**ผ้าโพกหัวหญิงชราวัยเกิน 60 ตัวอักษรสีเขียวบนผืนผ้าสีขาวเขียนไว้สั้น ๆว่า “กูมาเรื่องราคายาง ไม่ใช่เรื่องการเมือง”กับแววตามุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว ตามอัตลักษณ์ของ “คนใต้”สะท้อนความ “ยากไร้”ที่ทำให้ต้องลุกฮือขึ้นมาเพื่อขอความเป็นธรรมจากรัฐบาล
หลังจากที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เคยนำพาต่อปัญหานี้ เนื่องจากไพล่ไปคิดว่า “เป็นม็อบการเมือง”และเกษตรกรที่เดือดร้อน ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย จึงไม่อนาทรร้อนใจ ที่ชาวสวนยางรายได้หด 1 ใน 3 ข้าวปลาแทบไม่พอยาไส้
ทั้งที่ความจริงในปัจจุบันเกษตรกรผู้ปลูกสวนยางมีอยู่ทั่วทุกภาคในประเทศไทย แต่รัฐบาลก็ใช้วิธีแบ่งแยกเพื่อปกครอง เดินเกมใต้ดิน โยนเงินใส่แกนนำในหลายพื้นที่ จนทำให้พลังของเกษตรกรสวนยางพาราทั่วประเทศ ถูกแบ่งแยกออกเป็นเสี่ยงๆ เพื่อโดดเดี่ยว “เกษตรกรสวนยางพาราภาคใต้”ให้ต่อสู้เพียงลำพัง พร้อมคำป้ายสีจากภาครัฐที่โหมระดมเข้าใส่ผ่านสื่อมวลชนที่ไร้สำนึก
ทั้งการเต้าข่าวว่า ม็อบที่ชะอวดมีอาวุธสงคราม สำมะเลเทเมา ทะเลาะกันในวงเหล้า ไปจนถึงข่มขืนหญิงสาว จากชาวบ้านธรรมดาถูกสร้างภาพให้กลายเป็นโจร ผู้ร้าย ในสายตาคนเมือง
**เพียงเพราะว่า เงินทองเขาหมด ปากท้องอด จนต้องออกมา
แทนที่รัฐบาลจะปกครองด้วยความเมตตาเอาใจใส่ แต่สองปีที่ผ่านมากับการยื่นเรื่องร้องทุกข์นับครั้งไม่ถ้วน เปรียบเสมือน “โยนหินลงแม่น้ำ”
**มีการอนุมัติเงิน 15,000 ล้านบาท มาช่วยพยุงราคา แต่ก็กำหนดกฎเกณฑ์เปิดช่องทุจริต เอื้อนายทุน เงินแผ่นดินไม่ถึงเกษตรกรสวนยางพาราอย่างแท้จริง เกิดการโกงเวียนเทียนยาง ไม่ต่างอะไรกับ การจำนำข้าว เห็นท่าไม่ดี “ก็เผา ผมรับผิดชอบเอง”
งบประมาณสูญเปล่าไปกับความอหังการ์ของ “อำมาตย์เต้น”คนนครศรีธรรมราช แต่ดูเหมือนว่า ถ้ายางหัวไม่ตกคงจำกำพืดตัวเองไม่ได้ เพราะแม้แต่คำมั่นสัญญาอย่างยโสโอหังว่า จะทำให้ราคายางพาราขึ้นถึง 120 บาท สุดท้ายเหลว เละยิ่งกว่าโจ๊ก แถมยังลอยหน้าลอยตา ตอแหลกลางสภาอย่างไม่ละอายว่า “ตัวเองไม่เคยพูด แต่ที่พูดเป็นมติครม.”
