ศูนย์ข่าวภูเก็ต - หลวงปู่สุภาฯ เกจิดังละสังขารแล้ว ด้วยสิริอายุ 119 พรรษา ธุดงค์มาภูเก็ตกว่า 50 ปี ประเดิมสร้างวัดเกาะสิเหร่ ตามด้วยวัดเขารัง และล่าสุด วัดสิริสีลสุภาราม และเป็นผู้สร้างพระพุทธไสยาสน์ บนเขาวัดเกาะสิเหร่ ที่ในหลวงพระราชทานแววพระเนตรมาให้ และเป็นผู้สร้างพระเครื่อง วัตถุมงคลดังหลายรุ่น
จากกรณี หลวงปู่สุภา กันตสีโล หรือพระมงคลวิสุทธิ์ ได้ละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา 05.00 น. วันนี้ (2 ก.ย.) ที่วัดคอนสวรรค์ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ด้วยสิริอายุย่างเข้า 119 พรรษา ซึ่งสร้างความเสียใจให้แก่ลูกศิษย์ลูกหา รวมทั้งชาวจังหวัดภูเก็ต และชาวไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลวงปู่สุภา เป็นพระเกจิที่ผู้คนให้ความศรัทธา และให้ความนับถือเป็นอย่างมาก สำหรับบรรยากาศที่บริเวณอาคารอำนวยการวัดสิริสีลสุภาราม หรือที่คนภูเก็ตรู้จักกันในนามวัดหลวงปู่สุภา ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นวัดสุดท้ายที่หลวงปูสุภาสร้างในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีประชาชนมาสอบถามถึงข่าวดังกล่าว รวมตั้งติดต่อขอเช่าวัตถุมงคลของหลวงปู่สภาจำนวนมาก แต่บรรยากาศโดยรอบๆ วัดเป็นไปด้วยความเงียบเหงา
นายปิยะวัฒน์ สีหะวีรชาติ ไวยะวัฒน์ของหลวงปูสุภา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด และรับใช้หลวงปู่มาตั้งแต่ปี 2502 กล่าวว่า หลังจากทราบข่าวว่าหลวงปู่ละสังขารก็รู้สึกเสียใจเช่นเดียวกับลูกศิษย์ของปู่คนอื่นๆ ซึ่งขณะนี้มีคนโทรศัพท์มาสอบถามจำนวนมากเพื่อขอคำยืนยันว่าหลวงปู่ละสังขารจริงหรือไม่ เพราะมีข่าวลือมาก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนั้น ที่วัดก็เริ่มมีคนที่เข้ามาสอบถาม แต่ตอนนี้เชื่อว่าทุกคนคงรู้เรื่องแล้ว ซึ่งขณะนี้ร่างของหลวงปู่อยู่ที่วัดคอนสวรรค์ จ.สกลนคร สำหรับตนนั้นจะเดินทางไปเคารพศพของหลวงปู่ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับลูกศิษย์คนอื่นๆ ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งหลวงปู่มีลูกศิษย์อยู่จำนวนมาก
สำหรับหลวงปู่สุภา ท่านเป็นคน อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร เกิดเมื่อวันที่ 17กันยายน 2438 ถึงปีนี้ท่านก็มีอายุย่างเข้า 119 ปีแล้ว หลวงปู่บวชเณรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เป็นศิษย์ของพระอาจารย์สีทัตต์ วัดท่าอุเทน จ.นครพนม และปี 2463 ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท จากนั้นได้ไปศึกษาทางด้านกษิณ และฌานสมาบัติอยู่กับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลังจากนั้น หลวงปู่สุภาได้ออกธุดงค์ไปในทุกภาคของประเทศ รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติ
นายปิยะวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า หลวงปู่สุภา เข้ามาธุดงค์ที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อประมาณปี 2500 ซึ่งหลวงปู่สุภา ได้เล่าให้ฟังถึงการธุดงค์มาที่จังหวัดภูเก็ต ว่า ก่อนจะมาภูเก็ตหลวงปู่ได้นิมิตเห็นเทวดาองค์หนึ่งบอกให้ท่านมาช่วยโปรดคนกลุ่มน้อยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ ท่านจึงได้ตัดสินใจมาที่ภูเก็ต โดยครั้งแรกท่านมาปักกลดอยู่บนเขารัง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งครั้งแรกท่านตั้งใจที่จะสร้างวัดที่บริเวณเขารัง แต่ทางเจ้าของที่ดินไม่ขายที่ดินให้ ท่านจึงตกลงใจถอนกลดธุดงค์เพื่อเดินทางต่อไป แต่ในคืนก่อนที่หลวงปู่สุภาจะถอนกลดนั้น หลวงปู่สุภาก็ได้นิมิตว่า มีพระภิกษุชราภาพรูปหนึ่งมาปรากฏร่างที่ข้างกลดธุดงค์ท่านจึงออกไปพบ พระภิกษุชรารูปนั้นก็ได้บอกหลวงปู่สุภาว่า “อย่าได้เสียใจเลย ยังมีสถานที่ที่เขาต้องการให้ท่านไปสร้างวัด ชาวบ้านเขารอกันเป็นเวลานาน แต่ไม่มีใครไปสร้างให้ ขอข้ามทะเลไปยังเกาะสิเหร่ ที่นั่นคือที่ที่ท่านจะสมปรารถนา”
หลังจากนั้น หลวงปู่สุภา ลงเรือที่ทางญาติโยมจัดให้ เพื่อเดินทางไปเกาะสิเหร่ แล้วหลวงปู่สุภาก็ปักกลด แสวงหาวิเวกบนเกาะสิเหร่ และมาพบที่ดินที่ถูกใจแปลงหนึ่ง จึงสอบถามหาเจ้าของที่ ปรากฏว่า เจ้าของที่คือ แป๊ะหลี มีความเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของหลวงปู่สุภา จึงปวารณาตัวอุทิศที่ให้สร้างเป็นวัดขึ้นเป็นวัดแรกของเกาะ เรียกว่า “วัดเกาะสิเหร่” แต่ภาระในการสร้างวัดเกาะสิเหร่ เป็นภาระที่หนักมาก และต้องหาทุนทรัพย์จากภายนอกมาเกื้อหนุน หลวงปู่จึงร่วมกับญาติโยมสร้างวัตถุมงคลครั้งแรกขึ้นเรียกว่า “พระเสด็จกลับ” ซึ่งปัจจุบัน “พระเสด็จกลับ” เป็นวัตถุมงคลที่ลูกศิษย์ถามหากันเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะสร้างวัตถุมงคลแล้ว หลวงปู่ยังสร้างพระพุทธไสยาสน์ ด้วยเพื่อเป็นประจำวัดเกาะสิเหร่ รวมเวลาการสร้างวัดเกาะสิเหร่ และพระพุทธไสยาสน์ เป็นเวลา 6 ปีเต็ม โดยสร้างถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งการนี้ได้โปรดเกล้าพระราชทานแววพระเนตรมาประดิษฐานไว้ที่พระเนตรของพระพุทธไสยาสน์
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลวงปู่สุภา สร้างวัดบนเกาะสิเหร่ เสร็จท่านก็แบกกลดขึ้นไปทางเหนือและพื้นที่อื่นๆ อีกครั้ง เพื่อแสวงหาความวิเวก หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ได้เดินทางกลับมาที่ภูเก็ตอีกครั้งโดยครั้งนี้หลวงปู่ได้กลับไปที่เขารังอีกครั้ง โดยครั้งนี้หลวงปู่ปักกลดที่บริเวณด้านหลังของโรงพยาบาลวชิระ ติดกับที่เก็บศพ ซึ่งเล่าลือว่าผีดุ หลังจากปักกลดมีศิษย์ที่เคยรู้จักมาพบเข้าจึงเล่าลือกันปากต่อปาก จนมีลูกศิษย์ลูกหามามนัสการจำนวนมาก และทุกคนเห็นพ้องว่าท่านอายุมากแล้ว จึงนิมนต์ให้หลวงปู่อยู่กับที่ โดยได้ขอซื้อที่ดินจากเจ้าของที่จะขายให้ 1 ไร่เศษ จึงสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น และหลวงปู่สุภาเล็งเห็นว่า หากต้องการสร้างความสงบให้แก่เขารัง และแก่จังหวัดภูเก็ต ต้องสร้างพระพุทธรูปปางประทานพรไว้บนยอดเขารัง โดยออกแบบให้มีส่วนฐานขององค์พระขึ้นไปจากหลังคาสำนักสงฆ์
หลังจากนั้น ในปี 2544 หลวงปู่สุภา ได้สร้างวัดใหม่อีกแห่งหนึ่ง ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต บนเนื้อที่ 38 ไร่ โดยได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ว่า “วัดสิริสีลสุภาราม” วัดแห่งนี้เป็นวัดลำดับที่ 39 ที่หลวงปู่สุภาได้สร้างขึ้น และถือเป็นวัดสุดท้ายที่หลวงปู่สร้างขึ้นก่อนที่หลวงปู่จะละสังขารซึ่งท่านได้อยู่ที่วัดนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อเดือน เม.ย.55 ท่านก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดคอนสวรรค์ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดของท่าน ซึ่งนอกจากหลวงปู่สุภา จะสร้างวัดแล้ว ท่านยังได้สร้างตึกสงฆ์ที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตอีกด้วย และในช่วงวันเกิดของหลวงปู่ทุกๆ ปีจะมีการมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนอีกด้วย
เครื่องรางของขลังของหลวงปู่สุภา
จริงๆ แล้วสำหรับวัตถุมงคลที่หลวงปู่สุภาสร้างนั้นมีจำนวนมาก ซึ่งเป็นที่ต้องการของลูกศิษย์ลูกหาที่จะมีไว้บูชา แต่ที่เป็นที่นิยมมาก ก็มี “พระเสด็จกลับ” ซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่ทำขึ้นเป็นครั้งแรกที่วัดเกาะสิเหร่ นอกจากนั้น ยังมี แมงมุมเรียกทรัพย์ จระเข้เฝ้าทรัพย์ สำหรับวิชาแมงมุมมหาลาภ เป็นตำราที่หลวงปู่สุภาได้เรียนมาจากหลวงปู่สุข โดยนำแร่ธาตุ หรือขดไม้สน มาผูกเป็นแมงมุมพร้อมลงอักขระ สวดคาถากำกับลงไป เมื่อนำเอาไปไว้ในร้านค้าแห่งใด คนจะเข้าร้านไม่ขาดสาย พ่อค้าแม่ค้าที่เปิดร้านขายของไม่ต้องไปเร่ขาย เปรียบเทียบแมงมุมซึ่งไม่ใช่นักล่าที่แสวงหาชีวิตของผู้อื่นกินเป็นอาหาร อาหารของแมงมุมเป็นอาหารที่หมดอายุขัยแล้ว เพราะมันจะชักใยไว้ในที่ที่เหยื่อมองเห็น ไม่ได้ซ่อน หรือดักไว้ในที่ลับตา เหยื่อจะวิ่งเข้ามาติดใยโดยไม่ต้องออกไปวิ่งไล่หาเหยื่อนั่นเอง ส่วนจระเข้อาคม เป็นของขลังที่มีมาแต่สมัยโบราณ จระเข้ที่ว่านี้แกะสลักมาจากไม้ทองหลางกิ่งที่หันไปทางทิศตะวันออกเท่านั้นแล้วลงอักขระ จากนั้นสวดยันต์ปลุกเสกแล้วติดไว้ที่หน้าประตู หลวงปู่สุภา จึงได้ขอวิชาเป็นที่มาของการทำจระเข้มาให้บูชากัน จระเข้อาคมมีสรรพคุณคุ้มครองป้องกันอันตรายจากโจรผู้ร้ายได้ผลดี นอกจากนั้น ยังมีวัตถุมงคลอื่นๆ อีกจำนวนมาก ส่วนคำสอนที่หลวงปู่บอกลูกศิษย์เป็นประจำ คือ “กินน้อย นอนน้อย รักสันโดษ” “ถ้าเสียสัตย์ ก็เสียศีล เสียศีลแล้ว ธรรมก็ไม่บังเกิด” เป็นอมตะวาจาของหลวงปู่สุภา ที่บอก และสอนลูกศิษย์เป็นประจำ
