ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-วันนี้ “น้องเดียร์” นางสาวขัตติยา สวัสดิผล ลูกสาวของ “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ได้กลายเป็นที่เมาท์มอยในโลกออนไลน์ และตามวงสนทนาต่างๆ ทั่วฟ้าเมืองไทยกันอย่างสนุกปาก หลังจากที่เธอได้หาญกล้าอภิปรายในสภาถึงเรื่องความสวยและความใสของตนเองโดยเปรียบเทียบกับ “นาถยา เบ็ญจศิริวรรณ” ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ หรือที่แฟนหนังแฟนละครรู้จักกันในชื่อ “นาถยา แดงบุหงา” รวมถึงวลีเด็ดอย่างคำว่า ชะนีโหยหวน
“เรื่องความสวย คงช่วยกันไม่ได้ พอดียังเด็กกว่า ใสกว่า ก็สู้กันนิดนึง หรือฝ่ายค้านว่าดิฉันไม่สวยคะ ฮึฮึ ... ส่วนจะให้ถอนคำว่า ชะนีโหยหวนไม่ได้ว่าใครเฉพาะเจาะจง แค่บอกว่ามีเสียงคล้ายชะนีโหยหวน ทางบ้านส่งมาคิดว่าที่นี่ไม่ใช่รัฐสภา นึกว่าสวนสัตว์ดุสิต ขออนุญาตไม่ถอน”
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า น้องเดียร์จะหาญกล้าเอาความสวยของตัวเองไปเปรียบเทียบกับนาถยา เพราะแม้เธอจะอายุน้อยกว่า แต่ไม่ว่าจะดูมุมไหน ความสวยก็ทิ้งกันไม่เห็นฝุ่นอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ปมปัญหาของเรื่องดังกล่าวมีผลสืบเนื่องมาจากพิจารณา “ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่...พ.ศ.” ในประเด็นเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา โดยหลังสภาเกิดความโกลาหลจากความไม่พอใจของพรรคประชาธิปัตย์จนประธานขี้ข้าสั่งตำรวจสภาและตำรวจจลาจลเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง ได้ปรากฏเสียงกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งของผู้หญิงขึ้นมาอย่างไม่คาดฝัน ซึ่งภายหลังทราบว่าคือ 2 ส.ส.หญิงพรรคประชาธิปัตย์ที่มีชื่อว่านางสาวนริศา อดิเทพวรพันธุ์และนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุลที่อ้างว่า ตกใจที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐสภาชายพยายามจะเข้ามาจับตัว โดยหลังจากควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ซึ่งเป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยได้ลุกขึ้นมาอภิปรายโดยกล่าวว่า.... “ตำรวจมาดูแลความปลอดภัยที่รัฐสภาถือว่าถูกต้องแล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดิฉันไม่มั่นใจในความปลอดภัย เพราะมีเสียงโหยหวนคล้ายชะนี ไม่รู้ว่าอยู่ในสภาหรือว่าอยู่ในสวนสัตว์ดุสิต” จนมีเสียงฮือฮาในห้องประชุม
จากนั้นนายนิคม ไวยรัชพานิช ประธานวุฒิสภา ซึ่งขึ้นมาทำหน้าที่ประธานได้พูดทีเล่นทีจริงว่า ขอให้ ส.ส.คนสวยนั่งลง แต่นางนาถยา เบ็ญจศิริวรรณ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ประท้วงว่า ความสวยไม่ใช่ว่าจะได้ทุกเรื่อง สวนต้องมีสมองด้วย