ยิ่งฟ้องว่ารัฐบาลทั้งคณะจะต้องรับผิดชอบการพยุงราคายางพารา ที่ 120 บาท หากว่าเป็นมติ ครม. ตามที่ “อำมาตย์เต้น”กล่าวอ้างจริง แต่อนิจจาดูเหมือนว่าในยุคแห่งความเสื่อมทรามที่ กระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม นี้ จะทำให้ผู้ปกครองขาดสำนึกรับผิดชอบต่อประชาชนโดยสิ้นเชิง
เป็นความอำมหิตของผู้ปกครองที่กดดันชาวใต้จนถึงขีดสุด กระทั่งคำว่า “ไม่รบนาย ไม่หายจน”ซึ่งหายไปหลายสิบปี กลับมาตะโกนก้องอีกครั้งที่ “ชะอวด”และก็บังเอิญว่าคำประกาศดังกล่าว เป็นของชาวบ้านแถบเทือกเขาบรรทัด เขตรอยต่อ สตูล-สงขลา-พัทลุง-ตรัง-นครศรีธรรมราช เหมือนกงล้อประวัติศาสตร์กำลังหมุนมาทับรอยเดิม
ต่างกันเพียงแต่ในอดีตชาวบ้านต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการ แต่วันนี้ “ไม่รบนาย ไม่หายจน”คือคำขวัญที่ถูกชูขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผูกขาดประชาธิปไตยไว้กับคนเสื้อแดง และดูเหมือนว่า ชนวนที่ถูกจุดขึ้นด้วยการปราบปรามอย่างรุนแรงตั้งแต่ต้น เพราะต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู กลายเป็นการสร้างปรากฏการณ์โต้กลับแบบ “กูไม่กลัวมึง”ขึ้นมาแทนที
จากที่มีชาวบ้านชุมนุมในตอนแรกราว 50 คน เพิ่มเป็นหลักพันในเวลาอันรวดเร็ว หลังเกิดการหลั่งเลือดจากการชุมนุมครั้งนี้ ในขณะที่แกนนำ 15 คน ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย บทบาทของตำรวจแข็งกร้าว เห็นประชาชนเป็นศัตรู ส่วนพ่อเมืองสีแดงก็แว้งกัดไม่เลิก จนถูกกดดันแทบจะหยัดยืนบนแผ่นดินนครศรีธรรมราช ต่อไปไม่ได้
ยิ่งลักษณ์ โชว์โง่ว่าช่วยยางพาราไม่ได้ เพราะเราปลูกน้อย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยส่งออกยางเป็นอันดับ 1 ของโลก และมีเพียงสามประเทศที่ผลิตยางได้คือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย หากมีการบริหารจัดการที่ดี จะทำให้สามารถควบคุมราคาในตลาดโลกได้ เหมือนยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เคยทำ จนทำให้ราคายางพารา ที่เคยตกต่ำทะยานขึ้นถึง 180 บาทต่อกิโลกรัม และวันนี้ก็ถูก ยิ่งลักษณ์ กระชากลงมาเหลือแค่ 60-70 บาท คือต้องขายสองโลถึงจะได้ 120 บาท ตามที่ “อำมาตย์เต้น” คุยโว
แถมรัฐชั่วยังใส่ร้ายประชาชนว่าเป็นกลุ่มจัดตั้งจากนักการเมืองเพื่อล้มรัฐบาล ถึงขนาด สุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขานายกฝ่ายการเมือง ที่ถูกส่งไปเจรจา จนวิ่งหนีหางจุกตูดกลับกรุงเทพฯ แทบไม่ทัน ยังเอาหญ้าไปป้อนในทีวีเสื้อแดงว่า “การชุมนุมเป็นพวกจัดตั้้ง แม้รัฐบาลจะให้ 200 บาทต่อกิโลกรัม การชุมนุมก็ไม่ยุติ เพราะมีเจตนาล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์”
