xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จ้าง 3 ล้านฆ่า “เอกยุทธ” ความจริงจาก “ทนายและกสม.” ที่ตบหน้าตำรวจมะเขือเทศ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เอกยุทธ อัญชันบุตร
ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-กลายเป็นประเด็นร้อนกลับขึ้นมาอีกครั้งสำหรับคดีฆาตกรรม “นายเอกยุทธ อัญชันบุตร” เจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ผู้เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบทักษิณและนักธุรกิจการเงินชื่อดัง เมื่อ “นายสุวัตร อภัยภักดิ์” ทนายความของนายเอกยุทธได้เปิดเผยข้อมูลใหม่ชนิดที่สร้างความสั่นสะเทือนต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในยุค พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้วอีกครั้ง ก่อนที่จะประกาศถอนตัวจากการเป็นทนายความเนื่องจากถูกขู่ฆ่ารายวันและญาติไม่ต้องการให้สู้คดีอีกต่อไป

ข้อมูลชุดใหม่ที่ได้รับการเปิดเผยจากนายสุวัตรครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญไม่น้อย

ทนายสุวัตรเปิดเผยว่า เมื่อต้นเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาได้รับการติดต่อจากนายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล ผู้ต้องหาคนสำคัญผ่านทางญาติ ขอให้ไปพบในเรือนจำ จึงได้ส่งทีมทนายไปพบ โดยนายบอลก็รับสารภาพผ่านทนายความว่าตัวนายบอลไม่ได้ลงมือฆ่า แต่เป็นการลงมือของคนมีสี คือมีการลงมือ 3 ครั้ง สองครั้งแรกนายบอลลงมือแต่ไม่สำเร็จ ครั้งที่ 3 คนจ้างวานจึงให้ทีมคนมีสีลงมือ มีค่าจ้าง 3 ล้านบาท ส่วนแบ่งนายบอลจะได้ระดับแสนบาท โดยให้มีหน้าที่รับส่งพาไปทิ้งศพ จนงานสำเร็จในครั้งที่ 3 นายบอลก็ถูกเบี้ยวค่าจ้างเลยรับสารภาพ จึงสรุปว่านายบอลไม่ได้ฆ่า แต่เป็นคนมีสี ซึ่งตรงกับที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชน และตนเองให้ข้อสังเกตไว้ เพราะดูจากท่าล็อกคอ อุดจมูกจนนายเอกยุทธดิ้นเฮือกสุดท้าย เหล่านี้เป็นวิธีฆ่าด้วยท่าพิเศษ
อย่างไรก็ตาม ทนายสุวัตรยืนยันว่า หลังจากเปิดเผยข้อมูลแล้วจะไม่เข้ามาข้องเกี่ยวคดีของนายเอกยุทธอีกต่อไปด้วยเหตุผล 2 ประการคือ หนึ่ง ญาติไม่ต้องการให้สืบสาวราวเรื่องอีกต่อไป และสอง เป็นเพราะความกลัวของตนเองเนื่องจากถูกขู่ฆ่ารายวัน

“ผมทราบมาจากสายว่ามีคนร้ายเป็นกลุ่มที่ฆ่านายเอกยุทธจะดักฆ่าผมที่ถนนแห่งหนึ่งโดยใช้รถบรรทุกทรายสองคันวิ่งประกบหน้าหลังแล้วอัดก๊อบปี้ ผมก็กลัวตายเหมือนกัน แถมยิ่งขุดคุ้ยทางญาติบางคนก็ตำหนิผมว่าทำไมไม่ให้เรื่องจบ ผมก็ขอประกาศตรงนี้ว่าคดีเอกยุทธ ผมจบแล้ว ยกเว้นคดีความเดิมที่นายเอกยุทธได้เคยจ้างไว้ก็จะว่าความต่อให้เสร็จ” นายสุวัตรระบุ

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่แค่ข้อมูลจากทนายสุวัตรเท่านั้น ก่อนหน้านี้ยังมีชุดข้อมูลที่สำคัญจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) ที่ให้ความเห็นเอาไว้ชัดเจนเช่นกันว่า นายเอกยุทธไม่ได้เสียชีวิตจากฝีมือของไอ้บอล-นายสันติภาพ เพ็งด้วงและทีมงานดังที่ตำรวจสรุปสำนวนคดีเอาไว้ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของทนายสุวัตรอย่างมีนัยสำคัญ

นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชน ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านสิทธิการเมืองและสิทธิพลเมืองในสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า ทางอนุกรรมการได้รับการร้องเรียนจากผู้ที่เกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน จึงได้ดำเนินการตรวจสอบ โดยได้มีการเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งญาตินายเอกยุทธ พนักงานสอบสวน แพทย์นิติเวชที่ชันสูตรศพ แพทย์ที่ตรวจสอบศพ และได้มีการลงพื้นที่ตรวจสอบบ้านพักนายเอกยุทธ เขาจิงโจ้ จ.พัทลุง ที่มีการฝังศพ รวมถึงพูดกับประชาชนที่ได้พบเห็น ทำให้ได้ข้อสรุปหลายประเด็น

ประกอบด้วย 1.จากการตรวจสอบรายงานของแพทย์ผู้ชันสูตรพลิกศพพบว่า การเสียชีวิตของเอกยุทธไม่ได้ถูกฆ่ารัดคอ หรือถูกบีบคอตามที่พนักงานสอบสวนและผู้ต้องหาระบุ แต่เป็นการถูกกระทำให้ขาดอากาศหายใจ ด้วยการใช้ท่าพิเศษ ซึ่งกระทำโดยมืออาชีพที่นอกเหนือจากผู้ต้องหาที่ถูกจับกุม โดยร่องรอยบาดแผลจากการชันสูตร 3 แห่งเป็นตัวบ่งชี้ ได้แก่ บริเวณปลายจมูกมีรอยฟกช้ำ โคนลิ้นและลิ้นด้านซ้าย เนื้อเยื่อลำคอด้านขวา ซึ่งไม่พบรอยบีบรัดคอแต่อย่างใด แต่เป็นการกดบีบลำคอ กับปิดกั้นจมูกทำให้ขาดอากาศหายใจ ท่านี้ทำให้ผู้ถูกกระทำเสียชีวิตได้ภายในเวลาไม่นาน นอกจากนี้ยังพบบาดแผลที่หัวไหล่ขวา สะบักซ้ายด้านหลังซึ่งเกิดจากการกระทำของผู้ที่อยู่ด้านหลังนายเอกยุทธ โดย นายเอกยุทธ ต่อสู้จึงทำให้กล้ามเนื้อคอด้านหลังฟกช้ำ ดังนั้น นายเอกยุทธ จึงไม่ได้ถูกฆ่ารัดคอหรือบีบคอ ส่วนบาดแผลอีก 2 แห่ง ที่ข้อมือและส้นเท้าเกิดจากการถูกพันธนาการในบริเวณจำกัด ทำให้นายเอกยุทธไม่สามารถต่อสู้ดิ้นรนได้

2.การเปลี่ยนแปลงสภาพศพหลังเสียชีวิต ซึ่งมีการเคลื่อนศพจาก กทม.ไปพัทลุง และเคลื่อนย้ายจากเขาจิงโจ้ จ.พัทลุง มาตรวจพิสูจน์ที่ กทม.ทั้งหมดเป็นกระบวนการมีการเตรียมการชัดเจน จากผู้ชำนาญการในการฆ่าคน ไม่ใช่เรื่องของผู้ต้องหาไม่กี่คน โดยมีเหตุผลสนับสนุนคือ 1.การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ห่อศพ และลำเลียงศพจาก กทม.พัทลุง 2. หลังเสียชีวิตมีการถอดเสื้อผ้าและเครื่องประดับออก เหลือแต่เสื้อกล้ามกับกางเกงบอกเซอร์ ลักษณะการห่อศพซึ่งรัดด้วยวัสดุผูกมัด เป็นเทคนิควิธีการเฉพาะของผู้มีความรู้และความชำนาญ

3.มีความเชื่อว่าศพถูกเก็บไว้ในที่ปิดมิดชิด เช่น รถตู้ไม่เกิน 3 วัน โดยไม่พบหนอนในศพ แสดงว่าศพนายเอกยุทธถูกห่อหุ้มอย่างดี ส่วนการขุดหลุมฝังก็ไม่ลึกไม่เกิน 50 ซม.จากพื้นดิน แสดงว่าไม่ต้องการปกปิดศพ และศพอยู่ในหลุมไม่เกิน 1 วัน จึงสันนิษฐานว่าเป็นกระบวนการที่มีการเตรียมการ ไม่ต้องการปิดบังศพ แต่ต้องการเปิดเผยเพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง

