xs
xsm
sm
md
lg

สิ้นแล้วเกจิดัง 5 แผ่นดิน “หลวงปู่สุภา กันตสีโล”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หลวงปู่สภา กันตสีโล เกจิดัง 5 แผ่นดิน อายุ 119 ปี มรณภาพแล้วเมื่อเวลา 05.00 น.ที่วัดวัดคอนสวรรค์ ต.ค้อเขียว อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร
สกลนคร - สิ้นแล้วเกจิอาจารย์ดัง 5 แผ่นดิน “หลวงปู่สุภา กันตสีโล” พุทธศาสนิกชนสุดเศร้าสูญเสียพระอริยสงฆ์วัย 119 ปี ละสังขารด้วยอาการสงบ ที่วัดคอนสวรรค์ ต.ค้อเขียว อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร

เมื่อเวลา 05.00 น. วันนี้ (2 ก.ย.) พระมงคลวิสุทธิ์ หรือหลวงปู่สุภา กันตสีโล อายุ 119 ปี ได้มรณภาพด้วยอาการสงบขณะพักรักษาอาการอาพาธที่วัดคอนสวรรค์ ต.ค้อเขียว อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร โดยหลวงปู่สุภานับเป็นอริยสงฆ์ที่มีอายุยืนยาว จนได้รับขนานนามว่า “อริยสงฆ์ 5 แผ่นดิน” ซึ่งวัดดังกล่าวหลวงปู่ดำริต้องการมาพักรักษาตัวครั้งที่อาพาธหนัก ทั้งเป็นวัดในพื้นที่บ้านเกิดของหลวงปู่สุภาด้วย

สำหรับหลวงปู่สุภา กันตสีโล เดิมชื่อนายสุภา วงศ์ภาคำ เกิดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน 2438 ณ บ้านบ่อคำ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร โยมบิดาชื่อขุนพลภักดี เป็นผู้ใหญ่บ้านคำบ่อ โยมมารดาชื่อนางสอ วงศ์ภาคำ มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน

หลวงปู่สุภาบรรพชาสามเณรเมื่ออายุ 8 ขวบ ชีวิตในเพศบรรพชิตของท่าน เกินกว่ากึ่งหนึ่งใช้ไปกับการธุดงค์ และบำเพ็ญธรรมตามป่าเขาลำเนาไพรเป็นเวลากว่า 45 ปี เพื่อปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลวงปู่สุภามีวิชาความรู้ในปฏิปทาจากประสบการณ์ของท่านมากมายทั้งทางโลก และทางธรรม ในวัยหนุ่มท่านชอบขวนขวายศึกษาเล่าเรียนวิชาความรู้ในทางธรรมยิ่งนัก

เมื่อได้ยินว่าที่ใดมีพระอาจารย์ผู้มีวิชาอาคม และวัตรปฏิบัติดี ท่านมักจะไปขอเล่าเรียนด้วย เช่น หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพ หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา จ.ปราจีนบุรี หลวงพ่อทบ วัดชนแดน จ.เพชรบูรณ์ หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด กรุงเทพฯ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นต้น ท่านออกเดินธุดงค์จากภาคอีสาน สู่ภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก จนมาถึง จ.ภูเก็ต

ขณะที่หลวงปู่เจริญวิปัสสนากรรมฐานอยู่ในป่าในถ้ำบุหลันแดง เขาตะนาวศรี จ.กาญจนบุรี มีเทพองค์หนึ่งแจ้งหลวงปู่ว่า มีชนกลุ่มหนึ่งที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งไม่ได้นับถือศาสนาใดเลยมาเป็นพันๆ ปี กราบไหว้ผีสางนางไม้ วิญญาณต่างๆ ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนจิตใจชนกลุ่มนี้ให้หันมานับถือศาสนาพุทธได้ จะมีแต่หลวงปู่รูปเดียวเท่านั้น จึงขอให้หลวงปู่เดินทางไปที่ จ.ภูเก็ต ท่านจึงเมตตาได้เดินธุดงค์ไปโปรดชนกลุ่มน้อย โดยออกเดินทางตั้งแต่ปี 2500 ถึง จ.ภูเก็ตปี 2501