ทั้งๆ ที่สิ่งที่ชาวสวนยางพาราต้องการมีเพียงแค่ให้ซื้อยางพาราแผ่นดินในราคา 92 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเมื่อคำนวณแล้ว รัฐจะใช้งบเพื่ออุดหนุนเกษตรกรสวนยางพาราทั่วประเทศราว 20,000 ล้านบาท
น้อยกว่างบสำหรับรถคันแรกที่ทะลุไปถึง 90,000 ล้านบาท และยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างปัญหาทำลายกำลังซื้อภายในประเทศจนเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยอยู่ในขณะนี้
** น้อยกว่าเงินกู้ 5 แสนล้าน เพื่อนำมารับจำนำข้าว 15,000 บาท ภายใต้ต้นทุนที่ 8,000 บาท เท่ากับรัฐเอาภาษีคนทั้งประเทศไปเพิ่มกำไรให้ชาวนาเกือบ 100% แค่คิดในแง่เศรษฐกิจก็ไม่เป็นธรรมกับคนในชาติแล้ว ยังไม่นับรวมการทุจริตทุกขั้นตอน จนปัจจุบันใช้เงินเกิน 7 แสนล้าน ขาดทุนไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้าน ล่าสุดรัฐบาลเพิ่งออกมติครม. อนุมัตเงินอีก 2.7 แสนล้านบาท รับจำนำข้าว
ในวันเดียวกัน ครม.ยิ่งลักษณ์ ไม่พิจารณาข้อเสนอของชาวสวนยางพารา หักดิบด้วยการบังคับให้รับปุ๋ย โดยอ้างว่าเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต แทนที่จะอุดหนุนตรงให้เกษตรกร ซึ่งจะทำให้ไร้ช่องโหว่ในการทุจริต แต่กลับเลือกแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่สามารถซิกแซก แดกได้ เพราะชาวสวนยางพาราเขาเข็ดหลาบกับ “ปุ๋ยปลอม”มาหลายหนแล้ว
นางสาวยิ่งลักษณ์ มักพูดเสมอเวลาถูกถามถึงความคุ้มค่าในการรับจำนำข้าว ที่ส่งผลกระทบต่อสถานะการคลังของประเทศและหนี้สาธารณะด้วยถ้อยคำออดอ้อนว่า “ให้ชาวนาเถอะค่ะ”แล้วทำไม 2 หมื่นล้าน ที่ไม่ใช่เงินของตระกูลชิน แต่เป็นภาษีอากรของราษฎรจึง “ให้ชาวสวนยางพาราไม่ได้”
การกระจายตัวชุมนุมในหลายพื้นที่ของเกษตรกรสวนยางพารา อาจยังดูเหมือนว่า ไร้เอกภาพ ต่างคนต่างเดิน แต่เมื่อถูกไล่จนหลังชนฝา เชื่อได้เลยว่าเมื่อนั้นเลือดคนใต้จะไหลรวมเป็นหนึ่งเพื่อต่อสู้รัฐอธรรมอย่างถึงที่สุด
เพื่อไทยอาจเคยวางยุทธศาสตร์แดงทั้งแผ่นดินไว้อย่างได้ผล ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อให้ข้อมูลเท็จ สร้างความเกลียดชัง แต่ความเดือดร้อนที่ไร้สีในวันนี้ทำให้ “จนทั้งแผ่นดิน” กำลังจะส่งผลให้ “ยิ่งลักษณ์” สิ้นอำนาจเร็วขึ้น
ใครจะไปเชิ่่อว่าชาวบ้านหันไปพึ่ง “เอียด เส้งเอียด”น้องชาย “เจิม เส้งเอียด”จอมโจรไข่หมูก ผู้โด่งดัง จับคนรวยมาเรียกค่าไถ่แล้วนำเงินที่ได้บางส่วนไปแจกคนจน ประวัติอันโชกโชนของ “เอียด”เพียงพอที่จะทำให้ภาครัฐเกรงขาม ติดคุกตั้งแต่วัยหนุ่ม เคยเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ 7 ปี
