นครปฐม - หลวงปู่พุทธะ แฉพฤติกรรม"พระน้ำฝน" นำชายฉกรรณ์ 5 คนพบมีประวัติพัวพันยาเสพติดร่วม ผอ.สำนักพุทธฯ เข้าตรวจปัสสาวะพระในวัดอ้อน้อย มีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกฎมหาเถรสมาคม ขณะที่ทนายความวัดอ้อนน้อย เข้าแจ้งความกราวรูดทั้ง "หลวงพี่น้ำฝน - ผอ.สำนักพุทธ" ในข้อหาล่วงละเมิด และข่มขู่คุกคาม ด้าน หลวงปู่สุภาฯ เกจิดังละสังขารแล้ว ด้วยสิริอายุ 119 พรรษา
เมื่อเวลา 10.00น.วานนี้ (2 ก.ย.) หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เปิดแถลงข่าวว่า เนื่องจากวันที่ 29 ส.ค.56 เวลา 13.00 น.ที่ผ่านมา พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กิตติจิตโต (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม พร้อมชายฉกรรณ์ 5 คนและนายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม เดินทางเข้ามาในเขตวัดอ้อน้อย โดยไม่ได้รับอนุญาตและมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกฎมหาเถรสมาคม พร้อมกับกล่าวอ้างว่าเป็นหัวหน้าคณะพระวินยาธิการ จังหวัดนครปฐม มีอำนาจและขอให้พระทุกรูปภายในวัดอ้อน้อย ซึ่งวัดมีพระลูกวัด 46 รูปให้ยินยอมตรวจปัสสาวะ เพื่อหาสารเสพติด และอ้างว่าเป็นคำสั่งของพระราชรัตนมุนี วัดพระปฐมเจดีย์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐมตามมติของคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม ที่ให้ตนเป็นผู้มีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้
"หาเล่ห์ที่จะเล่นงาน เชื่อได้โดยสุจริตใจในพฤติกรรม ของเจ้าคณะปกครองจังหวัดนครปฐม กับนายน้ำฝน ว่า น่าจะอาศัยอำนาจมติคณะสงฆ์ มาเล่นงาน ปกติการตรวจปัสสาวะพระได้สอบถามไปทางเจ้าคณะปกครองทั้งระดับตำบล และระดับอำเภอว่า มีมติให้พระวินยาธิการ เจ้าหน้าที่สาธารณะสุข และเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม แต่ต้องแจ้งให้พระปกครองระดับตำบล และพระปกครองในระดับอำเภอทราบ แต่ทั้งนี้ต้องขออนุญาตสมภารก่อ ถ้าสมภารไม่อนุญาต ก็ไม่สามารถก้าวล่วงอำนาจของสมภาร เพราะเจ้าพนักงานโดยกฎหมายเป็นพระปกครองชั้นต้น ส่วนในกลุ่มวัยรุ่นที่มาด้วยกับคณะที่จะมาตรวจฉี่ โดยอ้างว่ากลุ่มวัยรุ่นนั้นเป็นลูกศิษย์ของนายน้ำฝน โดยหนึ่งในนั้นมี 1 คนที่ประวัติพัวพันกับยาเสพติด บ้านอยู่ที่หนองแขม ที่สามารถรู้ได้เพราะลูกศิษย์ที่วัด เป็นคนที่นั่นและรู้จักประวัติดี เลยทำให้คิดได้ว่าอาจจะถูกกลั่นแกล้ง ที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ มีอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ได้กลัวว่าจะมีฉี่สีม่วง เพราะที่วัดอ้อน้อย ไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่" หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าว
