ปัญหาหนักอกหนักใจที่ใครๆ ต่างระอา แต่เชื่อว่าต้องพยักหน้าเห็นด้วยกับปัญหาสภาไทยวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับสภาโจ๊ก วิ่งไล่เตะต่อยกันไม่อายคนดู นั่งดูรูปหวิวปลุกความสดชื่น มาดูฟากส.ส.หญิงก็แสบสันคึกคักไม่แพ้กัน หลังส.ส.เดียร์-ขัตติยา จากพรรคเพื่อไทย มั่นใจเกินร้อยว่าสวยกว่า ใสกว่าใครในสภา แถมจิกหัวเพื่อนส.ส.ร่วมสภาว่าชะนีโหยหวน เดือดกันจนลืมหน้าที่ของตัวเองว่ามานั่งในสภาเพื่ออะไร? รู้บ้างไหม? ประชาชนสุดเอือม อยู่ไปก็เปลืองเงินภาษีประชาชนเสียเปล่าๆ
ปากกล้า ส.ส.เดียร์ แขวะกลางสภา
จะไม่ให้เบื่อการเมืองน้ำเน่าได้อย่างไร ในเมื่อแต่ละคราวการประชุมสภาไม่ต่างจากศึกลับฝีปากของนักการเมือง ขนาดหลายคนยังต้องอาย ไม่รู้ว่าสภาต่างจากตลาดสดตรงไหน ด่าทอยั่วเย้ากันไปมาจนถึงขั้นลงไม้ลงมือซัดกันนัว ชกต่อยเหมือนคนวัยเพิ่งแตกหนุ่ม แล้วส.ส.หญิง เดี๋ยวนี้นับวันยิ่งแรงกร้านโลก ล่าสุด เดียร์-ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.พรรคเพื่อไทย เกิดปากกล้า ฉะส.ส.ร่วมสภาว่าร้องโห่เป็นชะนีโหยหวนโดนน้ำร้อนลวก แขวะว่ารู้สึกสภาเป็นสวนสัตว์ดุสิต หลังมีการนำตำรวจมาควบคุมสถานการณ์แล้วโดนโห่ไล่ เสียงโวยวายคงสะกิดขี้หูเธอไม่น้อย เลยขออ้าปากบอกประธานสภาให้มีตำรวจดูแลรักษาความปลอดภัยให้กับสุภาพสตรีตัวน้อยๆ อย่างเธอ
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นประท้วง ส.ส.ฝ่ายค้าน โดยระบุให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรผู้ทรงเกียรติในห้องประชุมให้เกียรติตนในฐานะสุภาพสตรีด้วย พร้อมกับพูดพาดพิงไปถึงความวุ่นวายในรัฐสภาก่อนหน้านี้ ที่ ส.ส.ประชาธิปัตย์มีการขัดขืนการเข้าควบคุมตัวของตำรวจ พร้อมกับระบุว่าข้องใจที่มีเสียงกรีดร้อง จนไม่คิดว่าเป็นรัฐสภา แต่คิดว่าอยู่ในสวนสัตว์ดุสิต ที่มีเสียงชะนีร้องโหยหวน
ขณะที่นางนาถยา เบ็ญจศิริวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ ได้ลุกขึ้นประท้วงประธานรัฐสภา ว่าประธานไม่เป็นกลาง เนื่องจากในสภาทุกคนเท่าเทียมกันหมดไม่ว่าหญิงหรือชาย พร้อมกับจี้ถามว่าใครเป็นผู้สั่งการให้ตำรวจมานำตัว ส.ส.ฝ่ายค้านออกไป ทั้งที่พวกตนทำหน้าที่ในสภา นอกจากนี้ยังขอให้ น.ส.ขัตติยา ถอนคำพูดว่า “ชะนีโหยหวน” ออกไป ระหว่างนั้นประธานสภาได้พูดติดตลกว่า ให้นางนาถยาใช้คำพูดสุภาพแบบความสวย อย่าไปว่าเขา นางนาถยาจึงตอบกลับว่า ในสภานี้ไม่ได้ใช้ความสวยแต่ใช้สติและปัญญา ความสวยสู้ไม่ได้ สวยไม่ใช่จะอภัยให้ได้ทุกเรื่อง