ต่อมาหลวงปู่ได้พบกับฆราวาสจอมอาคมจากสำนักเขาอ้อ คือ อาจารย์ชุม ไชยคีรี และอาจารย์อุทัย ดุจศรีวัชร ซึ่งมีความศรัทธาในหลวงปู่มาก จึงให้การช่วยเหลือ โดยร่วมกันสร้างวัตถุมงคล “พระเสด็จกลับ” เพื่อนำปัจจัยมาสร้างวัดเกาะสิเหร่ในปัจจุบัน โดยพระเสด็จกลับถือเป็นพระเครื่องซึ่งเป็นที่นิยมของศิษยานุศิษย์ มีการเช่าบูชาในราคาที่สูงมาก

เมื่อหลวงปู่สร้างวัดเกาะสิเหร่สำเร็จแล้วได้ธุดงค์ขึ้นสู่ภาคเหนือจนถึงค่ายทหารที่เขาค้อ สมัยที่ต้องต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์หลวงปู่ได้พักอยู่ในค่ายทหารเพื่อเป็นขวัญกำลังใจ ตลอดจนสร้างเครื่องรางของขลังให้แก่บรรดาทหารหาญไว้คุ้มครองภัยโดยทั่วกัน หลังจากนั้นท่านได้ธุดงค์กลับบ้านเกิดที่ จ.สกลนคร และออกธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ จนกระทั่งกลับไป จ.ภูเก็ตอีกครั้งหนึ่ง

บรรดาลูกศิษย์จึงนิมนต์ขอให้หลวงปู่สุภาจำพรรษาอยู่ที่ จ.ภูเก็ต โดยสร้างสำนักสงฆ์เทพขจรจิต ตามชื่อเจ้าของที่ดิน ขึ้นที่บริเวณเขารัง เพื่อให้หลวงปู่ได้พำนักตลอดไป หลวงปู่ได้พัฒนาสำนักสงฆ์จนได้ยกฐานะขึ้นเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ ต่อมาหลวงปู่ได้ดำริจะสร้างสถานปฏิบัติธรรมสำหรับแม่ชีที่มาบวชเรียน แต่สถานที่ที่เขารังคับแคบมาก จึงหาสถานที่ตั้งวัดแห่งใหม่ บนเนื้อที่ 38 ไร่ที่ ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต คือ วัดสิลสุภาราม ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อวัดจากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ

วัดสิลสุภาราม มีความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน โดยหลวงปู่ทำหน้าที่สงเคราะห์ญาติโยมที่ได้รับความเดือดร้อน ไม่ว่าด้านจิตใจ หรือแม้ผู้ที่ถูกคุณไสย ทั้งยังเป็นวิปัสสนาจารย์ อบรมสั่งสอนลูกศิษย์ปฏิบัติธรรมกรรมฐานทั้งพระภิกษุ สามเณร อุบาสก อุบาสิกา

เมื่อต้นเดือนมีนาคม 2555 ด้วยวัยที่ชราภาพมากขึ้น กอปรกับสุขภาพของหลวงปู่สุภาไม่แข็งแรง จึงต้องการที่จะกลับมาพักผ่อนที่ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นบ้านเกิด โดยได้สั่งให้พระอาจารย์ดา และแม่ชีเปีย หลานแท้ๆ ที่ดูแลปรนนิบัติรับใช้ใกล้ชิดมายาวนาน และเป็นผู้ที่หลวงปู่ไว้วางใจ ให้พาเดินทางมาจากวัดสิลสุภาราม ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต

ทั้งนี้ วัดคอนสวรรค์ ต.ค้อเขียว อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร เป็น 1 ใน 39 วัดที่หลวงปู่ได้สร้างไว้ตลอดระยะเวลาอันยาวนานในการครองเพศบรรพชิตเกินร้อยปี และที่วัดนี้ยังเป็นวัดบ้านเกิดด้วย โดยหลวงปู่สุภาถือคติธรรมว่า “ถ้าเสียสัตย์ ก็เสียศีล เสียศีลแล้ว ธรรมก็ไม่บังเกิด” และ “ฆ่าจิตของเราให้มันตาย อย่าให้มีโกรธ อย่าให้มีโลภ อย่าให้มีหลง”

กำลังโหลดความคิดเห็น