xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“มืออาชีพ” ฆ่า “เอกยุทธ” ใบเสร็จที่ “บิ๊กอู๋-บิ๊กแจ๊ด” ใบ้รับประทาน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-คดีอุ้มสังหาร “เอกยุทธ อัญชันบุตร” นักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังที่ยังคงมีเงื่อนงำ และประเด็นที่สร้างความเคลือบแคลงสงสัย แม้ในคดีนี้ตำรวจจะสามารถจับกุมผู้ที่ก่อเหตุได้แล้วถึง 4 คน ได้แก่ นายสันติภาพ หรือ บอล เพ็งด้วง ,นายทิวากร เกื้อทอง,นายชวลิต วุ่นชุม และนายสุทธิพงศ์ พิมพิสาร ขณะที่ศพของนายเอกยุทธ ได้ถูกฌาปนกิจไปแล้วเมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ล่าสุดคดีนี้ได้กลับมาอยู่ในความสนใจของประชาชนอีกครั้ง หลังคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้นำโดย พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. เข้าให้ข้อมูลกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม.) เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไฮไลต์สำคัญอยู่ที่ข้อมูลของ พ.ต.ท.ปิยพงษ์ สาครเย็น แพทย์นิติเวช ผู้ผ่าชันสูตรศพ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สวนทางกับคำให้การของ “ไอ้บอล” สันติภาพ เพ็งด้วง และ “ไอ้เบิ้ม” สุทธิพงศ์ พิมพิสาร ผู้ต้องหาในคดีนี้อย่างสิ้นเชิง

กล่าวคือในคำให้การของนายสันติภาพก่อนหน้านี้ที่ยืนยัน ว่า นายสุทธิพงศ์ ใช้เชือกรองเท้ารัดคอนายเอกยุทธจนถึงแก่ความตาย ขณะที่นายสุทธิพงศ์ ยอมรับว่าได้รัดคอจริง แต่รัดภายหลังที่นายเอกยุทธถูกนายสันติภาพกระทืบจนเสียชีวิตแล้ว ขัดกับข้อมูลที่ พ.ต.ท.ปิยพงศ์ ได้ตอบข้อซักถามของกสม. โดยยืนยันว่า “จากรายงานการตรวจศพของผม รายนี้ไม่ได้ตายด้วยการรัดคอ” นั่นก็หมายความว่าผู้ต้องหารายนี้โกหก

ขณะที่ พ.ต.ท.ปิยพงษ์ ยังได้ระบุสาเหตุการตายของเอกยุทธโดยกล่าวตอนหนึ่งว่า ต้องแยกการตายของเอกยุทธออกเป็น 2 กรณี คือ สาเหตุการตาย (Cause of Death) ชัดเจนว่าขาดอากาศหายใจอย่างแน่นอน กับกระบวนการเสียชีวิต (Mechanism) ซึ่งพบการบีบร่วมกับการอุดกั้นการหายใจส่วนนอก ทั้งนี้ จากรายงานการตรวจศพ พบบาดแผลภายนอก 8 รายการ ได้แก่ 1.บาดแผลบวมฟกช้ำบริเวณส้นเท้าซ้ายขนาด 5x4 ซม. 2.บาดแผลถลอกกดทับบริเวณข้อมือทั้งสองข้าง 3.บาดแผลฟกช้ำบริเวณหัวไหล่ขวาขนาด 3x2 ซม. และบ่าขวาขนาด 2.5x1 ซม. 4.บาดแผลฟกช้ำบริเวณใต้สะบักหลังซ้าย ขนาด 7.5x6 ซม. 5.บาดแผลฟกช้ำบริเวณหลังเอวขวา ขนาด 12x8 ซม. 6.บาดแผลฉีกขาดหนังถลกบริเวณส้นเท้าซ้ายด้านนอก ขนาด 0.7x0.5 ซม. 7.บาดแผลฟกช้ำบริเวณปลายจมูก และ8.บาดแผลถลอกกดทับเป็นแนวยาวผ่านปาก พาดไปคอด้านหลังทั้งสองข้าง ด้านขวากว้าง 5 ซม. เหนือคางไปคอด้านหลังซ้าย กว้าง 3-5 ซม.

“มันมีบาดแผลที่คอด้านขวา ที่โคนลิ้นด้านขวา มีเทคนิคท่าพิเศษ เป็นการกระทำจากด้านหลัง มีเพียงบาดแผลข้อ 6 ที่เกิดจากหนังเปิดฉีกขาด ที่เหลือเกิดจากของแข็งไม่มีคม” พ.ต.ท.ปิยพงษ์ ระบุ โดยได้ขยายความว่า “ท่าพิเศษ” เป็นท่าที่ทำมาจากข้างหลังทางขวา โดยระหว่างที่คนร้ายลงมือฆ่าผู้ตายยังมีสติอยู่ แต่ถูกพันธนาการที่มือและข้อมือไว้ทางด้านหลัง เห็นได้จากผลการตรวจศพข้อ 3-5 ที่มีแรงทำมาจากด้านหลังขวา และมีการกดโดยใช้แกนในตำแหน่งโคนลิ้นขวา เป็นเหตุให้ศพปรากฏรอยโคนลิ้นขวาฟกช้ำ ยืนยันว่าไม่ใช่บีบ