ด้าน น.ส.ขัตติยาจึงลุกขึ้นชี้แจงด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสว่า “เรื่องความสวย คงช่วยกันไม่ได้ พอดียังเด็กกว่า ใสกว่า ก็สู้กันนิดนึง หรือฝ่ายค้านว่าดิฉันไม่สวยคะ .. ส่วนจะให้ถอนคำว่า ชะนีโหยหวนไม่ได้ว่าใครเฉพาะเจาะจง แค่บอกว่ามีเสียงคล้ายชะนีโหยหวน ทางบ้านส่งมาคิดว่าที่นี่ไม่ใช่รัฐสภา นึกว่าสวนสัตว์ดุสิต ขออนุญาตไม่ถอน” ซึ่งหลังจากพูดจบ ได้มีเสียงโห่มาจากฝ่ายค้าน ฟากนายนิคมได้บอกให้ น.ส.ขัตติยาและทุกคนห้ามพูดคำว่า “ชะนีโหยหวน” ให้ถอนคำพูด น.ส.ขัตติยา จึงยอมถอน
นางนาถยาได้ลุกขึ้นกล่าวว่า เดี๋ยวนี้ถอยลงไปเยอะ ไม่อยากใช้คำว่าถ่อย ที่นี่ไม่ใช่สภาโจ๊ก ที่นี่ของจริง ไม่ใช่ละครเวที ทุกคนคิดว่าตัวเองเป็นนางเอกหมดไม่ได้ เราใช้สติปัญญาทำงาน ไม่ได้ใช้ความสวยทำงาน
จากนั้น น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ใช้สิทธิประท้วงประธานรัฐสภา โดยระบุว่าทนมามากแล้ว แต่รับไม่ได้ที่ประธานไม่เป็นกลาง ท่านบอกว่าใครสวยกว่าเลือกคนนั้น ในสภาไม่ได้มองความสวยเป็นหลัก มองสมอง สวยแต่ไม่มีสมองมันช่วยอะไรไม่ได้ ตนเองติดใจตั้งแต่ประธานสมศักดิ์ ซึ่งตอนนี้ใช้ค้อนเคาะกี่ทีก็ไม่มีใครทำตาม ค้อนท่านไม่มีความหมายแล้วเพราะท่านไม่มีความเป็นกลาง แล้วการไปสั่งให้ตำรวจมากวาดต้อนพวกตน ทำอย่างกับเป็นวัวฝูงควาย พร้อมกับจี้ประธานสภาต้องหาคนผิดที่สั่งตำรวจมาอยู่ในสภานี้
ชาวเน็ตรุมสับ หนังหน้าศัลยกรรม
กระแสโชว์ลับฝีปากของสาวๆ ในสภาร้อนถึงขนาดสาวฝีปากกล้า ลีน่า จังจรรจา ต้องออกมาส่งสารผ่านคลิปชื่อว่า “ลีน่าจัง ด่ากราด!! เดียร์ ลูกสาวเสธ.แดง บ้านมึงไม่มีกระจก” เป็นที่ถูกอกถูกใจบรรดาชาวโซเชียล มีคำคอมเม้นต์สนับสนุนมากมาย ถึงแม้คำพูดของลีน่า จังในคลิปวิดีโอความยาว 4.42 นาทีนั้นอาจจะดูแรงและหยาบคายไปบ้าง แต่ผู้ชมกลับยกนิ้วให้กับความแซบอย่างไม่เกรงกลัวใครหน้าไหนทั้งนั้นของเธอ
“วันนี้ปรากฏว่าน้องเดียร์ ลูกสาวเสธ.แดง นะคะ ขัตติยา สวัสดิผลค่ะ อยู่ในสภา ได้ขึ้นมาอภิปรายบอกว่าเธอสวยกว่า สาวกว่า อุ้ยตายแล้ว น้องเดียร์-ขัตติยา ที่บ้านไม่มีกระจกหรอคะ แล้วน้องเดียร์เนี่ยอุตส่าห์เอาเงินภาษีของประชาชนเนี่ยนะ พ่อเสธ.แดงตายเนี่ย เงินภาษีประชาชนตั้ง 7 ล้านกว่านะเนี่ย น้องเดียร์เอาไปทำศัลยกรรมตั้งล้านนึงยังได้แค่เนี้ยนะเนี่ย ถ้าหากว่าน้องเดียร์สวยนะ ป่านนี้ประเทศไทยคงหาผู้หญิงสวยไม่ได้แล้วล่ะคะ น้องเดียร์ ที่บ้านไม่มีกระจกส่องหรอคะ น้องเดียร์ขา อ่ะไปดูคลิปน้องเดียร์กันดีกว่าค่ะ เธอลอยหน้าลอยตาบอกว่า สวยกว่า สาวกว่า สดกว่าค่ะ จะอ้วกแตก!!