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสอบถามทางโทรศัพท์กับนายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ในวันที่ 28 ส.ค.56 ได้มีการพูดคุยกันมาก่อนแล้วว่าถ้าจะเข้ามาตรวจปัสสาวะในวัด พร้อมทั้งได้แจ้งนายวิโรจน์ว่า ขอร้องว่าให้เข้ามาแต่เพียงพระปกครอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ขอร้องว่าอย่าให้นายน้ำฝนเข้ามา เพราะเกรงว่าจะเป็นการสร้างปัญหา ในฐานะที่เราเป็นคู่กรณีกัน โดยสื่อของเค้าจะด่าเราตลอด อย่างเช่น เป็นพระวิปัสสนา แค่โรงงานเหม็น แล้วทนไม่ได้จะมาสอนธรรมมะได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นพระอธิการศิริชัย สิริโสภโณ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) พร้อมนายพายับ เฮ้าประมงค์ ทนายความ เดินทางไปที่ สภ.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.อนุสรณ์ สุดโต พนักงานสอบสวน สภ.กำแพงแสน เพื่อให้ดำเนินคดีกับพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กิตติจิตโต (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม และนายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ในข้อหาล่วงละเมิด และข่มขู่คุกคาม เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ทำการลงบันทึกประจำวันและตรวจสอบหลักฐานและจะนิมนต์พระอธิการศิริชัย สิริโสภโณ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) มาให้ปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง
***สิ้นแล้วเกจิดัง5แผ่นดิน “หลวงปู่สุภา กันตสีโล”
เมื่อเวลา 05.00 น. วานนี้ (2ก.ย.) พระมงคลวิสุทธิ์ หรือหลวงปู่สุภา กันตสีโล อายุ 119 ปี ได้มรณภาพด้วยอาการสง บขณะพักรักษาอาการอาพาธ ที่วัดคอนสวรรค์ ต.ค้อเขียว อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร โดยหลวงปู่สุภานับเป็นอริยสงฆ์ที่มีอายุยืนยาว จนได้รับขนานนามว่า "อริยสงฆ์ 5 แผ่นดิน" ซึ่งวัดดังกล่าวหลวงปู่ดำริต้องการมาพักรักษาตัวครั้งที่อาพาธหนัก ทั้งเป็นวัดในพื้นที่บ้านเกิดของหลวงปู่สุภาด้วย
สำหรับหลวงปู่สุภา กันตสีโล เดิมชื่อนายสุภา วงศ์ภาคำ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2438 ณ บ้านบ่อคำ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร โยมบิดาชื่อขุนพลภักดี เป็นผู้ใหญ่บ้านคำบ่อ โยมมารดาชื่อนางสอ วงศ์ภาคำ มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน
หลวงปู่สุภาบรรพชาสามเณรเมื่ออายุ 8 ขวบ ชีวิตในเพศบรรพชิตของท่าน เกินกว่ากึ่งหนึ่งใช้ไปกับการธุดงค์ และบำเพ็ญธรรมตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นเวลากว่า 45 ปี เพื่อปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลวงปู่สุภา มีวิชาความรู้ในปฏิปทาจากประสบการณ์ของท่านมากมายทั้งทางโลก และทางธรรม ในวัยหนุ่มท่านชอบขวนขวายศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ในทางธรรมยิ่งนัก
เมื่อได้ยินว่าที่ใดมีพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม และวัตรปฏิบัติดี ท่านมักจะไปขอเล่าเรียนด้วย อาทิ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา จ.ปราจีนบุรี หลวงพ่อทบ วัดชนแดน จ.เพชรบูรณ์ หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด กรุงเทพฯ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ท่านออกเดินธุดงค์จากภาคอีสาน สู่ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก จนมาถึงจ.ภูเก็ต
