xs
xsm
sm
md
lg

ชิงที่นั่งศาลรธน.แทน“วสันต์”? ลุ้น 9 คน “ใครตัวเต็ง-เข้าวิน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง วันที่ 29 สิงหาคมนี้ “คณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ”จะประชุมเลือกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประเภทผู้ทรงคุณวุฒิสาขานิติศาสตร์ ที่จะมาแทน “วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์”อดีตประธานศาลรธน. และตุลาการศาลรธน. ที่ลาอออกไป
การประชุมจะใช้วิธีการลง“มติลับ”เพื่อเลือกตุลาการศาลรธน.คนใหม่ จากรายชื่อผู้สมัครรวมทั้งสิ้น 9 คน หลังมีการเปิดรับสมัครกันไปเมื่อ 6-13 ส.ค.ที่ผ่านมา
ตามรธน.ปี 2550 บัญญัติว่า หากมีตุลาการศาลรธน.คนใดพ้นจากตำแหน่ง ก็ต้องให้กรรมการสรรหาดำเนินการเลือกตุลาการศาลรธน.คนใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน ซึ่งนายวสันต์ ลาออกมีผล 1 ส.ค.ที่ผ่านมา ดังนั้นกรรมการสรรหาก็ต้องลงมติเลือกตุลาการศาลรธน.คนใหม่ ให้แล้วเสร็จก่อนครบกำหนด 30 วัน
ทั้งนี้เมื่อ 5 ส.ค.56 ที่ประชุมคณะกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแทน นายวสันต์ ได้มีการประชุมกัน โดยกรรมการสรรหาโดยตำแหน่งตามรธน. มาตรา 206 ได้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย นายไพโรจน์ วายุภาพ ประธานศาลฎีกา, นายหัสวุฒิ วิฑิตวิริยกุล ประธานศาลปกครองสูงสุด, นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร, นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน และ นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่น ดิน
เป็นไปตามธรรมเนียมคือ ที่ประชุมมีมติเลือก นายไพโรจน์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธานกรรมการสรรหาตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และนัดประชุมกัน 29 ส.ค.นี้ เพื่อลงมติคัดเลือกผู้สมัครเป็นตุลาการศาลรธน. ทั้งหมดให้เหลือ 1 คน เพื่อนำเสนอชื่อผู้ที่เหมาะสมให้วุฒิสภาได้รับรองต่อไป
ส่วนรายชื่อผู้สมัครทั้ง 9 คน ที่รอลุ้นจะได้เป็นตุลาการศาลรธน.คนใหม่ มีดังนี้ นางเปรมใจ กิตติคุณไพโรจน์ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา ,นายไพรัช เกิดศิริ ผู้พิพากษาอาวุโส ศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดภูเก็ต, พล.อ.สถาพร เกียรติภิญโญ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ อดีตหัวหน้าสำนักตุลาการทหารและตุลาการพระธรรมนูญ หัวหน้าศาลทหารสูงสุด , นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา ,นายพรเพชร วิชิตชลชัย ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา , นายถาวร พานิชพันธ์ รองอัยการสูงสุด , นายบรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์(นิด้า) นางศุภลักษณ์ พินิจภูวดล ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ นายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
ถามว่า ใครเป็นตัวเต็ง และมีแนวโน้มมากที่สุด หากดูจากรายชื่อที่ยื่นสมัคร ส่วนใหญ่ก็ต้องบอกกันไว้ก่อนว่า พวกที่มาจากสายตุลาการจะเป็นพวกที่ถูกจับตามองมากที่สุด
หลายคนเลยมองว่าชื่อของนายชัยสิทธิ์ ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา และ พรเพชร ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา -นางเปรมใจ ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฏีกา และ นายไพรัช ผู้พิพากษาอาวุโส ศาลเยาวชนและครอบครัว จังหวัดภูเก็ต ถูกพูดถึงค่อนข้างมากในแวดวงผู้สนใจความเคลื่อนไหวของศาลรธน. ยุคใหม่ หลังวสันต์ลาออก
กระนั้นชื่อผู้สมัครคนอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะของแบบนี้ คาดเดากันได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นพวกนักวิชาการ อาจารย์สอนหนังสือ หรือพวกผู้สมัครที่มาจากสายศาลทหาร และสำนักงานอัยการสูงสุด
แต่ชื่อหนึ่งที่สร้างเสียงฮือฮาไม่น้อยก็คือ บรรเจิด สิงคะเนติ คณบดีคณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และอดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) หนึ่งในแกนนำนักวิชาการกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ตอนนี้นายบรรเจิด มีตำแหน่งเป็น “กรรมการปฏิรูปกฎหมาย”ที่มี ศ.ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน
แน่นอนว่า หลักคิดในเรื่องกฎหมายมหาชน-รัฐธรรมนูญ จัดได้ว่า บรรเจิด ไม่เป็นรองใคร แต่ด้วยความที่มีปูมหลังเคยผ่านมาจากอดีต คตส. เป็นไปได้ว่า อาจทำให้กรรมการสรรหาบางคนมองประเด็นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ สำหรับการจะลงมติเลือกบรรเจิด
อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่า รายชื่อผู้สมัครมีผู้หญิงมาสมัครกันสองคนคือ นางเปรมใจ กิตติคุณไพโรจน์ กับ นางศุภลักษณ์ อาจารย์นิติศาสตร์ จุฬาฯ หากจำกันได้ ก่อนหน้านี้ ศาลรธน. ที่ตั้งมาร่วม 15 ปี เคยมีตุลาการศาลรธน.หญิงคนแรกแล้ว ชื่อ นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์ ตอนนั้นก็มาจากอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ และตอนหลัง 19 ก.ย. 49 ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการคตส. เช่นเดียวกับนายบรรเจิด โดยปัจจุบันเป็นกรรมการปฏิรูปกฎหมาย รอบนี้ จะมีเซอร์ไพรส์ คว้าตำแหน่งตุลาการศาลรธน.ผู้หญิง หรือไม่ ?