ไสหัวไปเลย เงินภาษีประชาชนนะ เดือนนึงแสนกว่าบาท ที่ปรึกษา ผู้ติดตาม รวมแล้วสามแสน เอาสภามาแร่ด แรดๆๆๆ อะไรกันเนี่ย เสียดายเงินภาษีประชาชน เค้าให้มึงมาพูดเรื่องกฎหมาย แก้ปัญหาให้ประชาชนที่เดือดร้อน ไม่ได้ให้มึงมาบอกว่า ชะนีโหยหวน
คุณผู้ชมโทร.เข้ามาได้เลยนะคะ เสียดายเงินภาษีของประชาชน สภา!! สภาเค้าให้มาแก้กฎหมาย ให้มาอภิปรายกฎหมาย ผ่านกฎหมาย ดูแลพี่น้องประชาชน ไม่ใช่ให้มึงมาตะแล้ดแต๊ดแต๋!!
ไสหัวออกไปเลย ไร้สาระ คุณผู้ชมอย่าไปเลือกพวกมัน อีพวกนี้มันไร้สาระ เอาสภามาทำเรื่องไร้สาระ เงินภาษีของประชาชนนะคะ คุณผู้ชม นังนาถยา เบ็ญจศิริวรรณ ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ประท้วงประธานว่าไม่เป็นกลาง ทุกคนในสภานี้เท่าเทียมกัน จึงถามว่าใครสั่งการให้ตำรวจมาปฏิบัติการในสภา แล้วผู้ประท้วงกล่าวว่าชะนีโหยหวน ช่วยถอนคำพูดในสภาผู้แทนฯ แห่งนี้ ไม่ได้ใช้ความสวย แต่ใช้สติและปัญญา ความสวยไม่ใช่ว่าจะอภัยให้กันได้ทุกเรื่อง ขณะที่น.ส.ขัตติยากล่าวว่า ตนยังเด็กกว่า ใสกว่า คงต้องสู้กัน ถ้ามึงสวย บ้านมึงไม่มีกระจก ถ้ามึงสวย ประเทศไทยคงไม่มีผู้หญิงสวยนะ ขนาดนี่มึงเอาเงินภาษีประชาชนที่พ่อมึงตาย ได้มาเจ็ดล้านห้า ไปทำศัลยกรรม มึงยังได้แค่นี้ ถ้ามึงสวยผู้หญิงไทยคงไม่ใครสวยละในประเทศ นี้ บ้านมึงคงไม่มีกระจกหรอ ขนาดมึงทำศัลยกรรมขนาดนี้นะ มึงยังได้แค่นี้เองนะ ขนาดกูไม่ได้ทำยังสวยกว่ามึงเลย กู 54 แล้วนะเนี่ย”
ด้านพลังโซเชียล ต่างก็สับเละ ร้อนแรงไม่แพ้กัน ทั้งขุดเอารูปเก่าของทั้งสองมาแฉและแชร์เปรียบเทียบกันระห่ำ โดยส่วนมากพุ่งโจมตีไปที่ทางเดียร์-ขัตติยา ด้วยเหตุผลที่ว่าหน้าตาที่เปลี่ยนแปลงไปของเธอนั้นอาจมาจากการศัลยกรรม โดยนำภาพมาเปรียบเทียบกันก่อน-หลัง และแสดงความคิดเห็นกันอย่างสนุกปาก โดยเฉพาะประเด็นอย่าริเทียบชั้นกับนาถยา เบ็ญจศิริวรรณ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่มีดีกรีเป็นนางเอกคนดังคนหนึ่งของเมืองไทย
“ได้ยิน ได้ฟัง และได้เห็น เหมือนว่าหล่อนปัญญาอ่อนและขาดวุฒิภาวะอย่างแรง”
“เวทีนี้สวยไม่สวยไม่เกี่ยว ทำงานให้ประชาชนได้แค่นี้ก็ควรลาออกไป”
“เขาสวยกว่าตัวเองร้อยเท่ากิริยาก็ถ่อยสถุนไม่มีสมบัติผู้ดีเลยหัวเราะร่านจีบปากจีบคอคุณนาถยาสวยพูดแบบผู้ดีเธอน่ะไม่มีอะไรเทียบติดหรอกจะบอกให้”
