ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-การเสด็จแปรพระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถจากโรงพยาบาลศิริราชมาประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ถือเป็นข่าวที่พสกนิกรชาวไทยผู้จงรักภักดีปลื้มปีติในหัวใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าพระพลานามัยของพระผู้ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยทั้งแผ่นดินดีขึ้นเป็นลำดับ
ทั้งนี้ เนื่องจากตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ได้ปรากฏข่าวลือเกี่ยวกับพระพลานามัยไปต่างๆ นานา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถที่ในช่วงประมาณ 1 ปีนับตั้งแต่ทรงพระประชวร ก็มิได้ทรงปรากฏพระวรกายให้พสกนิกรชาวไทยให้ชื่นชนพระบารมีเลย
อย่างไรก็ตาม ข่าวลือต่างๆ ก็ปราศนาการไปจากหัวใจของพสกนิกรชาวไทยไปจนสิ้นเมื่อสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้พระราชทานสัมภาษณ์นายวุฒิธร มิลินทจินดาในรายการ “วู้ดดี้เกิดมาคุย” ซึ่งออกอากาศทางโมเดิร์นไนน์ทีวีเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2556
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีตรัสถึงพระอาการของพระอาการประชวรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถฯ ว่า อาการของทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ อยู่ในเกณฑ์ที่ดี ปลอดภัย เป็นที่พอใจของแพทย์ พระเจ้าอยู่หัวฯ ตอนนี้ทรงแจ่มใสมาก มีอยู่พักนึงสัก 4-5 เดือนมาแล้ว ทรงเป็นไข้อยู่บ่อย ๆ และปอดอักเสบเป็นพัก ๆ แพทย์ได้ทำการรักษาอย่างใกล้ชิด ดูแลเอาใจใส่มาก กระทั่งหายสนิท จนตอนนี้ทรงแข็งแรงแล้ว ทั้งนี้การเสด็จฯ ไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล ได้เตรียมอุปกรณ์การแพทย์ไว้พร้อมทั้งที่วังไกลกังวลและโรงพยาบาลที่หัวหิน เครื่องมือทุกอย่างพร้อม และแพทย์ที่ไปเป็นแพทย์ทีมใหญ่
สำหรับวังไกลกังวลเป็นสถานที่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทั้ง 2 พระองค์ทรงโปรดและทรงพระสำราญ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงอยากเสด็จ จึงได้ทรงเสด็จไปที่ห้องของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงไปชวนเองก่อนล่วงหน้าถึงอาทิตย์หนึ่ง ท่านรับสั่งว่า แม่อยากไปหัวหินไหม ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯ ตรัสว่า อยาก สำหรับระยะเวลาที่แปรพระราชฐานนั้นก็สุดแล้วแต่จะโปรดว่าจะประทับนานแค่ไหน
เมื่อถามว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตรัสได้นานขึ้นหรือเป็นประโยคยาว ๆ ได้มากน้อยแค่ไหนนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีตรัสว่า ทรงรับสั่งได้ยาว ๆ เป็นชั่วโมงก็ยังได้เลย โดยล่าสุดที่เข้าเฝ้าพระองค์ก็ตรัสหลายเรื่อง บางทีท่านก็บ่นเรื่องยา ส่วนการเสวยพระกระยาหาร ทั้งสองพระองค์ก็เสวยได้ดี มีคนทำเครื่องมาถวายมากมาย บางทีก็มาจากโรงแรม ห้องเครื่องส่วนพระองค์ โดยสมเด็จพระนางเจ้าฯ โปรดอาหารไทย ส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดอาหารฝรั่ง
ส่วนพระอาการของสมเด็จพระนางเจ้าฯ ที่มีข่าวลือว่าไม่สามารถพระดำเนินได้แล้ว จึงไม่ได้ออกสื่อให้เห็น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีตรัสว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงเป็นสโตรก ตอนเกิดเหตุเส้นเลือดในสมองแตกแต่เป็นเส้นเลือดเล็ก เมื่อปีนึงมาแล้วขณะกำลังทรงพระดำเนินออกพระกำลังอยู่ที่ศิริราช อยู่ ๆ ก็ล้มลงไป ดีที่ไม่ฟาดเพราะนางสนองพระโอษฐ์กับคุณข้าหลวงจับพระหัตถ์อยู่ ประคองท่านไว้ ถึงได้ไม่ฟาด หลังจากวันนั้นตอนแรกก็เสวยลำบาก กลืนลำบาก แต่พอหลังเป็นสัก 7-8 วัน ก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เสวยเครื่องได้ดีขึ้น ต่อมาทรงค่อย ๆ ฝึกพระดำเนิน เดี๋ยวนี้ก็ทรงพระดำเนินได้คล่องแล้ว ทรงพระดำเนินได้ดี และไม่ได้เป็นแอมนีเซีย ที่ไม่ได้ออกงาน ไม่ได้ออกสื่อ สมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่ได้ตรัส แต่พระองค์ขอพูดแทนเองว่าเราเป็นผู้หญิงย่อมไม่อยากให้คนเห็นเวลาตอนที่เรายังดูไม่ดี ยังดูไม่สวย คิดว่าท่านอยากให้ทรงงามเหมือนเดิมอย่างที่เห็นทางทีวีตอนเสด็จหัวหิน ท่านจึงอยากให้คนเห็น ตอนนี้ที่วังไกลกังวลท่านยังทรงอยู่บนพระตำหนักเป็นส่วนใหญ่ วันไหนยังไม่ได้แต่งพระองค์ก็ไม่อยากให้คนเห็น