“ทั้งหมดคือสิ่งที่อนุกรรมการตรวจสอบพบ ซึ่งสอดคล้องกับแพทย์ที่พบศพเป็นคนแรกที่ จ.พัทลุง ทั้งนี้การตรวจสอบของคณะอนุกรรมการไม่ค่อยได้รับความร่วมมือจากตำรวจให้ตรวจสอบพยานหลักฐานหลายชิ้น เช่น ไม่ให้ตรวจสอบรถตู้ โดยตำรวจยังมอง กสม.ด้วยความไม่เข้าใจ คิดว่าไปจับผิด แต่ กสม.ปฏิบัติหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญให้อำนาจ ในการประสานหน่วยงานให้ปฏิบัติที่ให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกร้อง ซึ่งการตรวจสอบครั้งนี้ไม่ใช่การสอบสวนหาตัวคนร้าย แต่ตรวจสอบการทำงานของตำรวจว่าได้มาตรฐานในการบอกความจริงต่อสังคมหรือไม่ โดยจะทำรายงานเสนอต่อผบ.ตร. ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 257 ซึ่งตามอำนาจของ กสม.ไม่มีสามารถบังคับหรือสั่งการตำรวจให้ต้องปฏิบัติตาม แต่เป็นหน้าที่ของตำรวจที่จะนำไปพิจารณาว่า ข้อเสนอของกสม.สมควรนำไปประกอบในสำนวนการสอบสวนหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากให้ตำรวจเร่งสรุปสำนวนว่าเป็นคดีฆ่าชิงทรัพย์” นพ.นิรันดร์ให้ข้อมูล

ด้าน คุณหญิงพญ.พรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ในฐานะที่ปรึกษาอนุกรรมการ ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า บาดแผลก่อนตายเป็นการทำให้ขาดอากาศจากภายนอก ซึ่งไม่ได้เป็นไปตามคำให้การของผู้ต้องหาว่าลงมือฆ่ารัดคอผู้ตาย เนื่องจากมีร่องรอยการพันธนาการ และพบบาดแผลที่เกิดหลังการเสียชีวิต ซึ่งเข้าได้กับการห่อรัดศพ และมีสภาพให้เห็นว่ามีเสื้อจำนวนหนึ่งยังอยู่กับศพก่อนนำไปฝัง การเปลี่ยนแปลงหลังตายที่ขัดแย้งกับสภาพศพ ศพถูกฝังคว่ำหน้า แต่เน่าด้านหน้า ลำตัวด้านหลังไม่เนา และไม่มีหนอน ซึ่งทั้ง 3 จุด ถือเป็นหัวข้อสำคัญที่พนักงานสอบสวนควรรับฟัง

อย่างไรก็ตาม สำหรับตนเองคดีของนายเอกยุทธเป็นคดีธรรมดาคดีหนึ่ง แต่สะท้อนว่า ประเทศไทยไม่เคยตระหนักว่ากระบวนการยุติธรรมเป็นส่วนหนึ่งของประชาธิปไตยจึงไม่มีการพัฒนาความโปร่งใส ไม่สนใจต้นทางความยุติธรรมที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งคิดว่าถึงเวลาต้องแก้ไขที่ต้นทาง ถ้าไม่เก็บพยานหลักฐานอย่างดีจะไม่สามารถพิสูจน์คดีได้อย่างเป็นธรรมและจะนำไปสู่การแสวงหาประโยชน์

ส่วนท่าทีของตำรวจนั้นก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงโดยยืนยันหัวชนฝาว่า เป็นการฆ่าชิงทรัพย์ พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน ระบุว่า ขณะนี้สำนวนคดีนายเอกยุทธที่ถูกฆาตกรรมใกล้เสร็จสิ้นแล้ว โดยยังตั้งประเด็นเรื่องการฆ่าชิงทรัพย์ไว้ก่อนเพราะมีน้ำหนักมากที่สุด ส่วนหลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้เพียงพอที่จะส่งฟ้อง ผู้ต้องหาหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล ขณะที่ข้อมูลจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่ออกมาแถลงว่านายเอกยุทธไม่ได้เสียชีวิตจากการฆ่าของนายสันติภาพ เพ็งด้วง เรื่องนี้ยังไม่เห็นเอกสารจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดังนั้นจึงให้ความเห็นไม่ได้

และเมื่อตำรวจมีท่าทีอย่างนี้ จึงไม่น่าแปลกใจอะไรที่ทนายสุวัตรจะประกาศถอนตัว เพราะไม่ว่าจะมีข้อมูลหรือหลักฐานอะไรใหม่ ดูเหมือนว่าตำรวจจะไม่อยากรับฟัง เนื่องจากมีคำตอบของคดีเอาไว้ในใจอยู่แล้ว และไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงพนักงานสอบสวนอีกสักกี่ชุด ก็ไม่น่าจะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปจากที่เห็นและเป็นอยู่ในขณะนี้


สันติภาพ เพ็งด้วง
กำลังโหลดความคิดเห็น