“เดียร์ เธอน่ะ คนละชั้นและกระดูกคนละเบอร์กับคุณนาถยา รู้ไว้ซะมันเทียบกันไม่ได้”
“เดียร์กลับไปดูรูปเก่าที่บ้านไป....อย่าตกใจหน้าตัวเองล่ะ...หรือทำหน้าใหม่มาแล้วมันหนาขึ้นเลยกล้าชมตัวเอง”
“เอาเงินจากความตายของพ่อไปทำสวยมาหรือ? น่าจะให้หมอผ่าสมองให้ฉลาดขึ้นด้วยนะ!”
นอกเหนือไปจากความหมั่นไส้ปนความชังในความงามของส.ส.เดียร์-ขัตติยา สวัสดิผล ที่เสียงค่อนแคะกระหึ่มอินเทอร์เน็ตแล้ว นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ รศ.ตระกูล มีชัย อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยังแสดงความรู้สึกผิดหวังต่อเหตุการณ์ครั้งนี้เหมือนกับประชาชนอีกหลายต่อหลายคนด้วยเช่นกัน
“ผมรู้สึกผิดหวังนะ ผมไม่ต้องการให้สส.ผู้หญิงเก่งๆ หลายคนนะครับ ที่มีความรู้ความสามารถ แล้วก็ปรากฏว่าส.ส.ผู้หญิงเหล่านั้นเนี่ย โอกาสที่จะแสดงบทบาทเรื่องแก้ไขปัญหาประชาชนน้อยกว่าเรื่องอื่นๆ อย่างเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ผมคิดว่าสภาท้องถิ่นเค้ายังไม่พูดกันแบบนี้เลย ผมว่าเรื่องแบบนี้ควรไปอยู่ในสภาโจ๊กมากกว่า ถ้าหากเข้ามาทำงานแล้วพูด แล้วทำงานในได้แค่นี้ ผมว่าพิจารณาตัวเองลาออกไปดีกว่าครับ ผมเสียดายภาษีผมน่ะ คุณอย่ามากินภาษีของประชาชนเลยครับ คุณมาทำหน้าที่แล้วมาพูดเรื่องอะไรแบบนี้ มันไร้สาระ”
เอือมสภาเล่นปาหี่
พฤติกรรมแย่ๆ ของนักการเมืองทั้งหลายเหล่านี้ อาจไม่ได้ผ่านกระบวนการลงโทษใดๆ มีเพียงแค่การตักเตือน แต่ก็ยังทำกันแบบซ้ำๆ ถ่อย เถื่อน จนไม่คู่ควรแก่คำว่า “ผู้ทรงเกียรติในสภา” นึกอยากทำอะไรก็ทำตามสบาย
“การทำอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับสภาแล้วมันขัดกับสถานที่ ขัดกับหน้าที่ มันเป็นเรื่องของความเหมาะสมที่คนวิพากษ์วิจารณ์กัน ก็ขึ้นอยู่กับคนที่ทำว่าจะขอโทษหรือขอโอกาสปรับปรุงตัว สังคมก็ให้อภัยเพราะมันผิดพลาดได้ ไม่ใช่ความผิดถึงขั้นคอขาดบาดตาย” ผศ.ดร.ทวี สุรฤทธิกุล อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าว
ในทำนองเดียวกัน อ.ตระกูล กล่าวว่า ทุกวันนี้สภาไม่ได้แตกต่างจากเวทีการแข่งขันที่ใช้ระบบพวกมากลากไป และไม่ยินยอมรับฟังเสียงข้างน้อย อนึ่งการเข้าไปทำหน้าที่สภาก็ต่างตกลงกันนอกสภากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สภาจึงเหมือนเป็นตรายางเพื่อจะที่ประทับตราโดยชอบธรรม
