูดของอำนวย ยุติธรรม เครือข่ายภาคประชาชนเพื่อความเป็นธรรม จ.นครศรีธรรมราช ที่ไปร่วมวงสนทนากับอำมาตย์ตัวจริง จนได้พบความจริงว่า เหลนของ คอซิมบี้ นั้น ได้ลืมกำพืดความเป็นลูกหลานคนใต้ไปเรียบร้อยแล้ว

ถึงขนาด เอียด เส้งเอียด จอมโจรไข่หมูกผู้กลับใจมารักษาป่าเพื่อถวายแด่ในหลวง ซึ่งมาเป็นแกนนำกลุ่มเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางที่ขุมนุมอยู่ ชะอวด ถึงกับออกปากว่า รัฐบาลไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหาซึ่งจะทำให้ลุกลามเป็นไฟ

“ฤดูกาลนี้เป็นฤดูฝน น่าฝนจะมียางที่ไหนมาขายให้ เพราะเกือบ 5 เดือนในฤดูฝน เกษตรกรกรีดยางไม่ได้ แล้วจะเอายางที่ไหนมาประกัน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ใหญ่ในรัฐบาลคิดไม่ได้ เรื่องนี้ยังไม่สาย ขอให้รีบแก้ไข เราขอยืนยันว่าพี่น้องเกษตรไม่มีใครการเมืองสนับสนุนแน่นอน ดังนั้น จึงขอรัฐบาลนำเรื่องนี้พิจารณาดับไฟ เพื่อไม่ให้ไฟใต้ลุกขึ้นอีกครั้ง หากเรื่องนี้ไม่จบพวกเขาพร้อมที่จะจับปืนเข้าป่าลุกขึ้นสู้อีกครั้ง”

ทำเอา กิตติรัตน์ ผู้อยู่บนหอคอยงาช้างใครแตะต้องไม่ได้ เพราะมีชายกระโปรงคุ้มกะลาหัวอยู่ ถึงกับลมออกหู ยืนยันมติครม.ในการช่วยเหลือปัจจัยการผลิต 1,260 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 10 ไร่ และช่วยเฉพาะคนที่มีเอกสารสิทธิเท่านั้น โดยแสดงความมั่นใจว่าการช่วยเหลือดังกล่าวดีและถูกทิศถูกทางแล้ว

เมื่อถูกนายอำนวย สวนว่ารัฐบาลไม่จริงใจ สันดานไพร่ในคราบอำมาตย์ก็ปรากฏให้เห็น โดยมีการกล่าวหานายอำนวยอย่างมีอารมณ์ ว่า นายอำนวย แสดงมากเกินไป เพราะก่อนหน้านี้ตนเชื่อว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีการเมืองอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้ชักไม่เชื่อแล้ว ตนอยากให้การเจรจาในครั้งแรกเป็นบรรยากาศที่ดี เพราะขณะนี้ตนพร้อมที่จะทบทวนข้อเสนอในแนวทางที่เกษตรกรเสนอคือการเติมราคาส่วนต่างของราคายางให้อยู่ที่กิโลกรัมละ 100 บาท ซึ่งจะนำเข้าที่ประชุมกนย.ในวันนี้ (5 ก.ย.)ส่วนผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอดูต่อไป แต่ผมคิดว่าการปิดถนนครั้งนี้เป็นความเดือดร้อน ถ้าท่านจะกรุณาก็อยากให้มีการแก้ไขปัญหานี้ก่อน”

สรุปง่าย ๆ คือ “กูไม่ให้มึง แต่มึงต้องไปเปิดถนนก่อน” นับว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่รับฟังความเห็นของผู้เดือดร้อน แต่ยโสโอหังใส่ประชาชนโดยการใช้อำนาจรัฐเข้าข่ม

เป็นภาพที่ช่างแตกต่างจากเมื่อวันที่ 13 ต.ค.54 ที่กิตติรัตน์ คนเดียวกันนี้ในฐานะรองนายกและรมว.พาณิชย์ในขณะนั้นไปกินนอนอยู่กับนายทุนต่างชาติ แสดงบทบาทพร้อมทุ่มทั้้งชีวิตเพื่อปกป้อง “นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค” ไม่ให้ได้รับความเสียหาย แต่เมื่อน้ำทะลักเข้าท่วมชนิด “เอาไม่อยู่” เขาก็แสดงมากกว่าที่ด่าว่าชาวสวนยางพาราเสียอีก

ใครจะคิดว่าวุฒิภาวะของคนเป็นรองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์จะไม่รู้จักระงับอารมณ์ แต่ดราม่าเต็มสูบถึงขนาดหลั่่งน้ำตาโผเข้ากอดผู้บริหารชาวญี่ปุ่นของนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค พร้อมกับการปลอบประโลม ให้กำลังใจ และคำมั่นสัญญาว่า รัฐบาลจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่