จากกรณี หลวงปู่สุภา กันตสีโล หรือพระมงคลวิสุทธิ์ ได้ละสังขารด้วยอาการสงบ เมื่อเวลา 05.00 น. วันนี้ (2 ก.ย.) ที่วัดคอนสวรรค์ อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร ด้วยสิริอายุย่างเข้า 119 พรรษา ซึ่งสร้างความเสียใจให้แก่ลูกศิษย์ลูกหา รวมทั้งชาวจังหวัดภูเก็ต และชาวไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากหลวงปู่สุภา เป็นพระเกจิที่ผู้คนให้ความศรัทธา และให้ความนับถือเป็นอย่างมาก สำหรับบรรยากาศที่บริเวณอาคารอำนวยการวัดสิริสีลสุภาราม หรือที่คนภูเก็ตรู้จักกันในนามวัดหลวงปู่สุภา ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นวัดสุดท้ายที่หลวงปูสุภาสร้างในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ได้มีประชาชนมาสอบถามถึงข่าวดังกล่าว รวมตั้งติดต่อขอเช่าวัตถุมงคลของหลวงปู่สภาจำนวนมาก แต่บรรยากาศโดยรอบๆ วัดเป็นไปด้วยความเงียบเหงา
นายปิยะวัฒน์ สีหะวีรชาติ ไวยะวัฒน์ของหลวงปูสุภา ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิด และรับใช้หลวงปู่มาตั้งแต่ปี 2502 กล่าวว่า หลังจากทราบข่าวว่าหลวงปู่ละสังขารก็รู้สึกเสียใจเช่นเดียวกับลูกศิษย์ของปู่คนอื่นๆ ซึ่งขณะนี้มีคนโทรศัพท์มาสอบถามจำนวนมากเพื่อขอคำยืนยันว่าหลวงปู่ละสังขารจริงหรือไม่ เพราะมีข่าวลือมาก่อนหน้านี้แล้ว นอกจากนั้น ที่วัดก็เริ่มมีคนที่เข้ามาสอบถาม แต่ตอนนี้เชื่อว่าทุกคนคงรู้เรื่องแล้ว ซึ่งขณะนี้ร่างของหลวงปู่อยู่ที่วัดคอนสวรรค์ จ.สกลนคร สำหรับตนนั้นจะเดินทางไปเคารพศพของหลวงปู่ด้วยตัวเอง เช่นเดียวกับลูกศิษย์คนอื่นๆ ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งหลวงปู่มีลูกศิษย์อยู่จำนวนมาก
สำหรับหลวงปู่สุภา ท่านเป็นคน อ.วาริชภูมิ จ.สกลนคร เกิดเมื่อวันที่ 17กันยายน 2438 ถึงปีนี้ท่านก็มีอายุย่างเข้า 119 ปีแล้ว หลวงปู่บวชเณรตั้งแต่อายุ 9 ขวบ เป็นศิษย์ของพระอาจารย์สีทัตต์ วัดท่าอุเทน จ.นครพนม และปี 2463 ฝากตัวเป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จ.ชัยนาท จากนั้นได้ไปศึกษาทางด้านกษิณ และฌานสมาบัติอยู่กับพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลังจากนั้น หลวงปู่สุภาได้ออกธุดงค์ไปในทุกภาคของประเทศ รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้ท่านมีลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมาก ทั้งคนไทย และชาวต่างชาติ
นายปิยะวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า หลวงปู่สุภา เข้ามาธุดงค์ที่จังหวัดภูเก็ตเมื่อประมาณปี 2500 ซึ่งหลวงปู่สุภา ได้เล่าให้ฟังถึงการธุดงค์มาที่จังหวัดภูเก็ต ว่า ก่อนจะมาภูเก็ตหลวงปู่ได้นิมิตเห็นเทวดาองค์หนึ่งบอกให้ท่านมาช่วยโปรดคนกลุ่มน้อยในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเพื่อช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ ท่านจึงได้ตัดสินใจมาที่ภูเก็ต โดยครั้งแรกท่านมาปักกลดอยู่บนเขารัง อ.เมือง จ.ภูเก็ต ซึ่งครั้งแรกท่านตั้งใจที่จะสร้างวัดที่บริเวณเขารัง แต่ทางเจ้าของที่ดินไม่ขายที่ดินให้ ท่านจึงตกลงใจถอนกลดธุดงค์เพื่อเดินทางต่อไป แต่ในคืนก่อนที่หลวงปู่สุภาจะถอนกลดนั้น หลวงปู่สุภาก็ได้นิมิตว่า มีพระภิกษุชราภาพรูปหนึ่งมาปรากฏร่างที่ข้างกลดธุดงค์ท่านจึงออกไปพบ พระภิกษุชรารูปนั้นก็ได้บอกหลวงปู่สุภาว่า “อย่าได้เสียใจเลย ยังมีสถานที่ที่เขาต้องการให้ท่านไปสร้างวัด ชาวบ้านเขารอกันเป็นเวลานาน แต่ไม่มีใครไปสร้างให้ ขอข้ามทะเลไปยังเกาะสิเหร่ ที่นั่นคือที่ที่ท่านจะสมปรารถนา”
หลังจากนั้น หลวงปู่สุภา ลงเรือที่ทางญาติโยมจัดให้ เพื่อเดินทางไปเกาะสิเหร่ แล้วหลวงปู่สุภาก็ปักกลด แสวงหาวิเวกบนเกาะสิเหร่ และมาพบที่ดินที่ถูกใจแปลงหนึ่ง จึงสอบถามหาเจ้าของที่ ปรากฏว่า เจ้าของที่คือ แป๊ะหลี มีความเลื่อมใสในวัตรปฏิบัติของหลวงปู่สุภา จึงปวารณาตัวอุทิศที่ให้สร้างเป็นวัดขึ้นเป็นวัดแรกของเกาะ เรียกว่า “วัดเกาะสิเหร่” แต่ภาระในการสร้างวัดเกาะสิเหร่ เป็นภาระที่หนักมาก และต้องหาทุนทรัพย์จากภายนอกมาเกื้อหนุน หลวงปู่จึงร่วมกับญาติโยมสร้างวัตถุมงคลครั้งแรกขึ้นเรียกว่า “พระเสด็จกลับ” ซึ่งปัจจุบัน “พระเสด็จกลับ” เป็นวัตถุมงคลที่ลูกศิษย์ถามหากันเป็นอย่างมาก ซึ่งนอกจากจะสร้างวัตถุมงคลแล้ว หลวงปู่ยังสร้างพระพุทธไสยาสน์ ด้วยเพื่อเป็นประจำวัดเกาะสิเหร่ รวมเวลาการสร้างวัดเกาะสิเหร่ และพระพุทธไสยาสน์ เป็นเวลา 6 ปีเต็ม โดยสร้างถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งการนี้ได้โปรดเกล้าพระราชทานแววพระเนตรมาประดิษฐานไว้ที่พระเนตรของพระพุทธไสยาสน์
อย่างไรก็ตาม เมื่อหลวงปู่สุภา สร้างวัดบนเกาะสิเหร่ เสร็จท่านก็แบกกลดขึ้นไปทางเหนือและพื้นที่อื่นๆ อีกครั้ง เพื่อแสวงหาความวิเวก หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ได้เดินทางกลับมาที่ภูเก็ตอีกครั้งโดยครั้งนี้หลวงปู่ได้กลับไปที่เขารังอีกครั้ง โดยครั้งนี้หลวงปู่ปักกลดที่บริเวณด้านหลังของโรงพยาบาลวชิระ ติดกับที่เก็บศพ ซึ่งเล่าลือว่าผีดุ หลังจากปักกลดมีศิษย์ที่เคยรู้จักมาพบเข้าจึงเล่าลือกันปากต่อปาก จนมีลูกศิษย์ลูกหามามนัสการจำนวนมาก และทุกคนเห็นพ้องว่าท่านอายุมากแล้ว จึงนิมนต์ให้หลวงปู่อยู่กับที่ โดยได้ขอซื้อที่ดินจากเจ้าของที่จะขายให้ 1 ไร่เศษ จึงสร้างสำนักสงฆ์ขึ้น และหลวงปู่สุภาเล็งเห็นว่า หากต้องการสร้างความสงบให้แก่เขารัง และแก่จังหวัดภูเก็ต ต้องสร้างพระพุทธรูปปางประทานพรไว้บนยอดเขารัง โดยออกแบบให้มีส่วนฐานขององค์พระขึ้นไปจากหลังคาสำนักสงฆ์