“สภาทุกวันนี้เนี่ยนะ มันเป็นเกม มันเป็นการต่อสู้กันระหว่าง 2 ฝ่าย คือสภาของเราเนี่ย มันไม่ใช่สภาแบบประเทศที่เค้าเจริญแล้ว ที่เค้ายึดอยู่บนหลักพื้นฐานของเสียงข้างมากต้องเคารพและฟังเสียงข้างน้อย ประเด็นปัญหาที่ผมดูทั้งหมด มันเกิดจากกระบวนการพิจารณา และในเรื่องของกระบวนการออกกฎหมายของเราเสียมากกว่า โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาน่าจะเกิดจากประธานกรรมาธิการ ตัวประธานกรรมาธิการเป็นตัวจุดชนวน
เรื่องนี้มันเป็นเกมของการต่อสู้ระหว่างฝ่ายที่คัดค้านการออกกฎหมาย ดังนั้นในกระบวนการนี้ฝ่ายที่นำเสนอย่อมรู้อยู่แล้วว่าต้องต่อสู้อย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าเกิดมันไม่มีเงื่อนไขเรื่องเวลาคุณก็ต้องปล่อยเต็มที่ ปล่อยอิสระจะสัก 7-8 วันก็ไม่เป็นไร ทีนี้พอคุณไปบล็อกไม่ปล่อย สถานการณ์มันเลยเพิ่มความเข้มข้นขึ้น แล้วก็ลักษณะของนักการเมืองไทยเนี่ย พูดง่ายๆ คือ มึงกับกูไม่มีใครใหญ่กว่ากัน มึงกับกูพอๆ กัน ดังนั้น อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ตกเป็นข้าทาสของฝ่ายใดก็ต้องสู้ เพราะฉะนั้นอีกฝ่ายที่ตั้งท่าสู้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็พยายามเดินเกมเร่งรัด”
สำหรับปัญหาการประชุมสภาในช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์คนเดิมมองว่าเกิดจากประธานสภาที่ใครๆ ก็ยกฉายาค้อนปลอมให้ ขณะนี้ขาดความน่าเชื่อถือและไม่สามารถจัดการนักการเมืองในสภาให้เรียบร้อยได้
“ปกติการประชุมสภาที่มีการต่อสู้ทางการเมืองแรงๆ เนี่ย คนที่เป็นประธานนั้นจะต้องสามารถจัดการระหว่างเสียงข้างมากกับเสียงข้างน้อยได้ดี แต่ผมดูแล้วเมื่อวันที่ 20 สิงหาฯ เนี่ย ความผิดพลาดอยู่ที่ประธานทั้งสองคนเลย และโดยเฉพาะผู้ที่ทำหน้าที่ประธานเนี่ยใช้ไม้แข็ง แล้วอีกฝ่ายเค้าไม่กลัวอยู่แล้ว ปัญหานี้คือปัญหาพื้นฐานของนักการเมืองไทย ปัญหาที่สองคือระบบรัฐสภาของไทยเนี่ย มันเป็นระบบที่มีปัญหาอยู่ มันไม่ใช่ระบบรัฐสภาที่เป็นเวทีต่อสู้กันด้วยเหตุและผล เวทีของสภาทุกวันนี้เป็นการบล็อกว่าจะเอาอย่างนั้นอย่างนี้ คล้ายๆ กับว่าใช้สภานั้นเป็นตรายางเพื่อจะที่ประทับตราโดยชอบธรรมกฎหมาย ลักษะเช่นนี้อีกฝ่ายเค้าก็ไม่ยอม คนจึงเบื่อและมองว่าระบบรัฐสภานั้นมันไม่ไหวแล้ว”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live