แต่กับชาวสวนยางพาราที่กรีดยางแล้วเจ๊ง จนแทบจะต้องกรีดเลือดขายมาปะทังชีวิต กลับได้รับแต่ถ้อยคำเหยียดหยาม ความไม่จริงใจในการแก้ปัญหา และการออกคำสั่งเพื่อให้ปฏิบัติ ไม่มีแม้กระทั่งความเห็นใจให้กับพี่น้องชาวสวนยางพาราที่เดือดร้อนหนักต่อเนื่องยาวนานมาถึง 2 ปี

อ้อมกอดของกิตติรัตน์มีไว้สำหรับมอบให้กับผู้บริหารชาวญี่ปุ่น ส่วนชาวสวนยางพารามีแต่ท็อปบูทแห่งอำนาจคอยเหยียบย่ำประชาชนที่ไร้ทางสู้ เพราะในขณะที่รัฐบาลยังแก้ปัญหาให้ชาวสวนยางพาราไม่ได้ สิ่งที่ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใส่ใจมากกว่าข้อเสนอของชาวสวนยางพาราคือ

การเรียกประชุมหน่วยงานมั่นคงที่เกี่ยวข้อง มี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.มาคอยโค้งคำนับมือกุมไข่รับบัญชาจัดการกับม็อบยางพารา ในขณะที่ฝ่ายปกครองในพื้นที่สุมไฟใส่ร้ายผู้ชุมนุมทั้งมีอาวุธสงคราม ทั้งข่มขืน เปลี่ยนชาวบ้านที่มาวิงวอนขอความช่วยเหลือให้กลายเป็น “โจร” ในสายตาของคนนอกพื้นที่ พยายามแบ่งแยกเพื่อปกครอง ด้วยการไม่ให้ความช่วยเหลือคนภาคใต้ที่ฉลาดพอจะไม่เลือกพรรคเพื่อไทย

ไม่เพียงเท่านั้น ยังคอยประโคมข่าวข่มขู่ชาวสวนยางพาราอย่างต่อเนื่องว่าจะตั้งข้อหาก่อการร้าย หากมีการชุมนุมปิดสนามบิน ขณะเดียวกันก็มีการออกหมายจับแกนนำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดความหวาดกลัว แต่ปล่อยแดงลูกกะจ๊อกเคลื่อนไหวเสรีโดยไร้ความผิด

หากยิ่งลักษณ์ มีธรรมเป็นธงนำในการบริหารประเทศ และมีสมองมากพอที่จะคิดหาหนทางแก้ปัญหาประชาชน ใส่ใจอย่างจริงจังกับปัญหาที่เกิดขึ้น ย่อมต้องรู้ว่าเท่ากับตลาดราคายางพาราของจีน อยู่ที่ 18,500 หยวนคูณเงินไทย 5.22 เท่ากับ 96,570 บาทต่อตัน คิดเป็น 96.57 บาทต่อกิโลกรัม

ดังนั้นข้อเรียกร้องของชาวสวนยางพาราที่ขอกิโลกรัมละแค่ 92 บาท หรือแม้แต่ 120 บาทที่ “อำมาตย์เต้น”ไปให้คำมั่นสัญญาไว้ไม่เพียงแต่สมเหตุสมผลแต่ยังต้องถามรัฐบาลกลับไปด้วยว่า บริหารยังไงทำให้ยางพาราในประเทศเหลือแค่ 60-70 บาท (ราคาอ้างอิงจากเว็บตลาดยางพาราของจีน http://globalrubbermarkets.com/12139/china-natural-rubber-prices-september-4-2013.html)

การช่วยเหลือชาวสวนยางพาราซึ่งไม่ได้มีแค่ภาคใต้ไม่ต้องใช้เงินจำนวนมากเหมือนกับการนำจำข้าว แต่รัฐบาลกลับเลือกที่จะกู้เงิน 7.7 แสนล้านบาท มารับจำนำข้าว ที่ปรากฏผลขาดทุนตามที่ทีดีอาร์ไอสรุปไว้ถึง 4 แสนล้านบาท โดยไม่ยอมช่วยชาวสวนยางพาราเพียงเพราะว่าคนใต้ฉลาดกว่ารัฐบาลเพื่อไทย

นับเป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับชาวไทยที่มีผู้นำ ทั้งขาดปัญญาและไร้คุณธรรม แต่ในทางกลับกันอาจเป็นเรื่องดีสำหรับประเทศชาติที่จะทำให้คนไทยตาสว่าง ล้างบางคนเลวออกจากอำนาจเสียที
กำลังโหลดความคิดเห็น