ไม่ใช่เพราะอุดมการณ์การเมือง แต่ต้องการจับปืนล้างแค้นให้พี่ชาย
ก่อนเข้ามอบตัวกับกองทัพภาค 4 ก่อนพลิกผันกลับมาเป็นโจรเรียกค่าไถ่อีกครั้้ง ถูกตำรวจไล่ล่าจับยัดคุก ก่อนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ให้กลับมาใช้ชีวิตปกติ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ทดแทนคุณแผ่นดิน ด้วยการปกป้องผืนป่าแห่งเทือกเขาบรรทัด
**อดีตโจรกลับใจ ได้เข้าร่วมกับชาวสวนยางพารา ที่ชะอวด เป็นแกนกลางประสานรัฐบาล ซึ่งนับว่าเป็นมวยถูกคู่ เพราะจะปราบ รัฐบาลโจร ก็ต้องใช้อดีตโจร เป็นคนโค่นลง
หลังจากที่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่เคยนำพาต่อปัญหานี้ เนื่องจากไพล่ไปคิดว่า “เป็นม็อบการเมือง”และเกษตรกรที่เดือดร้อน ไม่ใช่ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย จึงไม่อนาทรร้อนใจ ที่ชาวสวนยางรายได้หด 1 ใน 3 ข้าวปลาแทบไม่พอยาไส้
ทั้งที่ความจริงในปัจจุบันเกษตรกรผู้ปลูกสวนยางมีอยู่ทั่วทุกภาคในประเทศไทย แต่รัฐบาลก็ใช้วิธีแบ่งแยกเพื่อปกครอง เดินเกมใต้ดิน โยนเงินใส่แกนนำในหลายพื้นที่ จนทำให้พลังของเกษตรกรสวนยางพาราทั่วประเทศ ถูกแบ่งแยกออกเป็นเสี่ยงๆ เพื่อโดดเดี่ยว “เกษตรกรสวนยางพาราภาคใต้”ให้ต่อสู้เพียงลำพัง พร้อมคำป้ายสีจากภาครัฐที่โหมระดมเข้าใส่ผ่านสื่อมวลชนที่ไร้สำนึก
ทั้งการเต้าข่าวว่า ม็อบที่ชะอวดมีอาวุธสงคราม สำมะเลเทเมา ทะเลาะกันในวงเหล้า ไปจนถึงข่มขืนหญิงสาว จากชาวบ้านธรรมดาถูกสร้างภาพให้กลายเป็นโจร ผู้ร้าย ในสายตาคนเมือง
**เพียงเพราะว่า เงินทองเขาหมด ปากท้องอด จนต้องออกมา
แทนที่รัฐบาลจะปกครองด้วยความเมตตาเอาใจใส่ แต่สองปีที่ผ่านมากับการยื่นเรื่องร้องทุกข์นับครั้งไม่ถ้วน เปรียบเสมือน “โยนหินลงแม่น้ำ”
**มีการอนุมัติเงิน 15,000 ล้านบาท มาช่วยพยุงราคา แต่ก็กำหนดกฎเกณฑ์เปิดช่องทุจริต เอื้อนายทุน เงินแผ่นดินไม่ถึงเกษตรกรสวนยางพาราอย่างแท้จริง เกิดการโกงเวียนเทียนยาง ไม่ต่างอะไรกับ การจำนำข้าว เห็นท่าไม่ดี “ก็เผา ผมรับผิดชอบเอง”
งบประมาณสูญเปล่าไปกับความอหังการ์ของ “อำมาตย์เต้น”คนนครศรีธรรมราช แต่ดูเหมือนว่า ถ้ายางหัวไม่ตกคงจำกำพืดตัวเองไม่ได้ เพราะแม้แต่คำมั่นสัญญาอย่างยโสโอหังว่า จะทำให้ราคายางพาราขึ้นถึง 120 บาท สุดท้ายเหลว เละยิ่งกว่าโจ๊ก แถมยังลอยหน้าลอยตา ตอแหลกลางสภาอย่างไม่ละอายว่า “ตัวเองไม่เคยพูด แต่ที่พูดเป็นมติครม.”