หลังจากนั้น ในปี 2544 หลวงปู่สุภา ได้สร้างวัดใหม่อีกแห่งหนึ่ง ถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ต.ฉลอง อ.เมือง จ.ภูเก็ต บนเนื้อที่ 38 ไร่ โดยได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามจากสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ว่า “วัดสิริสีลสุภาราม” วัดแห่งนี้เป็นวัดลำดับที่ 39 ที่หลวงปู่สุภาได้สร้างขึ้น และถือเป็นวัดสุดท้ายที่หลวงปู่สร้างขึ้นก่อนที่หลวงปู่จะละสังขารซึ่งท่านได้อยู่ที่วัดนี้มาโดยตลอด จนกระทั่งเมื่อเดือน เม.ย.55 ท่านก็ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดคอนสวรรค์ จ.สกลนคร ซึ่งเป็นจังหวัดบ้านเกิดของท่าน ซึ่งนอกจากหลวงปู่สุภา จะสร้างวัดแล้ว ท่านยังได้สร้างตึกสงฆ์ที่โรงพยาบาลวชิระภูเก็ตอีกด้วย และในช่วงวันเกิดของหลวงปู่ทุกๆ ปีจะมีการมอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนอีกด้วย
เครื่องรางของขลังของหลวงปู่สุภา
จริงๆ แล้วสำหรับวัตถุมงคลที่หลวงปู่สุภาสร้างนั้นมีจำนวนมาก ซึ่งเป็นที่ต้องการของลูกศิษย์ลูกหาที่จะมีไว้บูชา แต่ที่เป็นที่นิยมมาก ก็มี “พระเสด็จกลับ” ซึ่งเป็นวัตถุมงคลที่ทำขึ้นเป็นครั้งแรกที่วัดเกาะสิเหร่ นอกจากนั้น ยังมี แมงมุมเรียกทรัพย์ จระเข้เฝ้าทรัพย์ สำหรับวิชาแมงมุมมหาลาภ เป็นตำราที่หลวงปู่สุภาได้เรียนมาจากหลวงปู่สุข โดยนำแร่ธาตุ หรือขดไม้สน มาผูกเป็นแมงมุมพร้อมลงอักขระ สวดคาถากำกับลงไป เมื่อนำเอาไปไว้ในร้านค้าแห่งใด คนจะเข้าร้านไม่ขาดสาย พ่อค้าแม่ค้าที่เปิดร้านขายของไม่ต้องไปเร่ขาย เปรียบเทียบแมงมุมซึ่งไม่ใช่นักล่าที่แสวงหาชีวิตของผู้อื่นกินเป็นอาหาร อาหารของแมงมุมเป็นอาหารที่หมดอายุขัยแล้ว เพราะมันจะชักใยไว้ในที่ที่เหยื่อมองเห็น ไม่ได้ซ่อน หรือดักไว้ในที่ลับตา เหยื่อจะวิ่งเข้ามาติดใยโดยไม่ต้องออกไปวิ่งไล่หาเหยื่อนั่นเอง ส่วนจระเข้อาคม เป็นของขลังที่มีมาแต่สมัยโบราณ จระเข้ที่ว่านี้แกะสลักมาจากไม้ทองหลางกิ่งที่หันไปทางทิศตะวันออกเท่านั้นแล้วลงอักขระ จากนั้นสวดยันต์ปลุกเสกแล้วติดไว้ที่หน้าประตู หลวงปู่สุภา จึงได้ขอวิชาเป็นที่มาของการทำจระเข้มาให้บูชากัน จระเข้อาคมมีสรรพคุณคุ้มครองป้องกันอันตรายจากโจรผู้ร้ายได้ผลดี นอกจากนั้น ยังมีวัตถุมงคลอื่นๆ อีกจำนวนมาก ส่วนคำสอนที่หลวงปู่บอกลูกศิษย์เป็นประจำ คือ “กินน้อย นอนน้อย รักสันโดษ” “ถ้าเสียสัตย์ ก็เสียศีล เสียศีลแล้ว ธรรมก็ไม่บังเกิด” เป็นอมตะวาจาของหลวงปู่สุภา ที่บอก และสอนลูกศิษย์เป็นประจำ