ขณะที่หลวงปู่เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในป่าในถ้ำบุหลันแดง เขาตะนาวศรี จ.กาญจนบุรี มีเทพองค์หนึ่งแจ้งกับหลวงปู่ว่า มีชนกลุ่มหนึ่งที่จ.ภูเก็ต ซึ่งไม่ได้นับถือศาสนาใดเลยมาเป็นพันๆปี กราบไหว้ผีสางนางไม้ วิญญาณต่างๆ ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนจิตใจชนกลุ่มนี้ให้หันมานับถือศาสนาพุทธได้ จะมีแต่หลวงปู่รูปเดียวเท่านั้น จึงขอให้หลวงปู่เดินทางไปที่จ.ภูเก็ต ท่านจึงเมตตาได้เดินธุดงค์ไปโปรดชนกลุ่มน้อย โดยออกเดินทางตั้งแต่ปี 2500 ถึงจ.ภูเก็ต ปี 2501
ต่อมา หลวงปู่ได้พบกับฆราวาสจอมอาคม จากสำนักเขาอ้อ คือ อาจารย์ชุม ไชยคีรี และอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร ซึ่งมีความศรัทธาในหลวงปู่มาก จึงให้การช่วยเหลือ โดยร่วมกันสร้างวัตถุมงคล "พระเสด็จกลับ" เพื่อนำปัจจัยมาสร้างวัดเกาะสิเหร่ ในปัจจุบัน โดยพระเสด็จกลับ ถือเป็นพระเครื่องซึ่งเป็นที่นิยมของศิษยานุศิษย์ มีการเช่าบูชาในราคาที่สูงมาก
เมื่อหลวงปู่สร้างวัดเกาะสิเหร่สำเร็จแล้ว ได้ธุดงค์ขึ้นสู่ภาคเหนือ จนถึงค่ายทหารที่เขาค้อ สมัยที่ต้องต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ หลวงปู่ได้พักอยู่ในค่ายทหาร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ตลอดจนสร้างเครื่องรางของขลัง ให้แก่บรรดาทหารหาญ ไว้คุ้มครองภัยโดยทั่วกัน หลังจากนั้นท่านได้ธุดงค์กลับบ้านเกิดที่จ.สกลนคร และออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ จนกระทั่งกลับไปจ.ภูเก็ต อีกครั้งหนึ่ง
บรรดาลูกศิษย์จึงนิมนต์ขอให้หลวงปู่สุภาจำพรรษาอยู่ที่จ.ภูเก็ต โดยสร้างสำนักสงฆ์เทพขจรจิต ตามชื่อเจ้าของที่ดิน ขึ้นที่บริเวณเขารัง เพื่อให้หลวงปู่ได้พำนักตลอดไป หลวงปู่ได้พัฒนาสำนักสงฆ์ จนได้ยกฐานะขึ้นเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ต่อมาหลวงปู่ได้ดำริจะสร้างสถานปฏิบัติธรรม สำหรับแม่ชีที่มาบวชเรียน แต่สถานที่ที่เขารังคับแคบมาก จึงหาสถานที่ตั้งวัดแห่งใหม่ บนเนื้อที่ 38 ไร่ที่ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต คือ วัดสิลสุภาราม ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อวัดจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
วัดสิลสุภาราม มีความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน โดยหลวงปู่ทำหน้าที่สงเคราะห์ญาติโยมที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าด้านจิตใจ หรือแม้ผู้ที่ถูกคุณไสย ทั้งยังเป็นวิปัสสนาจารย์ อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ปฏิบัติธรรมกรรมฐานทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2555 ด้วยวัยที่ชราภาพมากขึ้น กอปรกับสุขภาพของหลวงปู่สุภาไม่แข็งแรง จึงต้องการที่จะกลับมาพักผ่อนที่จ.สกลนคร ซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยได้สั่งให้พระอาจารย์ดา และแม่ชีเปีย หลานแท้ๆที่ดูแลปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดมายาวนาน และเป็นผู้ที่หลวงปู่ไว้วางใจ ให้พาเดินทางมาจากวัดสิลสุภาราม ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต
ทั้งนี้วัดคอนสวรรค์ ต.ค้อเขียว อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร เป็นหนึ่งใน 39 วัด ที่หลวงปู่ได้สร้างไว้ตลอดระยะเวลาอันยาวนานในการครองเพศบรรพชิตเกินร้อยปี และที่วัดนี้ยังเป็นวัดบ้านเกิดด้วย โดยหลวงปู่สุภาถือคติธรรมว่า "ถ้าเสียสัตย์ ก็เสียศีล เสียศีลแล้ว ธรรมก็ไม่บังเกิด" และ "ฆ่าจิตของเราให้มันตาย อย่าให้มีโกรธ อย่าให้โลภ อย่าให้มีหลง"