ยิ่งฟ้องว่ารัฐบาลทั้งคณะจะต้องรับผิดชอบการพยุงราคายางพารา ที่ 120 บาท หากว่าเป็นมติ ครม. ตามที่ “อำมาตย์เต้น”กล่าวอ้างจริง แต่อนิจจาดูเหมือนว่าในยุคแห่งความเสื่อมทรามที่ กระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจม นี้ จะทำให้ผู้ปกครองขาดสำนึกรับผิดชอบต่อประชาชนโดยสิ้นเชิง
เป็นความอำมหิตของผู้ปกครองที่กดดันชาวใต้จนถึงขีดสุด กระทั่งคำว่า “ไม่รบนาย ไม่หายจน”ซึ่งหายไปหลายสิบปี กลับมาตะโกนก้องอีกครั้งที่ “ชะอวด”และก็บังเอิญว่าคำประกาศดังกล่าว เป็นของชาวบ้านแถบเทือกเขาบรรทัด เขตรอยต่อ สตูล-สงขลา-พัทลุง-ตรัง-นครศรีธรรมราช เหมือนกงล้อประวัติศาสตร์กำลังหมุนมาทับรอยเดิม
ต่างกันเพียงแต่ในอดีตชาวบ้านต่อสู้กับอำนาจรัฐเผด็จการ แต่วันนี้ “ไม่รบนาย ไม่หายจน”คือคำขวัญที่ถูกชูขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ผูกขาดประชาธิปไตยไว้กับคนเสื้อแดง และดูเหมือนว่า ชนวนที่ถูกจุดขึ้นด้วยการปราบปรามอย่างรุนแรงตั้งแต่ต้น เพราะต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู กลายเป็นการสร้างปรากฏการณ์โต้กลับแบบ “กูไม่กลัวมึง”ขึ้นมาแทนที
จากที่มีชาวบ้านชุมนุมในตอนแรกราว 50 คน เพิ่มเป็นหลักพันในเวลาอันรวดเร็ว หลังเกิดการหลั่งเลือดจากการชุมนุมครั้งนี้ ในขณะที่แกนนำ 15 คน ถูกดำเนินคดีทางกฎหมาย บทบาทของตำรวจแข็งกร้าว เห็นประชาชนเป็นศัตรู ส่วนพ่อเมืองสีแดงก็แว้งกัดไม่เลิก จนถูกกดดันแทบจะหยัดยืนบนแผ่นดินนครศรีธรรมราช ต่อไปไม่ได้
ยิ่งลักษณ์ โชว์โง่ว่าช่วยยางพาราไม่ได้ เพราะเราปลูกน้อย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยส่งออกยางเป็นอันดับ 1 ของโลก และมีเพียงสามประเทศที่ผลิตยางได้คือ ไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย หากมีการบริหารจัดการที่ดี จะทำให้สามารถควบคุมราคาในตลาดโลกได้ เหมือนยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลก่อนหน้านี้เคยทำ จนทำให้ราคายางพารา ที่เคยตกต่ำทะยานขึ้นถึง 180 บาทต่อกิโลกรัม และวันนี้ก็ถูก ยิ่งลักษณ์ กระชากลงมาเหลือแค่ 60-70 บาท คือต้องขายสองโลถึงจะได้ 120 บาท ตามที่ “อำมาตย์เต้น” คุยโว
แถมรัฐชั่วยังใส่ร้ายประชาชนว่าเป็นกลุ่มจัดตั้งจากนักการเมืองเพื่อล้มรัฐบาล ถึงขนาด สุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขานายกฝ่ายการเมือง ที่ถูกส่งไปเจรจา จนวิ่งหนีหางจุกตูดกลับกรุงเทพฯ แทบไม่ทัน ยังเอาหญ้าไปป้อนในทีวีเสื้อแดงว่า “การชุมนุมเป็นพวกจัดตั้้ง แม้รัฐบาลจะให้ 200 บาทต่อกิโลกรัม การชุมนุมก็ไม่ยุติ เพราะมีเจตนาล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์”
ทั้งๆ ที่สิ่งที่ชาวสวนยางพาราต้องการมีเพียงแค่ให้ซื้อยางพาราแผ่นดินในราคา 92 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเมื่อคำนวณแล้ว รัฐจะใช้งบเพื่ออุดหนุนเกษตรกรสวนยางพาราทั่วประเทศราว 20,000 ล้านบาท