น.ส.ขัตติยาจึงลุกขึ้นแล้วมองไปทางนางนาถยาแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “เรื่องความสวย คงช่วยกันไม่ได้ พอดียังเด็กกว่า ใสกว่า ก็สู้กันนิดนึง หรือฝ่ายค้านว่าดิฉันไม่สวยคะ ฮึฮึ ... ส่วนจะให้ถอนคำว่า ชะนีโหยหวนไม่ได้ว่าใครเฉพาะเจาะจง แค่บอกว่ามีเสียงคล้ายชะนีโหยหวน ทางบ้านส่งมาคิดว่าที่นี่ไม่ใช่รัฐสภา นึกว่าสวนสัตว์ดุสิต ขออนุญาตไม่ถอน”
นางนาถยาก็โต้กลับว่า “ความสวยของดิฉันถอยลงมาเยอะ แต่ที่นี่ไม่ใช่สภาโจ๊ก ไม่ใช่ละครเวที เราใช้สติปัญญาในการทำงาน ไม่ได้ใช้ความสวยทำงาน”
ด้วยเหตุดังกล่าว คำถามที่เกิดขึ้นตามาจึงมีอยู่ว่า อะไรเป็นเหตุให้น้องเดียร์มั่นใจในความสวยของตัวเอง จริงอยู่แม้สภาพหน้าตาของน้องเดียร์หลังจากเป็น ส.ส.จะดูดีกว่าก่อหน้านี้มาก แต่เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์แล้ว ต้องบอกว่า ความสวยห่างไกลจากอดีตนางเอกอย่างนาถยา แดงบุหงาอีกหลายขุม
ดังนั้น นี่อาจจะเป็นปมอะไรบางอย่างที่ฝังอยู่ในจิตใจของน้องเดียร์ก็เป็นได้
อย่างไรก็ดี เมื่อย้อนกลับไปดูภาพเก่าๆ ของน้องเดียร์ที่ชาวเน็ตขุดกันขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์ ก็น่าจะทำให้เข้าใจอะไรบางอย่างได้ เพราะแตกต่างจากในปัจจุบันค่อนข้างเยอะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จาก “ลีน่า จังจรรจา” ที่เต็มไปด้วยความดุเดือดเลือดพล่าน
“วันนี้ปรากฏว่าน้องเดียร์ ลูกสาวเสธ.แดง นะคะ ขัตติยา สวัสดิผลค่ะ อยู่ในสภา ได้ขึ้นมาอภิปรายบอกว่าเธอสวยกว่า สาวกว่า อุ้ยตายแล้ว น้องเดียร์-ขัตติยา ที่บ้านไม่มีกระจกหรอคะ”
นอกจากนี้ยังมีสารพัดคำล้อเลียนออกมามากมายในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก เช่น “มีวันนี้เพราะพ่อให้” ซึ่งก็เป็นความจริงที่ไม่ผิดเพี้ยนเท่าใดนัก เพราะต้องไม่ลืมว่า ผู้ที่ทำให้น้องเดียร์มีวันนี้ ก็คือเสธ.แดง เพราะต้องไม่ลืมว่า ผู้ที่ทำให้เสธ.แดงได้เป็น ส.ส.พรรคเพื่อไทยก็คือเสธ.แดง
ดังนั้น น้องเดียร์มีวันนี้ก็เพราะเสธ.แดง ถ้าไม่มีเสธ.แดงนักโทษชายหนีคดีคงไม่นำรายชื่อของน้องเดียร์มาไว้ในอันดับต้นๆ ของผู้สมัคร ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย
ขณะเดียวกันก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่า การเสียชีวิตของเสธ.แดง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลก็ทำให้น้องเดียร์ได้รับเงินเยียวยาจากรัฐบาลไปเป็นเงินก้อนอักโขกว่า 7 ล้านบาท ขณะที่อีกไม่น้อยถึงกับวิพากษ์ด้วยวลีเด็ดว่า “ทำหน้าฟรีจากภาษีประชาชน”
อย่างไรก็ตาม หลังจากกระแสวิจารณ์ดังขรม น้องเดียร์ได้ตัดสินใจออกมาตอบโต้อีกครั้งด้วยการยืนยันว่า ใบหน้าของเธอไม่ได้ผ่านการศัลยกรรมอย่างที่กล่าวหากัน
“ไม่ได้ทำศัลยกรรมใบหน้าตามที่มีกระแสข่าวในโซเชียลเน็ตเวิร์ก แต่รูปที่นำมาเผยแพร่นั้นเป็นรูปเก่า ถ่ายไว้นานหลายปีตั้งแต่สมัย พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล บิดายังไม่เสียชีวิต โดยเมื่อก่อนทำงานบริษัทตามปกติจึงปล่อยเนื้อปล่อยตัว ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้า แต่หลังจากปฏิบัติหน้าที่ สส.พรรคเพื่อไทยต้องดูแลตัวเองมากขึ้น ทำทรีทเมนต์ใบหน้า และแต่งหน้าด้วยเครื่องสำอาง เนื่องจากเป็น สส.ต้องทำงานในสถานที่ราชการ และพบปะผู้คนจำนวนมาก จึงทำให้รูปภาพในปัจจุบันแตกต่างจากภาพในอดีต”
“ ส่วนกระแสข่าวในโซเชียลเน็ตเวิร์กระบุว่าตนนำเงินภาษีประชาชน 7 ล้านบาทไปทำศัลยกรรมนั้น จึงขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะนอกจากจะไม่ได้ทำศัลยกรรมแล้ว เงินเยียวยา 7.5 ล้านบาทตามนโยบายเยียวยาของรัฐบาลนั้น ขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับเงินแต่อย่างใด โดยได้ยื่นเรื่องต่อกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์แล้ว แต่อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินการ จึงอยากเรียนว่าสามารถรับฟังความเห็นที่วิจารณ์ในโลกออนไลน์ได้ เพราะถือเป็นเรื่องปกติ และเคยโดนกระแสข่าวโจมตีมากกว่านี้ เพียงแต่ไม่ต้องการให้มีการวิพากษ์วิจารณ์โดยไม่ทราบข้อเท็จจริง”น้องเดียร์แจกแจงข้อกล่าวหาทั้งหมด
กระนั้นก็ดี สิ่งที่สังคมตั้งคำถามย้อนกลับไปหาน้องเดียร์ก็คือ วันนี้คดีฆาตกรรมเสธ.แดงคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว เพราะหากตรวจสอบข้อมูลคดีความต่างๆ ของคนเสื้อแดงเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แทบไม่เคยมีข่าวให้เห็นเลยว่า ดำเนินไปถึงขั้นตอนไหน
สำหรับชีวิตส่วนตัวนั้น ปัจจุบัน น้องเดียร์แต่งงานไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2555 โดยสามีของเธอมีชื่อว่า นายวิรุฬห์ กีรติพานิช หรือ โอ๋ บุตรชายของน.ส.สุภาวดี พริ้งพวงแก้ว และนายสมศักดิ์ กีรติพานิช ซึ่งทั้งสองคนคบหาดูใจกันมาร่วม 3 ปีก่อนที่จะตัดสินใจร่วมหอลงโรงกัน
“เพื่อนสนิทมักจะพูดชื่อพี่โอ๋ให้ฟังเพราะทำงานโรงแรมที่เดียวกันเล่าว่า มีลุงหน้าตาไม่ดีนะ(หัวเราะ) แต่นิสัยน่ารัก ใจดีมาก ตอนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะเรามีแฟนอยู่แล้ว พอกลับเมืองไทย เพื่อนสนิทที่เคยเล่าเรื่องพี่โอ๋ให้ฟังชวนไปเจอแล้วก็แนะนำว่า นี่ไงลุงที่เคยเล่าให้ฟัง เดียร์ก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะว่าอีลุงหน้าตาไม่ดึงดูด”สาวเดียร์เล่าให้ฟังเรื่องราวแรกพบสามี
...ถึงตรงนี้ ไม่ว่าใครจะวิพากษ์วิจารณ์เรื่องความสวยของน้องเดียร์อย่างไร ก็ไม่สำคัญเพราะวันนี้เธอเป็นฝั่งเป็นฝาและขายออกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ที่สำคัญคือ ถ้าจะว่าไปแล้วเธอก็สวยตามแบบฉบับของเธอ จนบางคนมองว่า เธอเป็นสาวงามที่ใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับหญิงสาวชนกลุ่มน้อยของประเทศเพื่อนบ้านโดยมีถิ่นฐานภูมิลำเนาอยู่ในรัฐฉาน โดยหลายคนถึงกับตั้งสมญาให้กับเธอว่า “เดียร์รัฐฉาน”