เมื่อเวลา 10.00น.วานนี้ (2 ก.ย.) หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือพระสุวิทย์ ธีรธมฺโม วัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เปิดแถลงข่าวว่า เนื่องจากวันที่ 29 ส.ค.56 เวลา 13.00 น.ที่ผ่านมา พระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กิตติจิตโต (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม พร้อมชายฉกรรณ์ 5 คนและนายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม เดินทางเข้ามาในเขตวัดอ้อน้อย โดยไม่ได้รับอนุญาตและมีเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และกฎมหาเถรสมาคม พร้อมกับกล่าวอ้างว่าเป็นหัวหน้าคณะพระวินยาธิการ จังหวัดนครปฐม มีอำนาจและขอให้พระทุกรูปภายในวัดอ้อน้อย ซึ่งวัดมีพระลูกวัด 46 รูปให้ยินยอมตรวจปัสสาวะ เพื่อหาสารเสพติด และอ้างว่าเป็นคำสั่งของพระราชรัตนมุนี วัดพระปฐมเจดีย์ เจ้าคณะจังหวัดนครปฐมตามมติของคณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม ที่ให้ตนเป็นผู้มีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้
"หาเล่ห์ที่จะเล่นงาน เชื่อได้โดยสุจริตใจในพฤติกรรม ของเจ้าคณะปกครองจังหวัดนครปฐม กับนายน้ำฝน ว่า น่าจะอาศัยอำนาจมติคณะสงฆ์ มาเล่นงาน ปกติการตรวจปัสสาวะพระได้สอบถามไปทางเจ้าคณะปกครองทั้งระดับตำบล และระดับอำเภอว่า มีมติให้พระวินยาธิการ เจ้าหน้าที่สาธารณะสุข และเจ้าหน้าที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม แต่ต้องแจ้งให้พระปกครองระดับตำบล และพระปกครองในระดับอำเภอทราบ แต่ทั้งนี้ต้องขออนุญาตสมภารก่อ ถ้าสมภารไม่อนุญาต ก็ไม่สามารถก้าวล่วงอำนาจของสมภาร เพราะเจ้าพนักงานโดยกฎหมายเป็นพระปกครองชั้นต้น ส่วนในกลุ่มวัยรุ่นที่มาด้วยกับคณะที่จะมาตรวจฉี่ โดยอ้างว่ากลุ่มวัยรุ่นนั้นเป็นลูกศิษย์ของนายน้ำฝน โดยหนึ่งในนั้นมี 1 คนที่ประวัติพัวพันกับยาเสพติด บ้านอยู่ที่หนองแขม ที่สามารถรู้ได้เพราะลูกศิษย์ที่วัด เป็นคนที่นั่นและรู้จักประวัติดี เลยทำให้คิดได้ว่าอาจจะถูกกลั่นแกล้ง ที่มีพฤติกรรมน่ารังเกียจ มีอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ได้กลัวว่าจะมีฉี่สีม่วง เพราะที่วัดอ้อน้อย ไม่อนุญาตให้สูบบุหรี่" หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าว
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการสอบถามทางโทรศัพท์กับนายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ในวันที่ 28 ส.ค.56 ได้มีการพูดคุยกันมาก่อนแล้วว่าถ้าจะเข้ามาตรวจปัสสาวะในวัด พร้อมทั้งได้แจ้งนายวิโรจน์ว่า ขอร้องว่าให้เข้ามาแต่เพียงพระปกครอง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ขอร้องว่าอย่าให้นายน้ำฝนเข้ามา เพราะเกรงว่าจะเป็นการสร้างปัญหา ในฐานะที่เราเป็นคู่กรณีกัน โดยสื่อของเค้าจะด่าเราตลอด อย่างเช่น เป็นพระวิปัสสนา แค่โรงงานเหม็น แล้วทนไม่ได้จะมาสอนธรรมมะได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นพระอธิการศิริชัย สิริโสภโณ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) พร้อมนายพายับ เฮ้าประมงค์ ทนายความ เดินทางไปที่ สภ.