ASTV ผู้จัดการรายวัน – หุ้นรีบาวนด์ 16 จุด ต่างชาติกลับมาซื้อครั้งแรกในรอบเกือบ 2 สัปดาห์ โบรกฯคาดรับสัญญาณบวกหลัง สศค.ให้ข่าวเศรษฐกิจไตรมาส3มีสัญญาณฟื้นตัว พร้อมแนะจับตาการหารือก.ล.ต.-ตลท. และตัวเลขเลขเศรษฐกิจจากแบงก์ชาติ พร้อมย้ำบาทยังอ่อนค่า ล่าสุดตลาดหุ้นไทยจับมือตลาดเวียดนาม ลาว กัมพูชาในการพัฒนาตลาดหุ้นกลุ่มลำน้ำแม่โขง หวังได้เห็นโฮลดิ้งคอมปานีเข้าจดทะเบียนเพิ่ม
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (29ส.ค.) นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่15ส.ค. ที่ดัชนีหลักทรัพย์ สามารถปรับตัวขึ้นมาในแดนบวกได้ โดยปิดที่ระดับ 1,292.53 จุด เพิ่มขึ้น 16.77 จุด หรือ 1.31% มูลค่าการซื้อขาย 37,334.76 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,293.90 จุด และต่ำสุดที่ 1,273.70 จุด
นอกจากนี้ พบว่า นักลงทุนต่างชาติได้ชะลอการขายหุ้นไทย และกลับมาซื้อสุทธิ 378.92 ล้านบาท ตามมาด้วยนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1,267.72 ล้านบาท ส่วนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,629.40 ล้านบาท และสถาบันขายสุทธิ 17.24 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ประเมินการรีบาวนด์ของดัชนหุ้นไทยว่า เป็นการขึ้นตามทิศทางตลาดภูมิภาค หลังจากปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลายวัน นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวก จากกรณีที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุด ของปีนี้ไปแล้ว ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาส 3/56 จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้จากไตรมาสก่อนหน้า และ เติบโตไม่ต่ำกว่า 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องจับตาดูตัวเลขเศรฐกิจในวันนี้ (30ส.ค.) เช่น ตัวเลขการบริโภค การลงทุน การส่งออก และการผลิต ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หากมีการฟื้นตัวดีก็จะส่งผลให้มีการรีบาวนด์ได้ต่อ แต่ยังคาดว่าเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างจำกัด พร้อมให้แนวรับที่ 1,260 จุด และแนวต้าน 1,290-1,300 จุด
ทั้งนี้พบว่า ในการซื้อขายวานนี้ หุ้นในกลุ่มสื่อสาร และพลังงานได้ปรับตัวขึ้นมามาก ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าเกิดจากราคาที่ปรับตัวลงไปมา อีกทั้งในกลุ่มพลังงานยังได้รับราคาผลักดันด้านราคาน้ำมันจากสถานการณ์ในต่างประเทศเข้ามาช่วยเสริม
โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ TRUE มูลค่าการซื้อขาย 2,741.20 ล้านบาท ปิดที่ 6.35 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 1,898.42 ล้านบาท ปิดที่ 76.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,891.70 ล้านบาท ปิดที่ 327.00 บาท เพิ่มขึ้น 9.00 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,809.73 ล้านบาท ปิดที่ 244.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท และ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,772.27 ล้านบาท ปิดที่ 171.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
**จับตาผลหารือก.ล.ต.-ตลาดหุ้นวันนี้
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย (28 ส.ค.) ว่า ตลาดหุ้นไทยดีดกลับขึ้นได้บางส่วนจากการคาดหวังเชิงบวกต่อแนวคิดจัดตั้งกองทุนไทยแลนด์ฟันด์ (Thailand Fund) ซึ่งจะมีการหารือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันศุกร์ที่ 30 ส.ค.นี้แต่กรณีข่าวดังกล่าวยังถือว่าหนุนดัชนีได้ในกรอบจำกัดจากความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย เพราะค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่งผลให้การประมาณการเกณฑ์กำไรสุทธิ ในปี 2556-2557 ในเชิงลบมากขึ้น