ใครจะได้รับเลือก เป็นเรื่องที่เก็งยากจริงๆ อีกทั้งกรรมการสรรหาทั้ง 5 คน ก็ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิทั้งสิ้น การจะไปคาดเดาอะไรเป็นเรื่องยาก ยิ่งจะไปพูดถึงเรื่องการล็อบบี้อะไร หรือไม่ บอกได้คำเดียวยาก
แม้ในโครงสร้างกรรมการสรรหาจะมีฝ่ายการเมืองสองคน คือ อภิสิทธิ์ หน.พรรคประชาธิปัตย์ และสมศักดิ์ ประธานสภาฯ แต่ก็เป็นสองเสียงที่ก็อยู่คนละฟาก การล็อบบี้อะไร จึงไม่มีผลอะไรเลย
**จึงต้องดูว่า กรรมการสรรหา จะคัดกรองรายชื่อผู้สมัครทั้งหมดออกมาจนได้เป็นว่าที่ตุลาการศาลรธน.ที่เป็นทองแท้หรือไม่ ?
พูดถึง”ศาลรธน.”ก็ไม่รู้ว่าสุดท้าย “บุญส่ง กุลบุปผา”ตุลาการศาลรธน. ที่เป็นอดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา จะเคลียร์ตัวเองอย่างไร กับกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีการตรวจสอบกรณีมีคนไปยื่นร้องต่อป.ป.ช.ว่า นายบุญส่ง ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
เนื่องจากแต่งตั้งบุตรของตัวเองเป็นเลขานุการ แล้วอนุญาตให้ไปศึกษาต่อต่างประเทศ โดยไม่ได้มาปฏิบัติงานประจำที่ศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังคงได้รับเงินเดือน และค่าตอบแทนตามปกติเกือบ 1 ปีกว่า
ผลการพิจารณาและแถลงข่าวของ ป.ป.ช. โดย กล้านรงค์ จันทิก เมื่อ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา ทางป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า ตามระเบียบศาลรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการแต่งตั้งเลขานุการประธานศาลรัฐธรรมนูญ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2551 ซึ่งเป็นระเบียบที่นำมาใช้ในการแต่งตั้งบุตรชายนายบุญส่ง ให้ดำรงตำแหน่งเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนี้ ปรากฏว่า มิได้มีบัญญัติไว้ในข้อใดให้สิทธิเลขานุการตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะขออนุญาตลาไปศึกษาในต่างประเทศได้ และไม่มีการให้อำนาจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะให้อนุญาตเลขานุการศาลรัฐธรรมนูญ ลาไปศึกษาในต่างประเทศได้เช่นเดียวกัน
“การที่บุตรชายของนายบุญส่ง ขออนุญาต ลาไปศึกษาในต่างประเทศ โดยไม่มีระเบียบกำหนดให้สิทธิในการลา และการที่นายบุญส่ง ได้อนุญาตให้บุตรชายไปศึกษาในต่างประเทศ โดยไม่มีระเบียบกำหนดให้มีอำนาจอนุญาตได้ จึงเป็นการกระทำโดยปราศจากอำนาจ และหน้าที่ตามกฎหมาย
แต่การกระทำดังกล่าวของนายบุญส่ง ไม่ได้กระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงาน ที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย จึงไม่เป็นความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ แต่การที่นายบุญส่ง มิได้รายงานให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญทราบ เป็นเหตุให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ยังคงเบิกค่าตอบแทนรายเดือน และเงินประจำตำแหน่งตามปกติ จึงเป็นความรับผิดชอบในทางแพ่ง ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ จะเรียกให้ส่งชดใช้คืนต่อไป ”
ล่าสุด เชาวนะ ไตรมาศ เลขาธิการศาลรธน. บอกเรื่องนี้ก็ต้องรอหนังสือจากสำนักงานป.ป.ช. อย่างเป็นทางการก่อน แต่หากเป็นไปตามนี้ ก็คงไม่มีปัญหา การดำเนินการก็ต้องทำไปตามขั้นตอน
กรณีที่เกิดขึ้น แม้จะเป็นการแถลงฝ่ายเดียวจากป.ป.ช. ยังไม่มีคำชี้แจงใดๆ จากตัว บุญส่ง แต่ดูแล้วพบว่า ป.ป.ช. มีการตรวจสอบเรื่องนี้มานานพอสมควรแล้ว ถึงได้แถลงออกมา แสดงว่ามีการตรวจสอบหลักฐานและกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาหมดแล้ว
**คำแถลงคำร้องคดีนี้ จึงทำให้สังคมได้เห็นข้อเท็จจริงบางอย่างที่เกิดขึ้นกับองค์กรอิสระอย่าง ศาลรธน. ที่ตกเป็นที่กล่าวขานกันไปทั่ว
เชื่อว่า เรื่องนี้ หากว่าวันหนึ่งข้างหน้า มีกรณีอะไรเกิดขึ้นกับการวินิจฉัยคดีของศาลรธน.ออกมา แล้วบางฝ่ายไม่พอใจโดยเฉพาะนักการเมือง ยิ่งหากการลงมติของ นายบุญส่ง ไม่ถูกใจบุคคลบางกลุ่ม ก็คาดว่าเรื่องนี้จะต้องมีการถูกหยิบยกมาพูดถึงแน่นอน
**คำถามคือ หากถึงวันนั้น ศาลรธน. และตัว บุญส่ง จะทนแรงเสียดทานได้แค่ไหน ?
กำลังโหลดความคิดเห็น