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.ท.อนุสรณ์ สุดโต พนักงานสอบสวน สภ.กำแพงแสน เพื่อให้ดำเนินคดีกับพระครูปลัดสิทธิวัฒน์ กิตติจิตโต (หลวงพี่น้ำฝน) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จ.นครปฐม และนายวิโรจน์ อุ่นทรัพย์ ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครปฐม ในข้อหาล่วงละเมิด และข่มขู่คุกคาม เบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ทำการลงบันทึกประจำวันและตรวจสอบหลักฐานและจะนิมนต์พระอธิการศิริชัย สิริโสภโณ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย (ธรรมอิสระ) มาให้ปากคำเพิ่มเติมอีกครั้ง
***สิ้นแล้วเกจิดัง5แผ่นดิน “หลวงปู่สุภา กันตสีโล”
เมื่อเวลา 05.00 น. วานนี้ (2ก.ย.) พระมงคลวิสุทธิ์ หรือหลวงปู่สุภา กันตสีโล อายุ 119 ปี ได้มรณภาพด้วยอาการสง บขณะพักรักษาอาการอาพาธ ที่วัดคอนสวรรค์ ต.ค้อเขียว อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร โดยหลวงปู่สุภานับเป็นอริยสงฆ์ที่มีอายุยืนยาว จนได้รับขนานนามว่า "อริยสงฆ์ 5 แผ่นดิน" ซึ่งวัดดังกล่าวหลวงปู่ดำริต้องการมาพักรักษาตัวครั้งที่อาพาธหนัก ทั้งเป็นวัดในพื้นที่บ้านเกิดของหลวงปู่สุภาด้วย
สำหรับหลวงปู่สุภา กันตสีโล เดิมชื่อนายสุภา วงศ์ภาคำ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2438 ณ บ้านบ่อคำ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร โยมบิดาชื่อขุนพลภักดี เป็นผู้ใหญ่บ้านคำบ่อ โยมมารดาชื่อนางสอ วงศ์ภาคำ มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน
หลวงปู่สุภาบรรพชาสามเณรเมื่ออายุ 8 ขวบ ชีวิตในเพศบรรพชิตของท่าน เกินกว่ากึ่งหนึ่งใช้ไปกับการธุดงค์ และบำเพ็ญธรรมตามป่าเขาลำเนาไพร เป็นเวลากว่า 45 ปี เพื่อปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลวงปู่สุภา มีวิชาความรู้ในปฏิปทาจากประสบการณ์ของท่านมากมายทั้งทางโลก และทางธรรม ในวัยหนุ่มท่านชอบขวนขวายศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ในทางธรรมยิ่งนัก
เมื่อได้ยินว่าที่ใดมีพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม และวัตรปฏิบัติดี ท่านมักจะไปขอเล่าเรียนด้วย อาทิ หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา จ.ปราจีนบุรี หลวงพ่อทบ วัดชนแดน จ.เพชรบูรณ์ หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด กรุงเทพฯ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ท่านออกเดินธุดงค์จากภาคอีสาน สู่ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก จนมาถึงจ.ภูเก็ต
ขณะที่หลวงปู่เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในป่าในถ้ำบุหลันแดง เขาตะนาวศรี จ.กาญจนบุรี มีเทพองค์หนึ่งแจ้งกับหลวงปู่ว่า มีชนกลุ่มหนึ่งที่จ.ภูเก็ต ซึ่งไม่ได้นับถือศาสนาใดเลยมาเป็นพันๆปี กราบไหว้ผีสางนางไม้ วิญญาณต่างๆ ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนจิตใจชนกลุ่มนี้ให้หันมานับถือศาสนาพุทธได้ จะมีแต่หลวงปู่รูปเดียวเท่านั้น จึงขอให้หลวงปู่เดินทางไปที่จ.ภูเก็ต ท่านจึงเมตตาได้เดินธุดงค์ไปโปรดชนกลุ่มน้อย โดยออกเดินทางตั้งแต่ปี 2500 ถึงจ.ภูเก็ต ปี 2501