**ตลท.ผนึกตลาดลาว-เวียดนาม-เขมร รุกโฮลดิ้ง
ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวภายหลังการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมร่วมผู้บริหารระดับสูงตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS) ซึ่งประกอบด้วย ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา ลาว ฮานอย และโฮจิมินห์ ว่า ตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 5 แห่ง ได้มีข้อตกลงในหลักการร่วมกันเพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างตลาดทุนใน 3 ด้าน คือ การพัฒนาความรู้ตลาดทุนให้แก่นักลงทุน บริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ การกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนให้มีธรรมาภิบาลที่ดี และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกันเพื่อให้นักลงทุนในแต่ละประเทศสามารถมองเห็นข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์อีก 4 แห่งได้
โดย การร่วมมือครั้งนี้จะส่งผลให้ตลาดทุนลุ่มแม่น้ำโขง มีความแข็งแกร่ง และการพัฒนาคุณภาพของตลาดในภูมิภาคนี้ให้มีความก้าวหน้าโดยเร็ว ซึ่งตลาดทุนถือเป็นปัจจัยสำคัญให้ประเทศมีการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งนี้ ตลาดหุ้นกัมพูชาถือว่าเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ และตลาดหุ้นลาวเพิ่งมีการจัดตั้งขึ้นมาเพียง 2 ปี ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามทั้ง 2 แห่ง คือ ฮานอย และโฮจิมินห์ ปัจจุบันก็มีบริษัทจดทะเบียนกว่า 700 บริษัท ซึ่งเติบโตรวดเร็วในช่วง 13 ปีที่ผ่านมาจากปี 2543
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ตลท.คาดหวังว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงจะมีการเพิ่มศักยภาพและพัฒนามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนในแต่ละประเทศจะสามารถทำการซื้อขายหุ้นระหว่างกันได้ในอนาคต ซึ่งขณะนี้จะมีการร่วมมือกันในการแก้กฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้สามารถเอื้อต่อการซื้อขายระหว่างกันได้สะดวกขึ้น และเปิดโอกาสให้บริษัทต่างๆ ได้จดทะเบียนในรูปแบบบริษัทโฮลดิ้ง คอมพานี (Holding Company) เพิ่มมากขึ้น
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (29ส.ค.) นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่วันที่15ส.ค. ที่ดัชนีหลักทรัพย์ สามารถปรับตัวขึ้นมาในแดนบวกได้ โดยปิดที่ระดับ 1,292.53 จุด เพิ่มขึ้น 16.77 จุด หรือ 1.31% มูลค่าการซื้อขาย 37,334.76 ล้านบาท ระหว่างวันปรับตัวสูงสุดที่ระดับ 1,293.90 จุด และต่ำสุดที่ 1,273.70 จุด
นอกจากนี้ พบว่า นักลงทุนต่างชาติได้ชะลอการขายหุ้นไทย และกลับมาซื้อสุทธิ 378.92 ล้านบาท ตามมาด้วยนักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 1,267.72 ล้านบาท ส่วนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,629.40 ล้านบาท และสถาบันขายสุทธิ 17.24 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ประเมินการรีบาวนด์ของดัชนหุ้นไทยว่า เป็นการขึ้นตามทิศทางตลาดภูมิภาค หลังจากปรับตัวลดลงต่อเนื่องหลายวัน นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยบวก จากกรณีที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) ระบุว่า เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุด ของปีนี้ไปแล้ว ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในไตรมาส 3/56 จะกลับมาขยายตัวเป็นบวกได้จากไตรมาสก่อนหน้า และ เติบโตไม่ต่ำกว่า 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนต้องจับตาดูตัวเลขเศรฐกิจในวันนี้ (30ส.ค.) เช่น ตัวเลขการบริโภค การลงทุน การส่งออก และการผลิต ของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) หากมีการฟื้นตัวดีก็จะส่งผลให้มีการรีบาวนด์ได้ต่อ แต่ยังคาดว่าเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างจำกัด พร้อมให้แนวรับที่ 1,260 จุด และแนวต้าน 1,290-1,300 จุด