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากบาดแผลทั้ง 8 รายการ ซึ่งแพทย์นิติเวชรายนี้ ระบุว่า นอกเหนือจากรายการที่ 6 แล้ว ร่องรอยที่เหลือเกิดจากของแข็งไม่มีคมทั้งสิ้น ยิ่งตอกย้ำข้อพิรุธในคำให้การของนายสุทธิพงศ์ ที่ระบุว่า นายสันติภาพ ตามลงไปกระทืบนายเอกยุทธจนตายนอกจากนี้ผลการตรวจร่างกายเพื่อหาร่องรอยการต่อสู้ของผู้ต้องหาพบว่า นายสันติภาพ นายทิวากร และนายชวลิต มีบาดแผลฟกช้ำและถลอกทั้งเก่าและใหม่ แต่นายสุทธิพงศ์ ตรวจไม่พบบาดแผลแม้แต่น้อย

และหากพิจารณาจากข้อมูลที่ พ.ต.ท.ปิยพงศ์ ให้การกับกสม.จึงตรงข้ามกับข้อมูลที่นายสันติภาพ ให้การที่ระบุว่า นายสุทธิพงศ์ ใช้มือบีบคอนายเอกยุทธจากด้านหน้า แล้วจึงใช้เชือกรองเท้ารัดคออีกที ซึ่งก็เป็นข้อพิรุธอีกจุดที่ทำให้ไม่สามารถที่จะเชื่อคำให้การของผู้ต้องหารายนี้ได้

และเมื่อพิจารณาถึงกระบวนการฆ่าที่มีการวางแผนเป็นอย่างดี ประกอบกับมีการใช้ “ท่าพิเศษ” ในการสังหารนายเอกยุทธ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความเป็น มืออาชีพของฆาตกรในคดีนี้ได้เป็นอย่างดี

ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายเอกยุทธ กล่าวว่า ตนเองไม่เชื่อคำให้การของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน มาตั้งแต่ต้น และเชื่อว่าคนที่จะมีความสามารถฆ่านายเอกยุทธด้วยท่าพิเศษได้นั้นจะต้องเป็นทหารหรือตำรวจเท่านั้น

"เรื่องสาเหตุการเสียชีวิต ผมเคยพูดไว้ตั้งแต่ครั้งแรกแล้วว่า น่าจะเกิดจากการกระทำของผู้ที่มีความชำนาญการ และมีความเชี่ยวชาญในการต่อสู้ ที่ต้องมีผู้ต้องหามากกว่า 2 คน ขณะที่ผลการชันสูตรของทีมแพทย์นิติเวช ก็ระบุว่าคนร้ายเข้ามาด้านหลังผู้ตายแล้วใช้ท่อนแขนด้านขวาล็อกลำคอจากนั้นใช้มือซ้ายปิดจมูกแน่นจนขาดอากาศหายใจ ซึ่งการกระทำลักษณะดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าผู้ที่จะกระทำการนั้นต้องมีทักษะการต่อสู้ด้วยมือเปล่า เหมือนพวกหน่วยรบพิเศษ อย่างไรก็ดีเมื่อผลการชันสูตรออกมาเช่นนี้ที่ไม่ตรงกับคำให้การของผู้ต้องหา พนักงานสอบสวนก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุมรอบคอบชัดเจน ไม่เช่นนั้นหากดำเนินคดีถึงในชั้นศาล พยานหลักฐานก็อาจจะยังมีข้อสงสัยแล้วไม่สามารถเอาผิดลงโทษผู้ต้องหาได้”นายสุวัตร กล่าวและว่า ขณะนี้สำคัญว่าตำรวจจะสรุปสำนวนอย่างไร เมื่อผลการเสียชีวิต ยังขัดกับคำให้การผู้ต้องหา เพราะทำให้สังคมยังเกิดความเคลือบแคลงสงสัย ขณะที่คณะกรรมการสิทธิ ฯ ก็ได้ทำการตรวจสอบในระดับหนึ่งแล้ว

ขณะที่ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาชี้แจงกรณีดังกล่าว ว่า พล.ต.ต.อนุชัย ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีนี้ โดยยืนยันว่า การไปให้ข้อมูลคดีการเสียชีวิตของนายเอกยุทธในส่วนของผลการชันสูตรพลิกศพนั้น เป็นไปตามผลที่สถาบันนิติเวชวิทยา ได้ให้ข้อมูลไปก่อนหน้านี้ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงแต่อย่างใด ทั้งนี้ ผลการชันสูตรระบุเพียงแค่สาเหตุแห่งการตาย ไม่ได้ชี้ว่า ใครเป็นผู้ทำให้นายเอกยุทธเสียชีวิต ซึ่งผลการชันสูตรศพจะถูกนำไปประกอบสำนวนคดี และไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อรูปคดี ส่วนผู้ต้องหาจะให้การอย่างไรก็ถือเป็นสิทธิที่สามารถทำได้

ซึ่งนี่ก็เป็นเพียงคำชี้แจงของตำรวจเช่นเดียวกัน ที่ไม่ได้ทำให้ประชาชนที่ติดตามคดีนี้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่าคดีนี้ไม่มีเงื่อนงำ หรือปราศจากความเคลือบแคลงสงสัย ยิ่งเมื่อปรากฏข้อมูลที่แพทย์นิติเวชให้การกับกสม.ออกมาเช่นนี้ ยิ่งทำให้เกิดข้อกังขาตามมาว่าที่ผ่านมาการสืบสวนสอบสวนของตำรวจได้ดำเนินการอย่างถึงที่สุดแล้วหรือไม่ ขณะเดียวกันเมื่อมีข้อสงสัยเกิดขึ้นเช่นนี้ ตำรวจเองจะรื้อสำนวนคดีมาทำใหม่ เพื่อตอบคำถาม สร้างความกระจ่างให้กับสังคมหรือไม่

เป็นคำถามที่เกิดขึ้น และกำลังรอคอยคำตอบ ซึ่งคงไม่มีใครที่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ดีไปกว่า "พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง" เจ้าของรหัส "น.1" รวมถึง “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นั่นเอง!


กำลังโหลดความคิดเห็น