ASTVผู้จัดการรายวัน-ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง “สนธิ ลิ้มทองกุล” และ “สโรชา พรอุดมศักดิ์” สองพิธีกรยามเฝ้าแผ่นดิน ไม่ได้หมิ่นประมาท "แม้ว" กรณีระบุนักโทษหนีคดีพูดจาจาบจ้วงเบื้องสูง ศาลชี้พฤติการณ์บวกกับสิ่งที่ทำ ทำให้คนที่รักในหลวงคิดไปได้ว่า "ทักษิณ" จาบจ้วงดูหมิ่น ต้องการโค่นล้ม ทำตัวเหมือนพระเจ้าแผ่นดิน และทำตัวเหนือองคมนตรี
วานนี้ (14 ส.ค.) ที่ห้องพิจารณาคดี 703 ศาลอาญา ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.3323/2550 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายสมบูรณ์ คุปติมนัส โดยนายสรรพวิชช์ คงคาน้อย ผู้รับมอบอำนาจช่วง เป็นโจทก์ฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นางสโรชา พรอุดมศักดิ์ อดีตผู้ดำเนินรายการทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (ศาลยกฟ้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ) เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา
ทั้งนี้ โจทก์ฟ้องว่า วันที่ 24 ส.ค.2550 จำเลยที่ 2 นำเทปการปราศรัยของจำเลยที่ 1 โดยบันทึกที่ประเทศสหรัฐฯ มาออกอากาศในรายการยามเฝ้าแผ่นดินทางสถานีโทรทัศน์ ASTV และนสพ.ผู้จัดการรายวันของจำเลยที่ 3 นำข้อความมาตีพิมพ์ ทำนองว่านายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรองนายกรัฐมนตรี สมัยรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ บอกกับนายสนธิ ถึงสาเหตุที่ต้องออกจากรัฐบาล เนื่องจากตลอด 8 ชั่วโมง หลังการยึดอำนาจรัฐประหารของคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) เมื่อวันที่ 19 ก.ย.2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ได้พูดจาจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูง
คดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2555 พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 6 เดือนปรับ 2 หมื่นบาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี และให้ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ นสพ.ผู้จัดการรายวัน แนวหน้า ข่าวสด เดอะเนชั่น ไทยโพสต์ เป็นเวลา 7 วัน จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้ว เห็นว่า ในวันที่ 24 ส.ค.2550 จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมจัดรายการกับจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด โดยคำพูดดังกล่าวจำเลยที่ 1 ปราศรัยที่สหรัฐฯ ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นในการจัดรายการกับจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 1 จะผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ แต่การบันทึกเทปดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนวันที่โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้องคือวันที่ 24 ส.ค.2550 ฉะนั้นจำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิด แม้จำเลยที่ 2 จะไม่มีส่วนร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการปราศรัย โดยจำเลยที่ 2 กล่าวนำการเผยแพร่ภาพก่อนออกอากาศ และจำเลยที่ 2 กล่าวปิดรายการ จำเลยที่ 2 จึงมีส่วนรู้เห็นต้องรับผิดด้วย จึงต้องพิจารณาว่า ข้อความดังกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่
ได้ความจากการสืบพยานของทนายจำเลยว่า ในช่วงเวลาที่โจทก์เป็นนายกรัฐมนตรี ระหว่างปี 2548-2549 ตลอดจนช่วงที่ถูกยึดอำนาจจาก คปค. มีการเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อมวลชน เกี่ยวกับการพูดของโจทก์ที่มิบังควร เช่น หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ฉบับวันอังคารที่ 27 ธ.ค.2548 พาดหัวข่าวว่า "ตอกแม้วจาบจ้วง พาดพิงเบื้องสูงด้วยคำหยาบคาย แนะพบจิตแพทย์" และในฉบับเดียวกัน บทความเปลวสีเงิน หน้า 5 ได้กล่าวถึงโจทย์ว่าการที่โจทย์ใช้คำพูดว่า "เอะอะก็หาว่าผมไม่จงรักภักดี ปัดโธ่...ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ" และในไทยโพสต์วันอาทิตย์ที่ 4 ก.พ.2549 พาดหัวข่าว "ทักษิณเลยเถิด ดึงเบื้องสูงยุ่งการเมือง รับสั่งคำเดียว กราบพระบาทออก แค่ในหลวงกระซิบ" ส่วนสยามรัฐ ฉบับวันศุกร์ที่ 30 มิ.ย.2549 พาดหัว "ทักษิณแฉบุคคลมากบารมี จ้องล้มกระดาน ตั้งรัฐบาลชั่วคราวแก้รธน." นอกจากนั้น ยังพบภาพข่าวในหนังสือพิมพ์ในการที่โจทย์พบประชาชนในหลายโอกาส มีประชาชนถือธงไตรรงค์ ที่มีคำว่า "ทรงพระเจริญ" ซึ่งใช้ในการเฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว หรือพระบรมวงศานุวงศ์
และในการชุมนุมของกลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปก.) ที่หน้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ โจทก์ก็ได้วิดีโอลิงก์มายังกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย ทำให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจว่าโจทก์เป็นกลุ่มพวกเดียวกัน จากพฤติการณ์ของโจทก์ มีเหตุเพียงพอที่จะทำให้พสกนิกรชาวไทย ที่มีความเคารพเทิดทูนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมถึงจำเลยที่ 1 เห็นว่าการกระทำของโจทก์เป็นการจาบจ้วงดูหมิ่น และต้องการโค่นล้มพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และโจทย์ทำตัวเหมือนพระเจ้าแผ่นดินและทำตัวเหนือองคมนตรี ข้อความที่จำเลยที่ 1 กล่าว จึงไม่เป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
ภายหลังนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ได้ให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกดีใจที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ซึ่งคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้ยืนยันสิ่งตนพูด และเข้าใจว่ามาจากพฤติการณ์และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งการมอบอำนาจให้ตัวแทนมายื่นฟ้องตนเองนั้น เห็นว่าเป็นสิทธิที่สามารถทำได้ แต่หากในขั้นตอนการสืบพยาน พ.ต.ท.ทักษิณซึ่งเป็นโจทก์ไม่ได้เดินทางมาตอบคำซักค้าน ก็จะทำให้ตนเอง ซึ่งถูกฟ้องเป็นจำเลยเสียสิทธิในการต่อสู้คดีในชั้นศาล จึงเห็นว่าหากเป็นเช่นนี้ศาลก็น่าจะมีคำพิพากษาให้ยกฟ้องได้
ด้านนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความ กล่าวว่า สำหรับคดีที่นายสนธิ และกลุ่มพันธมิตรฯ ถูก พ.ต.ท.ทักษิณฟ้องหมิ่นประมาทกรณีกล่าวหาว่าหมิ่นเบื้องสูงนั้น ในฐานะทนายความไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด เนื่องจากคดีส่วนใหญ่ศาลได้พิพากษายกฟ้อง เช่นเดียวกับคดีนี้ที่ศาลเชื่อพยานเอกสารต่างๆ ที่ได้นำเสนอต่อศาล