น้อยกว่างบสำหรับรถคันแรกที่ทะลุไปถึง 90,000 ล้านบาท และยังเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างปัญหาทำลายกำลังซื้อภายในประเทศจนเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยอยู่ในขณะนี้
** น้อยกว่าเงินกู้ 5 แสนล้าน เพื่อนำมารับจำนำข้าว 15,000 บาท ภายใต้ต้นทุนที่ 8,000 บาท เท่ากับรัฐเอาภาษีคนทั้งประเทศไปเพิ่มกำไรให้ชาวนาเกือบ 100% แค่คิดในแง่เศรษฐกิจก็ไม่เป็นธรรมกับคนในชาติแล้ว ยังไม่นับรวมการทุจริตทุกขั้นตอน จนปัจจุบันใช้เงินเกิน 7 แสนล้าน ขาดทุนไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้าน ล่าสุดรัฐบาลเพิ่งออกมติครม. อนุมัตเงินอีก 2.7 แสนล้านบาท รับจำนำข้าว
ในวันเดียวกัน ครม.ยิ่งลักษณ์ ไม่พิจารณาข้อเสนอของชาวสวนยางพารา หักดิบด้วยการบังคับให้รับปุ๋ย โดยอ้างว่าเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิต แทนที่จะอุดหนุนตรงให้เกษตรกร ซึ่งจะทำให้ไร้ช่องโหว่ในการทุจริต แต่กลับเลือกแก้ปัญหาด้วยวิธีการที่สามารถซิกแซก แดกได้ เพราะชาวสวนยางพาราเขาเข็ดหลาบกับ “ปุ๋ยปลอม”มาหลายหนแล้ว
นางสาวยิ่งลักษณ์ มักพูดเสมอเวลาถูกถามถึงความคุ้มค่าในการรับจำนำข้าว ที่ส่งผลกระทบต่อสถานะการคลังของประเทศและหนี้สาธารณะด้วยถ้อยคำออดอ้อนว่า “ให้ชาวนาเถอะค่ะ”แล้วทำไม 2 หมื่นล้าน ที่ไม่ใช่เงินของตระกูลชิน แต่เป็นภาษีอากรของราษฎรจึง “ให้ชาวสวนยางพาราไม่ได้”
การกระจายตัวชุมนุมในหลายพื้นที่ของเกษตรกรสวนยางพารา อาจยังดูเหมือนว่า ไร้เอกภาพ ต่างคนต่างเดิน แต่เมื่อถูกไล่จนหลังชนฝา เชื่อได้เลยว่าเมื่อนั้นเลือดคนใต้จะไหลรวมเป็นหนึ่งเพื่อต่อสู้รัฐอธรรมอย่างถึงที่สุด
เพื่อไทยอาจเคยวางยุทธศาสตร์แดงทั้งแผ่นดินไว้อย่างได้ผล ด้วยการโฆษณาชวนเชื่อให้ข้อมูลเท็จ สร้างความเกลียดชัง แต่ความเดือดร้อนที่ไร้สีในวันนี้ทำให้ “จนทั้งแผ่นดิน” กำลังจะส่งผลให้ “ยิ่งลักษณ์” สิ้นอำนาจเร็วขึ้น
ใครจะไปเชิ่่อว่าชาวบ้านหันไปพึ่ง “เอียด เส้งเอียด”น้องชาย “เจิม เส้งเอียด”จอมโจรไข่หมูก ผู้โด่งดัง จับคนรวยมาเรียกค่าไถ่แล้วนำเงินที่ได้บางส่วนไปแจกคนจน ประวัติอันโชกโชนของ “เอียด”เพียงพอที่จะทำให้ภาครัฐเกรงขาม ติดคุกตั้งแต่วัยหนุ่ม เคยเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ 7 ปี
ไม่ใช่เพราะอุดมการณ์การเมือง แต่ต้องการจับปืนล้างแค้นให้พี่ชาย
ก่อนเข้ามอบตัวกับกองทัพภาค 4 ก่อนพลิกผันกลับมาเป็นโจรเรียกค่าไถ่อีกครั้้ง ถูกตำรวจไล่ล่าจับยัดคุก ก่อนจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ให้กลับมาใช้ชีวิตปกติ พร้อมประกาศเจตนารมณ์ทดแทนคุณแผ่นดิน ด้วยการปกป้องผืนป่าแห่งเทือกเขาบรรทัด
**อดีตโจรกลับใจ ได้เข้าร่วมกับชาวสวนยางพารา ที่ชะอวด เป็นแกนกลางประสานรัฐบาล ซึ่งนับว่าเป็นมวยถูกคู่ เพราะจะปราบ รัฐบาลโจร ก็ต้องใช้อดีตโจร เป็นคนโค่นลง