จากนั้นพิธีกรได้ถามถึงข่าวลือที่ว่าการเสด็จแปรพระราชฐาน ณ วังไกลกังวล ในครั้งนี้ เป็นการเสด็จอย่างกะทันหัน โดยมีใครบางคนมาทูลเชิญ ทั้ง ๆ ที่มิได้มีหมายกำหนดการมาก่อน เนื่องจากอาจมีเหตุการณ์วุ่นวายทางการเมือง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี มีพระดำรัสตอบว่า อันนี้ไม่จริง เพราะวังไกลกังวลอยู่ในพระทัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มานานแล้ว ท่านรอสุขภาพดีพอที่จะไป แล้วเมื่อท่านแน่ใจว่าท่านไปได้แล้ว ท่านก็ไปทูลสมเด็จพระราชินีก่อนตั้ง 7 วัน ไม่ได้เป็นการไปที่กะทันหันเลย เป็นการวางแผนที่จะไป การขนส่งเครื่องมือแพทย์ก็ไม่ใช่ 1-2 วันจะเสร็จ
และเมื่อถามว่ามองการเปลี่ยนแปลงของประเทศชาติบ้านเมืองอย่างไรบ้าง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีมีพระดำรัส ว่า มองแล้วบางอย่างก็สลดใจ แต่อะไรก็ตามที่แก้ได้ ช่วยได้ ก็ช่วย ก็แก้อยู่แล้ว ทั้งพ่อทั้งแม่สอนมาว่าเกิดเป็นเจ้าต้องรับใช้ประชาชน พระองค์ก็อยู่เพื่องานนั้น อะไรที่จะช่วยให้คนไทยทุกข์น้อยลง ก็จะทำ แต่ว่าบางครั้งเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงนั้นมันก็มากจนกระทั่งไม่สามารถไปต้านกระแสเหล่านั้นอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงจิตใจของคน ซึ่งอันนี้เป็นที่น่าเศร้าที่ว่าคนปัจจุบันคิดถึงแต่ตัวเองมากกว่า อยากบอกผ่านทางวู้ดดี้นี้เลยว่า ถ้าจะขอได้ ถ้าใครรักพระองค์ สงสารพระองค์ คือขอให้ทำอะไร ให้คิดถึงประเทศชาติบ้านเมืองก่อน เพราะจริง ๆ แล้วถ้าไม่มีประเทศชาติที่ร่มเย็น พวกเราก็ไม่สามารถอยู่เป็นสุขได้หรอก เพราะฉะนั้นทำอะไรให้นึกถึงประเทศชาติบ้านเมือง ให้นึกถึงคำว่าหน้าตาคนไทย อย่าทำให้เสียชื่อคนไทย
ทั้งนี้ พระดำรัสที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีพระราชทานสัมภาษณ์ โดยเฉพาะเกี่ยวกับพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถนั้น นับเป็นข่าวที่สร้างความปลื้มปีติให้กับปวงชนชาวไทยที่จงรักภักดีอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็สามารถสยบข่าวลืออันเป็นอัปมลคลได้อย่างชะงัดเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามหากถอดรหัสพระดำรัสของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมืองก็จะเห็นได้ว่า เปี่ยมล้มไปด้วยความหมายและนัยสำคัญไม่น้อย เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระองค์มีพระราชปรารภในทำนองนี้
หากยังจำกันได้ ก่อนหน้านี้ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารีได้เคยพระราชทานสัมภาษณ์พิเศษให้กับรายการเดียวกันนี้เมื่อวันที่ 3 เมษายน 2554 ความว่า “อยากให้ทูลกระหม่อมพ่อได้รับความเป็นยุติธรรมที่ท่านควรจะได้รับ รวมทั้งสมเด็จแม่ด้วย ท่านทรงตรากตรำเหลือเกินจริงๆ อยากแต่ยังไม่กล้าขอ อยากขอเวลาทีวีวันละ 10 นาทีหลังข่าว อยากจะฉายหนังสั้นพระราชกรณียกิจว่า พระองค์นี้ สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชินีทรงทำอะไรบ้าง สงสารท่านเถอะ”
หรือเมื่อครั้งที่ทรงเปิดเผยถึงความทุกข์พระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง
“...เหตุการณ์ปีที่แล้วที่มีการเผาบ้านเผาเมืองกัน อันนั้นนำความทุกข์มาสู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสมเด็จฯ เหลือเกิน พระเจ้าอยู่หัวจากที่ทรงหัดเดินได้ ตอนนั้นทรงทรุดเลย เป็นไข้ต้องให้น้ำเกลือนอนแบ็บเลย สมเด็จฯ ก็เสียพระทัยมากเลย ท่านรับสั่งว่า คราวที่เราถูกเผาเมืองนั้น คือสมัยเสียกรุงต่อพม่า กรุงศรีอยุธยา แต่คราวนี้สะเทือนใจยิ่งกว่า เพราะเป็นการที่คนไทยเผาเมืองไทยเอง”
และนับตั้งแต่วันนั้นถึงวันนี้ สถานการณ์บ้านเมืองก็ดูเหมือนจะไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิมแต่ประการใด ไม่เช่นนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ฯ คงไม่มีพระราชดำรัสว่า “ถ้าจะขอได้ ถ้าใครรักพระองค์ สงสารพระองค์ คือขอให้ทำอะไร ให้คิดถึงประเทศชาติบ้านเมืองก่อน เพราะจริง ๆ แล้วถ้าไม่มีประเทศชาติที่ร่มเย็น พวกเราก็ไม่สามารถอยู่เป็นสุขได้หรอก”