ต่อมา หลวงปู่ได้พบกับฆราวาสจอมอาคม จากสำนักเขาอ้อ คือ อาจารย์ชุม ไชยคีรี และอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร ซึ่งมีความศรัทธาในหลวงปู่มาก จึงให้การช่วยเหลือ โดยร่วมกันสร้างวัตถุมงคล "พระเสด็จกลับ" เพื่อนำปัจจัยมาสร้างวัดเกาะสิเหร่ ในปัจจุบัน โดยพระเสด็จกลับ ถือเป็นพระเครื่องซึ่งเป็นที่นิยมของศิษยานุศิษย์ มีการเช่าบูชาในราคาที่สูงมาก
เมื่อหลวงปู่สร้างวัดเกาะสิเหร่สำเร็จแล้ว ได้ธุดงค์ขึ้นสู่ภาคเหนือ จนถึงค่ายทหารที่เขาค้อ สมัยที่ต้องต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ หลวงปู่ได้พักอยู่ในค่ายทหาร เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ตลอดจนสร้างเครื่องรางของขลัง ให้แก่บรรดาทหารหาญ ไว้คุ้มครองภัยโดยทั่วกัน หลังจากนั้นท่านได้ธุดงค์กลับบ้านเกิดที่จ.สกลนคร และออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ จนกระทั่งกลับไปจ.ภูเก็ต อีกครั้งหนึ่ง
บรรดาลูกศิษย์จึงนิมนต์ขอให้หลวงปู่สุภาจำพรรษาอยู่ที่จ.ภูเก็ต โดยสร้างสำนักสงฆ์เทพขจรจิต ตามชื่อเจ้าของที่ดิน ขึ้นที่บริเวณเขารัง เพื่อให้หลวงปู่ได้พำนักตลอดไป หลวงปู่ได้พัฒนาสำนักสงฆ์ จนได้ยกฐานะขึ้นเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ต่อมาหลวงปู่ได้ดำริจะสร้างสถานปฏิบัติธรรม สำหรับแม่ชีที่มาบวชเรียน แต่สถานที่ที่เขารังคับแคบมาก จึงหาสถานที่ตั้งวัดแห่งใหม่ บนเนื้อที่ 38 ไร่ที่ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต คือ วัดสิลสุภาราม ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อวัดจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ
วัดสิลสุภาราม มีความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน โดยหลวงปู่ทำหน้าที่สงเคราะห์ญาติโยมที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าด้านจิตใจ หรือแม้ผู้ที่ถูกคุณไสย ทั้งยังเป็นวิปัสสนาจารย์ อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ปฏิบัติธรรมกรรมฐานทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา
เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2555 ด้วยวัยที่ชราภาพมากขึ้น กอปรกับสุขภาพของหลวงปู่สุภาไม่แข็งแรง จึงต้องการที่จะกลับมาพักผ่อนที่จ.สกลนคร ซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยได้สั่งให้พระอาจารย์ดา และแม่ชีเปีย หลานแท้ๆที่ดูแลปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดมายาวนาน และเป็นผู้ที่หลวงปู่ไว้วางใจ ให้พาเดินทางมาจากวัดสิลสุภาราม ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต
ทั้งนี้วัดคอนสวรรค์ ต.ค้อเขียว อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร เป็นหนึ่งใน 39 วัด ที่หลวงปู่ได้สร้างไว้ตลอดระยะเวลาอันยาวนานในการครองเพศบรรพชิตเกินร้อยปี และที่วัดนี้ยังเป็นวัดบ้านเกิดด้วย โดยหลวงปู่สุภาถือคติธรรมว่า "ถ้าเสียสัตย์ ก็เสียศีล เสียศีลแล้ว ธรรมก็ไม่บังเกิด" และ "ฆ่าจิตของเราให้มันตาย อย่าให้มีโกรธ อย่าให้โลภ อย่าให้มีหลง"