ทั้งนี้พบว่า ในการซื้อขายวานนี้ หุ้นในกลุ่มสื่อสาร และพลังงานได้ปรับตัวขึ้นมามาก ซึ่งหลายฝ่ายคาดว่าเกิดจากราคาที่ปรับตัวลงไปมา อีกทั้งในกลุ่มพลังงานยังได้รับราคาผลักดันด้านราคาน้ำมันจากสถานการณ์ในต่างประเทศเข้ามาช่วยเสริม
โดยหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์ ได้แก่ TRUE มูลค่าการซื้อขาย 2,741.20 ล้านบาท ปิดที่ 6.35 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท INTUCH มูลค่าการซื้อขาย 1,898.42 ล้านบาท ปิดที่ 76.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท PTT มูลค่าการซื้อขาย 1,891.70 ล้านบาท ปิดที่ 327.00 บาท เพิ่มขึ้น 9.00 บาท ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 1,809.73 ล้านบาท ปิดที่ 244.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท และ PTTEP มูลค่าการซื้อขาย 1,772.27 ล้านบาท ปิดที่ 171.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.50 บาท
**จับตาผลหารือก.ล.ต.-ตลาดหุ้นวันนี้
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทย (28 ส.ค.) ว่า ตลาดหุ้นไทยดีดกลับขึ้นได้บางส่วนจากการคาดหวังเชิงบวกต่อแนวคิดจัดตั้งกองทุนไทยแลนด์ฟันด์ (Thailand Fund) ซึ่งจะมีการหารือระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันศุกร์ที่ 30 ส.ค.นี้แต่กรณีข่าวดังกล่าวยังถือว่าหนุนดัชนีได้ในกรอบจำกัดจากความเปราะบางของเศรษฐกิจไทย เพราะค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่อง ส่งผลให้การประมาณการเกณฑ์กำไรสุทธิ ในปี 2556-2557 ในเชิงลบมากขึ้น
**ตลท.ผนึกตลาดลาว-เวียดนาม-เขมร รุกโฮลดิ้ง
ด้านนายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวภายหลังการเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมร่วมผู้บริหารระดับสูงตลาดหลักทรัพย์ในกลุ่มลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Subregion: GMS) ซึ่งประกอบด้วย ตลาดหลักทรัพย์กัมพูชา ลาว ฮานอย และโฮจิมินห์ ว่า ตลาดหลักทรัพย์ทั้ง 5 แห่ง ได้มีข้อตกลงในหลักการร่วมกันเพื่อพัฒนาความร่วมมือระหว่างตลาดทุนใน 3 ด้าน คือ การพัฒนาความรู้ตลาดทุนให้แก่นักลงทุน บริษัทจดทะเบียน บริษัทหลักทรัพย์ การกำกับดูแลกิจการบริษัทจดทะเบียนให้มีธรรมาภิบาลที่ดี และการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารร่วมกันเพื่อให้นักลงทุนในแต่ละประเทศสามารถมองเห็นข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์อีก 4 แห่งได้
โดย การร่วมมือครั้งนี้จะส่งผลให้ตลาดทุนลุ่มแม่น้ำโขง มีความแข็งแกร่ง และการพัฒนาคุณภาพของตลาดในภูมิภาคนี้ให้มีความก้าวหน้าโดยเร็ว ซึ่งตลาดทุนถือเป็นปัจจัยสำคัญให้ประเทศมีการเจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด ทั้งนี้ ตลาดหุ้นกัมพูชาถือว่าเป็นตลาดหุ้นเกิดใหม่ และตลาดหุ้นลาวเพิ่งมีการจัดตั้งขึ้นมาเพียง 2 ปี ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามทั้ง 2 แห่ง คือ ฮานอย และโฮจิมินห์ ปัจจุบันก็มีบริษัทจดทะเบียนกว่า 700 บริษัท ซึ่งเติบโตรวดเร็วในช่วง 13 ปีที่ผ่านมาจากปี 2543
สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ตลท.คาดหวังว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงจะมีการเพิ่มศักยภาพและพัฒนามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยนักลงทุนในแต่ละประเทศจะสามารถทำการซื้อขายหุ้นระหว่างกันได้ในอนาคต ซึ่งขณะนี้จะมีการร่วมมือกันในการแก้กฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้สามารถเอื้อต่อการซื้อขายระหว่างกันได้สะดวกขึ้น และเปิดโอกาสให้บริษัทต่างๆ ได้จดทะเบียนในรูปแบบบริษัทโฮลดิ้ง คอมพานี (Holding Company) เพิ่มมากขึ้น